ตอนที่แล้วยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 434 ข้าเลือกหลิงทิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 436 ศิษพี่ปรากฏตัว

ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 435 เป็นไปตามแผนของพวกมัน


“อืม…เออ….”

ซู่เสี่ยวไป่นั้นหูอือไปอยู่พักหนึ่งและมึนงง เพราะบรรพชนหลายคนรุมกันพูดไม่หยุด เมื่อเขาได้สติกลับมาเขาก็จ้องมองไปยังหลิงทิง

แม้ว่าเขายังไม่ได้พูดอะไรก็ตาม แต่หากใครพอมีสติปัญญาสักเล็กน้อยก็พอจะรู้ว่า สีหน้าที่ซุ่เสี่ยวไป่มองหลิงทิงนั้นไม่ธรรมดา ราวกับว่าเขาได้เจออะไรบางสิ่งที่ต้องการ และเหมือนซู่เสี่ยวไป่จะดูลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนทำท่าเหมือนจะพูด

ในเรื่องนี้ตัวของจ้าวนิกายนั้นก็เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น แต่รอยยิ้มอันเป็นมิตรไม่ได้เลือนหายไปจากหน้าเลย

และอย่างที่รู้กันว่าซู่เสี่ยวไป่จงใจปลอมตัวเข้ามา

แต่เมื่อเข้ามาได้แล้วซู่เสี่ยวไป่กลับต้องเผชิญหน้ากับสายลับจากอาณาจักรคลื่นโบราณ เขานั้นรู้ได้จากวิธีการเคลื่อนย้ายของตัวตนนี้ที่สร้างหลุมกระแสพลังสีดำ แต่ในที่นี้ไม่มีใครรู้เลยสักคน

ซู่เสี่ยวไป่หันมองจ้าวนิกายเหมือนจะถามอะไร แล้วเขาก็นิ่งไป เพราะกลัวว่าคำถามนั้นจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว

แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แล้วซู่เสี่ยวไป่ก็ต้องแสดงไปตามน้ำให้ดีที่สุด แม้ว่าจะไม่เป็นที่พึงพอใจของใครแถวนี้ก็ตาม เขาก็เลือกที่จะกลืนความรู้สึกเหล่านั้นลงท้องไป

“หลิงทิง….เขาเลือกให้เจ้าเป็นอาจารย์ แล้วเจ้ายินดีจะรับเขาไว้เป็นศิษหรือไม่?”

จ้าวนิกายกล่าวถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม

บรรพชนบรรพกาลหลิงทิงเองก็จ้องมองซู่เสี่ยวไป่ตาไม่กระพริบ

“ไป่หยินใช่ไหม…..ต่อจากนี้เจ้าเป็นศิษของข้าแล้ว”

“บ้าเอ๊ยนี้มันเรื่องอะไรกัน!”

“เสียเวลาพูดต้องนานสุดท้ายก็กลายว่าเจ้าหนูนี้ไปอยู่กับคนอื่น”

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงหมิงหยานั้นน่าจะเป็นคนที่เจ็บใจสุด เขามอบสมบัติระดับบรรพชนบรรพกาลให้กับเด็กน้อยนั้นไปเลยนะ”

“เจ็บใจ?? เหตุใดข้าต้องรู้สึกเจ็บใจเสียใจด้วย! นี้เป็นถึงตัวตนยอดอัจฉริยะที่ไม่รู้กี่ล้านปีจะเกิดขึ้นมาสักคนหรืออาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้ สักวันเขาจะขึ้นมาเป็นเสาหลักของนิกายแห่งนี้ ดังนั้นข้าก็เหมือนได้ผูกมิตรเป็นการล่วงหน้าก่อนแล้ว!!”

……

เหล่าผู้อาวุโสของนิกายนั้นต่างบ่นกันระงมไปหมด ด้วยความเสียดายที่ไม่ได้ตัวซู่เสี่ยวไป่มา

“ศิษไป่หยิน คำนับท่านอาจารย์”

ซู่เสี่ยวไป่ทำความเคารพแบบศิษต่ออาจารย์ให้หลิงทิง

“ดี!!”

“วันนี้เป็นวันดี!! หลิงทิงนำแก่นโลหิตของเจ้าออกมาหนึ่งหยด และเด็กน้อยเจ้าก็นำออกมาด้วยหนึ่งหยด”

“ข้าจะผูกแก่นโลหิตของทั้งสอง และนำมันใส่เข้าไปในตราประจำนิกาย  ผู้เป็นศิษจะต้องสาบานต่อแก่นโลหิตว่าจะไม่ทรยศอาจารย์เด็ดขาด และผู้เป็นอาจารย์จะยอมรับเด็กน้อยผู้นี้เป็นศิษของตน!”

