ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 435 เป็นไปตามแผนของพวกมัน
“อืม…เออ….”
ซู่เสี่ยวไป่นั้นหูอือไปอยู่พักหนึ่งและมึนงง เพราะบรรพชนหลายคนรุมกันพูดไม่หยุด เมื่อเขาได้สติกลับมาเขาก็จ้องมองไปยังหลิงทิง
แม้ว่าเขายังไม่ได้พูดอะไรก็ตาม แต่หากใครพอมีสติปัญญาสักเล็กน้อยก็พอจะรู้ว่า สีหน้าที่ซุ่เสี่ยวไป่มองหลิงทิงนั้นไม่ธรรมดา ราวกับว่าเขาได้เจออะไรบางสิ่งที่ต้องการ และเหมือนซู่เสี่ยวไป่จะดูลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนทำท่าเหมือนจะพูด
ในเรื่องนี้ตัวของจ้าวนิกายนั้นก็เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น แต่รอยยิ้มอันเป็นมิตรไม่ได้เลือนหายไปจากหน้าเลย
และอย่างที่รู้กันว่าซู่เสี่ยวไป่จงใจปลอมตัวเข้ามา
แต่เมื่อเข้ามาได้แล้วซู่เสี่ยวไป่กลับต้องเผชิญหน้ากับสายลับจากอาณาจักรคลื่นโบราณ เขานั้นรู้ได้จากวิธีการเคลื่อนย้ายของตัวตนนี้ที่สร้างหลุมกระแสพลังสีดำ แต่ในที่นี้ไม่มีใครรู้เลยสักคน
ซู่เสี่ยวไป่หันมองจ้าวนิกายเหมือนจะถามอะไร แล้วเขาก็นิ่งไป เพราะกลัวว่าคำถามนั้นจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แล้วซู่เสี่ยวไป่ก็ต้องแสดงไปตามน้ำให้ดีที่สุด แม้ว่าจะไม่เป็นที่พึงพอใจของใครแถวนี้ก็ตาม เขาก็เลือกที่จะกลืนความรู้สึกเหล่านั้นลงท้องไป
“หลิงทิง….เขาเลือกให้เจ้าเป็นอาจารย์ แล้วเจ้ายินดีจะรับเขาไว้เป็นศิษหรือไม่?”
จ้าวนิกายกล่าวถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม
บรรพชนบรรพกาลหลิงทิงเองก็จ้องมองซู่เสี่ยวไป่ตาไม่กระพริบ
“ไป่หยินใช่ไหม…..ต่อจากนี้เจ้าเป็นศิษของข้าแล้ว”
“บ้าเอ๊ยนี้มันเรื่องอะไรกัน!”
“เสียเวลาพูดต้องนานสุดท้ายก็กลายว่าเจ้าหนูนี้ไปอยู่กับคนอื่น”
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงหมิงหยานั้นน่าจะเป็นคนที่เจ็บใจสุด เขามอบสมบัติระดับบรรพชนบรรพกาลให้กับเด็กน้อยนั้นไปเลยนะ”
“เจ็บใจ?? เหตุใดข้าต้องรู้สึกเจ็บใจเสียใจด้วย! นี้เป็นถึงตัวตนยอดอัจฉริยะที่ไม่รู้กี่ล้านปีจะเกิดขึ้นมาสักคนหรืออาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้ สักวันเขาจะขึ้นมาเป็นเสาหลักของนิกายแห่งนี้ ดังนั้นข้าก็เหมือนได้ผูกมิตรเป็นการล่วงหน้าก่อนแล้ว!!”
……
เหล่าผู้อาวุโสของนิกายนั้นต่างบ่นกันระงมไปหมด ด้วยความเสียดายที่ไม่ได้ตัวซู่เสี่ยวไป่มา
“ศิษไป่หยิน คำนับท่านอาจารย์”
ซู่เสี่ยวไป่ทำความเคารพแบบศิษต่ออาจารย์ให้หลิงทิง
“ดี!!”
“วันนี้เป็นวันดี!! หลิงทิงนำแก่นโลหิตของเจ้าออกมาหนึ่งหยด และเด็กน้อยเจ้าก็นำออกมาด้วยหนึ่งหยด”
“ข้าจะผูกแก่นโลหิตของทั้งสอง และนำมันใส่เข้าไปในตราประจำนิกาย ผู้เป็นศิษจะต้องสาบานต่อแก่นโลหิตว่าจะไม่ทรยศอาจารย์เด็ดขาด และผู้เป็นอาจารย์จะยอมรับเด็กน้อยผู้นี้เป็นศิษของตน!”