จ้าวนิกายหัวเราะด้วยความชอบใจ

แก่นโลหิต?

หัวใจของซู่เสี่ยวไป่สั่นสะท้านทันที

และแทบจะในทันทีมีประกายแสงแว๊บหนึ่งขึ้นบนนัยน์ตาของเขา

จ้าวนิกายคิดจะใช้การสาบานต่อแก่นโลหิตนี้เพื่อเก็บส่วนหนึ่งของร่างกายเขากับของหลิงทิง!!

เพราะในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานั้น ซู่เสี่ยวไป่ไม่ได้เพียงแค่บุกถล่มอาณาจักรคลื่นโบราณไปอย่างเดียว เขายังได้เรียนรู้จากเอกสารตำราจากซากปรักหักพังต่างๆ ที่เขาถล่มไป และได้รู้เรื่องราววิธีการต่างๆ ของอาณาจักรแห่งนี้

และได้รู้ถึงวิธีการปลอมแปลงตัวของอาณาจักรคลื่นโบราณ

อย่างแรกเขารู้แล้วว่าการที่ตัวตนพวกนี้จะปลอมเป็นใครได้นั้นต้องมีบางส่วนของร่างกายหรือเศษชิ้นพันธุกรรมของตัวตนนั้น อย่างเลือด เนื้อ ผิวหนัง

เมื่อมันผ่านกระบวนการพิเศษแล้ว พวกอาณาจักรคลื่นโบราณจะปลอมแปลงเป็นตัวตนเดียวกับเจ้าของพันธุกรรมนั้น อย่างแนบเนียน

“เขาจงใจให้เรายอมสาบานต่อหลิงทิงและยกให้เป็นอาจารย์ โดยใช้แก่นโลหิตเป็นเครื่องพันธะ และเขาจะได้แก่นโลหิตสองหยดพร้อมกัน นั้นแปลว่ามันจะให้คนอื่นปลอมเป็นเราและหลิงทิงเข้าไปแอบแฝงในที่ต่างๆ ในอนาคต”

“ไม่เพียงเท่านั้น”

“มันไม่น่าจะใช้วิธีนี้ครั้งแรก”

“นั้นก็แสดงว่า….”

เมื่อซู่เสี่ยวไป่คิดได้ถึงจุดนี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมากกว่าเก่า

“เป็นไปได้ไหมว่า มันได้ส่วนหนึ่งของร่างกายผู้อาวุโสทั้งนิกายแล้ว”

“มีความเป็นไปได้สูงด้วยว่าจะมีคนอื่นอยู่ด้วย นอกจากจ้าวนิกายที่เป็นสายลับของอาณาจักรคลื่นโบราณ”

ซู่เสี่ยวไป่นั้นราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางหัวใจ เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

เขาคิดว่ายังมีเวลาอีกสองสามวันที่จะเตรียมตัว แต่ไม่คิดเลยว่าจ้าวนิกายมหาอำนาจจะกลายเป็นไส้ศึกจากฝั่งอาณาจักรโบราณ เป็นความจริงที่เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!

ตอนนี้ที่จุดสูงสุดของนิกายยังถูกแทรกแซงได้ แค่นี้ก็อธิบายได้แล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครสังเกตถึงการใช้หลุมกระแสพลังสีดำนั้นของจ้าวนิกายเลย เพราะคงไม่มีใครคิดถึงเหมือนกันว่าจ้าวนิกายจะเป็นสายลับเสียเอง

แล้วตัวของหลิททิงนั้นก็พึ่งจะกลับมาดำรงตำแหน่งผู้อาวุโส เขาเองก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รับส่วนหนึ่งของร่างกายหลิงทิง ทำให้เขาเห็นว่านี้เป็นโอกาสทองที่จะได้เก็บชิ้นส่วนของร่างกายของทั้งสองพร้อมกัน

“รับทราบท่านจ้าวนิกาย”

ต่อหน้าคำพูดของจ้าวนิกายแล้วนั้น หลิงทิงเองก็ไม่มีความเคลือบแคลงใจใดๆ ทั้งสิ้น

นางเปิดปากเล็กน้อยก่อนที่จะมีแก่นโลหิตลอยออกมา ตัวของแก่นโลหิตนั้นส่องแสงหลากสีสันมากและไปตกอยู่ในมือของจ้าวนิกายทันที

“ยังดีที่เรานั้นปรับเปลี่ยนทุกอย่างในตัวหมดแล้ว ต่อให้พวกม้นเอาหยดเลือดของเราไปก็ปลอมเป็นเราได้แค่ร่างนี้ของเราเท่านั้น”

“อย่างเดียวที่กลัวคือ ถึงเราจะเปลี่ยนและปรับแต่งตัวตนของเราไปมากขนาดไหน แต่นั้นก็คือแก่นโลหิตของเราจริงๆ มันอาจจะพบเจอบางอย่างในตัวของเราก็ได้ หากมันมีวิธีการสืบค้นขึ้นมา”

“มันจะรู้ถึงความลับทุกอย่างที่เราแอบซ่อนเอาไว้!”