จ้าวนิกายหัวเราะด้วยความชอบใจ
แก่นโลหิต?
หัวใจของซู่เสี่ยวไป่สั่นสะท้านทันที
และแทบจะในทันทีมีประกายแสงแว๊บหนึ่งขึ้นบนนัยน์ตาของเขา
จ้าวนิกายคิดจะใช้การสาบานต่อแก่นโลหิตนี้เพื่อเก็บส่วนหนึ่งของร่างกายเขากับของหลิงทิง!!
เพราะในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานั้น ซู่เสี่ยวไป่ไม่ได้เพียงแค่บุกถล่มอาณาจักรคลื่นโบราณไปอย่างเดียว เขายังได้เรียนรู้จากเอกสารตำราจากซากปรักหักพังต่างๆ ที่เขาถล่มไป และได้รู้เรื่องราววิธีการต่างๆ ของอาณาจักรแห่งนี้
และได้รู้ถึงวิธีการปลอมแปลงตัวของอาณาจักรคลื่นโบราณ
อย่างแรกเขารู้แล้วว่าการที่ตัวตนพวกนี้จะปลอมเป็นใครได้นั้นต้องมีบางส่วนของร่างกายหรือเศษชิ้นพันธุกรรมของตัวตนนั้น อย่างเลือด เนื้อ ผิวหนัง
เมื่อมันผ่านกระบวนการพิเศษแล้ว พวกอาณาจักรคลื่นโบราณจะปลอมแปลงเป็นตัวตนเดียวกับเจ้าของพันธุกรรมนั้น อย่างแนบเนียน
“เขาจงใจให้เรายอมสาบานต่อหลิงทิงและยกให้เป็นอาจารย์ โดยใช้แก่นโลหิตเป็นเครื่องพันธะ และเขาจะได้แก่นโลหิตสองหยดพร้อมกัน นั้นแปลว่ามันจะให้คนอื่นปลอมเป็นเราและหลิงทิงเข้าไปแอบแฝงในที่ต่างๆ ในอนาคต”
“ไม่เพียงเท่านั้น”
“มันไม่น่าจะใช้วิธีนี้ครั้งแรก”
“นั้นก็แสดงว่า….”
เมื่อซู่เสี่ยวไป่คิดได้ถึงจุดนี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมากกว่าเก่า
“เป็นไปได้ไหมว่า มันได้ส่วนหนึ่งของร่างกายผู้อาวุโสทั้งนิกายแล้ว”
“มีความเป็นไปได้สูงด้วยว่าจะมีคนอื่นอยู่ด้วย นอกจากจ้าวนิกายที่เป็นสายลับของอาณาจักรคลื่นโบราณ”
ซู่เสี่ยวไป่นั้นราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางหัวใจ เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
เขาคิดว่ายังมีเวลาอีกสองสามวันที่จะเตรียมตัว แต่ไม่คิดเลยว่าจ้าวนิกายมหาอำนาจจะกลายเป็นไส้ศึกจากฝั่งอาณาจักรโบราณ เป็นความจริงที่เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!
ตอนนี้ที่จุดสูงสุดของนิกายยังถูกแทรกแซงได้ แค่นี้ก็อธิบายได้แล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครสังเกตถึงการใช้หลุมกระแสพลังสีดำนั้นของจ้าวนิกายเลย เพราะคงไม่มีใครคิดถึงเหมือนกันว่าจ้าวนิกายจะเป็นสายลับเสียเอง
แล้วตัวของหลิททิงนั้นก็พึ่งจะกลับมาดำรงตำแหน่งผู้อาวุโส เขาเองก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รับส่วนหนึ่งของร่างกายหลิงทิง ทำให้เขาเห็นว่านี้เป็นโอกาสทองที่จะได้เก็บชิ้นส่วนของร่างกายของทั้งสองพร้อมกัน
“รับทราบท่านจ้าวนิกาย”
ต่อหน้าคำพูดของจ้าวนิกายแล้วนั้น หลิงทิงเองก็ไม่มีความเคลือบแคลงใจใดๆ ทั้งสิ้น
นางเปิดปากเล็กน้อยก่อนที่จะมีแก่นโลหิตลอยออกมา ตัวของแก่นโลหิตนั้นส่องแสงหลากสีสันมากและไปตกอยู่ในมือของจ้าวนิกายทันที
“ยังดีที่เรานั้นปรับเปลี่ยนทุกอย่างในตัวหมดแล้ว ต่อให้พวกม้นเอาหยดเลือดของเราไปก็ปลอมเป็นเราได้แค่ร่างนี้ของเราเท่านั้น”
“อย่างเดียวที่กลัวคือ ถึงเราจะเปลี่ยนและปรับแต่งตัวตนของเราไปมากขนาดไหน แต่นั้นก็คือแก่นโลหิตของเราจริงๆ มันอาจจะพบเจอบางอย่างในตัวของเราก็ได้ หากมันมีวิธีการสืบค้นขึ้นมา”
“มันจะรู้ถึงความลับทุกอย่างที่เราแอบซ่อนเอาไว้!”
“แต่…มันคงยังไม่รู้ในเร็วๆ นี้หรอก”
“พวกมันคงต้องส่งหยดเลือดของเรากลับไปยังอาณาจักรของมันก่อน และหลังจากที่ผ่านกรรมวิธีแล้ว พวกมันถึงจะรู้ความจริงทั้งหมด”
“ถึงการส่งข้อความสื่อสารของอาณาจักรคลื่นโบราณนั้นรวดเร็วก็จริง แต่ก็ยังใช้เวลาในการส่งเลือดของเราอยู่ดี”
“ช่วงเวลาตรงนั้นคงเพียงพอแล้วสำหรับเรา”
แล้วซู่เสี่ยวไป่ก็นำแก่นโลหิตของตัวเองออกมา และมันก็ลอยเข้าไปอยู่ในมือของจ้าวนิกาย
เขาสังเกตเห็นได้ทันทีว่ามุมปากของจ้าวนิกายนั้นยกสูงขึ้นผิดปกติ
“ข้าไป่หยิงขอสาบานด้วยแก่นโลหิตวิญญาณ…”
ซู่เสี่ยวไป่เริ่มกล่าวคำสาบาน
คำสาบานแก่นโลหิตจิตวิญญาณนั้นเป็นการสาบานต่อหลิงทิง มันพอแล้วที่กำราบและควบคุมเขาได้แต่นั้นจำเป็นต้องแข็งแกร่งกว่าเขา ซึ่งบรรพชนบรรพกาลหลิงทิงนั้นทำได้หากเป็นชาติก่อน
แต่ตอนนี้นางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การสาบานต่อนางนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
“เอาล่ะจากนี้ไป เจ้าไป่หยินจะถือว่าเป็นศิษของนิกายวังจิตวิญญาณ และเป็นศิษรุ่นที่ 27!”
“จงปฎิบัติตามกฏของนิกายอย่างเคร่งครัด และเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์!”
“วันข้างหน้า เจ้าจะเป็นความหวังของนิกายวังจิตวิญญาณเหนือภพต่อไป”
“อีกหนึ่งเดือนการเปิดรับศิษสาวกนั้นจะจบลง จะมีการจัดพิธีการขึ้นสำหรับศิษสาวกใหม่ทุกคนรวมถึงเจ้าด้วย ตอนนี้เจ้าจงติดตามอาจารย์ของเจ้ากลับตำหนักไปก่อน”
เมื่อจ้าวนิกายพูดจบเขาก็หันหลังกลับไปพร้อมกับเดินหายเข้าไปในวงวนกระแสพลังหลุมสีดำ
ซู่เสี่ยวไป่นั้นมองตามหลังของจ้าวนิกายไปยังไม่ลดละ ด้วยแววตาที่ลึกล้ำ
“ไปกันได้แล้ว”
หลิงทิงนั้นกล่าวขึ้นก่อนจะบอกให้ซู่เสี่ยวไป่ติดตามนางไป ภายใต้สายตาที่อิจฉาริษยาจากผู้อาวุโสผู้อื่น ทั้งสองเดินทางมุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักแจกันวิญญาณของหลิงทิง
“ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเจ้าอย่างบอกไม่ถูก….”
“ข้านั้นก็ไม่อาจจะหาสัมผัสเส้นทางแห่งตรรกะของเจ้ากับข้าได้ และไม่เห็นสายสัมพันธ์แห่งโชคชะตาระหว่างเราสองคน แต่ไหนข้ากลับรู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเจอเจ้ามาก่อน?”