“แต่…มันคงยังไม่รู้ในเร็วๆ นี้หรอก”

“พวกมันคงต้องส่งหยดเลือดของเรากลับไปยังอาณาจักรของมันก่อน และหลังจากที่ผ่านกรรมวิธีแล้ว พวกมันถึงจะรู้ความจริงทั้งหมด”

“ถึงการส่งข้อความสื่อสารของอาณาจักรคลื่นโบราณนั้นรวดเร็วก็จริง แต่ก็ยังใช้เวลาในการส่งเลือดของเราอยู่ดี”

“ช่วงเวลาตรงนั้นคงเพียงพอแล้วสำหรับเรา”

แล้วซู่เสี่ยวไป่ก็นำแก่นโลหิตของตัวเองออกมา และมันก็ลอยเข้าไปอยู่ในมือของจ้าวนิกาย

เขาสังเกตเห็นได้ทันทีว่ามุมปากของจ้าวนิกายนั้นยกสูงขึ้นผิดปกติ

“ข้าไป่หยิงขอสาบานด้วยแก่นโลหิตวิญญาณ…”

ซู่เสี่ยวไป่เริ่มกล่าวคำสาบาน

คำสาบานแก่นโลหิตจิตวิญญาณนั้นเป็นการสาบานต่อหลิงทิง มันพอแล้วที่กำราบและควบคุมเขาได้แต่นั้นจำเป็นต้องแข็งแกร่งกว่าเขา ซึ่งบรรพชนบรรพกาลหลิงทิงนั้นทำได้หากเป็นชาติก่อน

แต่ตอนนี้นางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การสาบานต่อนางนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร

“เอาล่ะจากนี้ไป เจ้าไป่หยินจะถือว่าเป็นศิษของนิกายวังจิตวิญญาณ และเป็นศิษรุ่นที่ 27!”

“จงปฎิบัติตามกฏของนิกายอย่างเคร่งครัด และเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์!”

“วันข้างหน้า เจ้าจะเป็นความหวังของนิกายวังจิตวิญญาณเหนือภพต่อไป”

“อีกหนึ่งเดือนการเปิดรับศิษสาวกนั้นจะจบลง จะมีการจัดพิธีการขึ้นสำหรับศิษสาวกใหม่ทุกคนรวมถึงเจ้าด้วย ตอนนี้เจ้าจงติดตามอาจารย์ของเจ้ากลับตำหนักไปก่อน”

เมื่อจ้าวนิกายพูดจบเขาก็หันหลังกลับไปพร้อมกับเดินหายเข้าไปในวงวนกระแสพลังหลุมสีดำ

ซู่เสี่ยวไป่นั้นมองตามหลังของจ้าวนิกายไปยังไม่ลดละ ด้วยแววตาที่ลึกล้ำ

“ไปกันได้แล้ว”

หลิงทิงนั้นกล่าวขึ้นก่อนจะบอกให้ซู่เสี่ยวไป่ติดตามนางไป ภายใต้สายตาที่อิจฉาริษยาจากผู้อาวุโสผู้อื่น ทั้งสองเดินทางมุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักแจกันวิญญาณของหลิงทิง

“ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเจ้าอย่างบอกไม่ถูก….”

“ข้านั้นก็ไม่อาจจะหาสัมผัสเส้นทางแห่งตรรกะของเจ้ากับข้าได้ และไม่เห็นสายสัมพันธ์แห่งโชคชะตาระหว่างเราสองคน แต่ไหนข้ากลับรู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเจอเจ้ามาก่อน?”