ระหว่างทางหลิงทิงนั้นได้พูดขึ้นถามกับซุ่เสี่ยวไป่ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย และมองมาที่เขาด้วยความสงสัย
การส่งเสียงของนางนั้นมีเพียงซู่เสี่ยวไป่คนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันท่านอาจารย์”
ซู่เสี่ยวไป่ก็ตอบไปอย่างไม่แสดงพิรุทอะไร
แน่นอนว่าไอความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นมันจะมาจากไหนได้อีก มันก็คือสายสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณที่ทั้งคู่ได้ใช้จิตวิญญาณทำการสร้างบุตรจักรพรรดิอมตะด้วยกัน และหลิงทิงนั้นไม่สามารถตรวจสอบได้
แต่ซู่เสี่ยวไป่นั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาสนใจบอกเรื่องนี้ ตอนนี้เขาคาดการณ์ว่าจ้าวนิกายนั้นคงได้เอาแก่นเลือดของทั้งเขาและหลิงทิงกลับไปยังอาณาจักรคลื่นโบราณแล้ว
แล้วเมื่อไรที่อาณาจักรคลื่นโบราณให้ตรวจสอบหยดเลือดของซู่เสี่ยวไป่อย่างละเอียดจะรับรู้ถึงดาราจักรชีวิตที่ 12 ภายในตัวของเขา และอีกหลายอย่างก็จะถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด!
“นี่คือของทำขวัญที่อาจารย์จะมอบให้เจ้า”
“ข้านั้นจำเป็นต้องปิดด่านฝึกอย่างสันโดษ เพื่อจะฟื้นพลังดั้งเดิมของข้ากลับมา เจ้าคงสามารถฝึกฝนได้ด้วยตัวเอง หากว่ามีเรื่องอะไรให้ติดต่อข้าผ่านป้ายวิญญาณนี้”
หลิงทิงนั้นดูไม่ได้ต่อต้านเขา และมอบแหวนคลังให้กับซู่เสี่ยวไป่
ภายในนั้นเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย ซึ่งเป็นสมบัติของชาติก่อนของนางที่เก็บสะสมเอาไว้ ทั้งวิชากึ่งบรรพชน และวิชาบรรพชนก็มีอยู่ในนี้ด้วย
“โห!”
ซู่เสี่ยวไป่นั้นถึงกับอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อได้เห็นทองคำเอกภพ จำนวนมากมาย
มันเหมือนกับศิลาบรรพชนเป็นใช้เป็นเงิน
ทองคำเอกภพนั้นเป็นสกุลเงินสูงสุดของจักรวาลทวีปใหญ่ และก็ถือว่าเป็นสมบัติชั้นยอดด้วยเช่นเดียวกัน
มันมีประโยชน์มากกว่าการนำมาเป็นหน่วยเงินในการซื้อขายแลกเปลี่ยน
เพราะมันอัดแน่นไปด้วยกระแสพลัง บรรพชนบรรพกาลจึงใช้มันในการฝึกบ่มเพาะได้ และตัวเนื้อของมันนั้นก็พิเศษ และแข็งมาก สามารถนำมาสร้างยุทธภัณฑ์ชั้นยอดได้
ไม่เพียงเท่านั้นหากนำมาบดเป็นผง มันจะเป็นส่วนประกอบในการกลั่นยาทิพย์มากมายให้กับตัวตนบรรพชนบรรพกาลอีก
ด้วยความสาระพัดประโยชน์ของมันนั้นทำให้มูลค่าของทองคำเอกภพนั้นสูงมาก เทียบอัตราส่วนโดยใช้ระบบแปลงศิลาบรรพชนเป็นทองคำจักวาลนั้นใช้ศิลาบรรพชนถึง 1 ล้านล้านก้อน จะได้ทองคำเอกภพเท่ากำปั้นเท่านั้น
และการใช้ทองคำเอกภพนั้นจะไม่นับเป็นก้อนอีกต่อไป แต่จะนับเป็นในหน่วยของน้ำหนักกิโลกรัมเท่านั้น
มูลค่าศิลาบรรพชนทั้งตัวของซู่เสี่ยวไป่นั้นสามารถแลกเป็นทองคำเอกภพได้ไม่กี่สิบกิโลกรัมเท่านั้น
แต่ภายในแหวนคลังที่หลิงทิงมอบให้มานั้น มีทองคำเอกภพหนักหลายร้อยกิโลกรัมอยู่
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
ซู่เสี่ยวไป่รับแหวนคลังมาด้วยความดีใจ
เขาหายสงสัยแล้วว่าทำไมผู้คนมากมายถึงแย่งกันเป็นศิษของนิกายมหาอำนาจกัน และต้องการเป็นศิษของเหล่าผู้อาวุโส เพราะพวกเขาจะได้รับทรัพยากรที่มากมายในการฝึกฝน นี้ขนาดแค่ของทำขวัญรับเป็นศิษยังมากมายเท่ากับที่เขาหามาหลายเดือน!
ครั้งนี้ดูเสี่ยงอันตรายก็จริง แต่หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเขาก็แค่แทนที่กับเงาออกไปแล้วหลบไปอยู่เบื้องหลังอีกครั้งและสะสมพลังจนมากพอแล้วกลับมาสู้ใหม่!