ระหว่างทางหลิงทิงนั้นได้พูดขึ้นถามกับซุ่เสี่ยวไป่ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย และมองมาที่เขาด้วยความสงสัย

การส่งเสียงของนางนั้นมีเพียงซู่เสี่ยวไป่คนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน

“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันท่านอาจารย์”

ซู่เสี่ยวไป่ก็ตอบไปอย่างไม่แสดงพิรุทอะไร

แน่นอนว่าไอความรู้สึกที่คุ้นเคยนั้นมันจะมาจากไหนได้อีก มันก็คือสายสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณที่ทั้งคู่ได้ใช้จิตวิญญาณทำการสร้างบุตรจักรพรรดิอมตะด้วยกัน และหลิงทิงนั้นไม่สามารถตรวจสอบได้

แต่ซู่เสี่ยวไป่นั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาสนใจบอกเรื่องนี้ ตอนนี้เขาคาดการณ์ว่าจ้าวนิกายนั้นคงได้เอาแก่นเลือดของทั้งเขาและหลิงทิงกลับไปยังอาณาจักรคลื่นโบราณแล้ว

แล้วเมื่อไรที่อาณาจักรคลื่นโบราณให้ตรวจสอบหยดเลือดของซู่เสี่ยวไป่อย่างละเอียดจะรับรู้ถึงดาราจักรชีวิตที่ 12 ภายในตัวของเขา และอีกหลายอย่างก็จะถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด!

“นี่คือของทำขวัญที่อาจารย์จะมอบให้เจ้า”

“ข้านั้นจำเป็นต้องปิดด่านฝึกอย่างสันโดษ เพื่อจะฟื้นพลังดั้งเดิมของข้ากลับมา เจ้าคงสามารถฝึกฝนได้ด้วยตัวเอง หากว่ามีเรื่องอะไรให้ติดต่อข้าผ่านป้ายวิญญาณนี้”

หลิงทิงนั้นดูไม่ได้ต่อต้านเขา และมอบแหวนคลังให้กับซู่เสี่ยวไป่

ภายในนั้นเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย ซึ่งเป็นสมบัติของชาติก่อนของนางที่เก็บสะสมเอาไว้ ทั้งวิชากึ่งบรรพชน และวิชาบรรพชนก็มีอยู่ในนี้ด้วย

“โห!”

ซู่เสี่ยวไป่นั้นถึงกับอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อได้เห็นทองคำเอกภพ จำนวนมากมาย

มันเหมือนกับศิลาบรรพชนเป็นใช้เป็นเงิน

ทองคำเอกภพนั้นเป็นสกุลเงินสูงสุดของจักรวาลทวีปใหญ่ และก็ถือว่าเป็นสมบัติชั้นยอดด้วยเช่นเดียวกัน

มันมีประโยชน์มากกว่าการนำมาเป็นหน่วยเงินในการซื้อขายแลกเปลี่ยน

เพราะมันอัดแน่นไปด้วยกระแสพลัง บรรพชนบรรพกาลจึงใช้มันในการฝึกบ่มเพาะได้ และตัวเนื้อของมันนั้นก็พิเศษ และแข็งมาก สามารถนำมาสร้างยุทธภัณฑ์ชั้นยอดได้

ไม่เพียงเท่านั้นหากนำมาบดเป็นผง มันจะเป็นส่วนประกอบในการกลั่นยาทิพย์มากมายให้กับตัวตนบรรพชนบรรพกาลอีก

ด้วยความสาระพัดประโยชน์ของมันนั้นทำให้มูลค่าของทองคำเอกภพนั้นสูงมาก เทียบอัตราส่วนโดยใช้ระบบแปลงศิลาบรรพชนเป็นทองคำจักวาลนั้นใช้ศิลาบรรพชนถึง 1 ล้านล้านก้อน จะได้ทองคำเอกภพเท่ากำปั้นเท่านั้น

และการใช้ทองคำเอกภพนั้นจะไม่นับเป็นก้อนอีกต่อไป แต่จะนับเป็นในหน่วยของน้ำหนักกิโลกรัมเท่านั้น

มูลค่าศิลาบรรพชนทั้งตัวของซู่เสี่ยวไป่นั้นสามารถแลกเป็นทองคำเอกภพได้ไม่กี่สิบกิโลกรัมเท่านั้น

แต่ภายในแหวนคลังที่หลิงทิงมอบให้มานั้น มีทองคำเอกภพหนักหลายร้อยกิโลกรัมอยู่

“ขอบคุณท่านอาจารย์”

ซู่เสี่ยวไป่รับแหวนคลังมาด้วยความดีใจ

เขาหายสงสัยแล้วว่าทำไมผู้คนมากมายถึงแย่งกันเป็นศิษของนิกายมหาอำนาจกัน และต้องการเป็นศิษของเหล่าผู้อาวุโส เพราะพวกเขาจะได้รับทรัพยากรที่มากมายในการฝึกฝน นี้ขนาดแค่ของทำขวัญรับเป็นศิษยังมากมายเท่ากับที่เขาหามาหลายเดือน!

ครั้งนี้ดูเสี่ยงอันตรายก็จริง แต่หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเขาก็แค่แทนที่กับเงาออกไปแล้วหลบไปอยู่เบื้องหลังอีกครั้งและสะสมพลังจนมากพอแล้วกลับมาสู้ใหม่!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด