ตอนที่แล้วตอนที่ 9-34 ชื่อเสียงขจรไกล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9-36 วิกฤติของเรย์โนลด์

ตอนที่ 9-35 เป้าหมาย : แดนอนารยชน


สายลมแผ่วพัดไล้เส้นผมของลินลี่ย์ขณะที่เขานั่งสงบอยู่ในท่าทำสมาธิกับพื้น  ดวงตาปิด วิญญาณของเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับแผ่นดินและสายลม

“ครืนนน...” ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ถึงความร้อนของแม็กมาร้อนแรงที่อยู่ลึกในพื้นโลก

“วิ้ววว...” ลินลี่ย์สามารถรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงความเร็วในสายลม  ชั้นบรรยากาศตอนบนลมแรงมาก  แต่ลมภายในบ้านเรือนต่างๆในเมืองหลวงนั้นอ่อนมาก ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงในสายลมทั้งหมด

เขาเพลิดเพลินกับความรู้สึกในการฝึกฝน  แต่ละครั้งเขาจะได้รับความรู้ใหม่และแต่ละครั้งเขาจะมีความก้าวหน้า  เขารู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขายกระดับและมีการเปลี่ยนแปลง

นี่คือเหตุการณ์ที่ปลาบปลื้มทำให้ใจของเขาสั่นไหวในแต่ละครั้ง

“คำพูดของเทพสงครามอาจจะถูกต้องก็ได้ เป็นการดีที่ผู้ฝึกให้ความสนใจในเส้นทางฝึกฝนทางเดียว  กฎแห่งธาตุดินกว้างขวางและไร้ขอบเขต  ขณะที่ ‘การเต้นของชีพจรโลก’ นี่ค่อนข้างลึกซึ้ง ส่วนย่อยของกฎเหล่านั้นก็ลึกเช่นกัน”  ลินลี่ย์รู้สึกได้เช่นนี้

แม้ว่าเขากับเฮนด์เซนจะศึกษากฎธาตุดินทั้งคู่  แต่พวกเขาก็มีเส้นทางที่แตกต่างกัน

พลังโจมตีคลื่นสั่นสะเทือนของเขาเองมีระดับที่สูงกว่าเฮนด์เซนอย่างเห็นได้ชัด!

“ตึกๆ” “ตึกๆ”จังหวะที่เฉพาะและจังหวะของชีพจรแผ่นดินดึงดูดความสนใจของลินลี่ย์ไปหมด ลินลี่ย์ปล่อยให้ตนเองจมดิ่งกับความสนใจและพยายามอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจความลับที่ลึกซึ้งซึ่งซ่อนอยู่ในนั้น

นับตั้งแต่ที่ได้สู้กับเฮนด์เซน  ลินลี่ย์จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะสุดยอดฝีมือผู้ทรงพลังคนหนึ่งในทวีปยูลาน  เขาถูกพูดถึงว่าอยู่ในระดับเดียวกับเฮนด์เซน,จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และประมุขลัทธิมืด ในนครหลวงแชนน์ สถานะของตระกูลบาลุคก็พิเศษกว่าธรรมดาเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าเขาจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่มีใครกล้ามารบกวนลินลี่ย์อีกต่อไป

“ด้วยการรู้แจ้งใหม่ข้ามีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป” ลินลี่ย์ลืมตา มีรอยยิ้มที่มิอาจซ่อนเร้นไว้ในใบหน้าได้  ลินลี่ย์ถอนหายใจด้วยความรู้สึกทึ่ง “แม้ว่าการเต้นของชีพจรโลกจะแฝงไปด้วยความลับที่ลึกลับและลึกซึ้งแล้วกฎแห่งธาตุดินมีความกว้างขวางไร้ขอบเขตเพียงใดกันแน่”

มิน่าเล่า...การเป็นระดับเทพถึงได้ยากนัก

และแม้แต่บุคคลที่มีความสามารถที่เหลือเชื่ออย่างเทพสงครามยังเป็นได้แค่เทพระดับต้นทั้งที่ผ่านมานานถึงห้าพันปีแล้ว

“พี่ใหญ่!”  วอร์ตันและพี่น้องบาร์เกอร์วิ่งเข้ามาหา

“ข้ารู้แล้วว่าเจ้ากำลังมา”  ลินลี่ย์หัวเราะและลุกขึ้นยืน  เมื่อเขาปรับตัวเข้ากับโลก  ลินลี่ย์รู้สึกว่าวอร์ตันและคนอื่นๆกำลังเดินเข้ามา

หลังจากทุกคนทานอาหารกลางวันเสร็จ

“ท่านซาสเลอร์” ลินลี่ย์ลุกขึ้นยืนและยิ้มขณะที่เขาทำท่าบอกซาสเลอร์  เขาพาซาสเลอร์เข้ามาในลานฝึกของเขาเอง  ทั้งสองคนนั่งลงหันหน้าเข้าหากัน

“ใต้เท้าลินลี่ย์  ท่านต้องการอะไรหรือ?”  ซาสเลอร์พูดอย่างสงสัย

ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏอยู่บนใบหน้าของลินลี่ย์  เขาถอนหายใจ “ท่านซาสเลอร์  ท่านก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลบาลุคของข้า”  ซาสเลอร์อยู่ที่นี่มานานแล้วในตอนนี้  เป็นธรรมดาที่เขาได้เรียนรู้  แน่นอนว่าเขารู้ทุกอย่าง  ซานเลอร์พยักหน้าทันที

ลินลี่ย์พูดอย่างใจเย็น “พ่อแม่ข้าตายไปแล้วทั้งคู่และตัวการหลักก็คือศาสนจักรเจิดจรัส  ในอดีต เมื่อข้าออกจากเมืองเฮสข้าสาบานว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะล้มล้างและขุดรากถอนโคนศาสนจักรเจิดจรัส”

ซาสเลอร์รู้เรื่องเป้าหมายนี้ของลินลี่ย์ดี

ลินลี่ย์มองดูซาสเลอร์  “ข้ารู้ว่าตอนนี้พลังของข้ายังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ มีบีบี แฮรุและพี่น้องบาร์เกอร์..ข้ามั่นใจในความสามารถของตัวเองว่าจะรับมือกับศาสนจักรเจิดจรัสได้ ข้ากำลังเตรียมตัวเริ่มลงมือกับศาสนจักรเจิดจรัส!”

“เจ้าจะเริ่มแล้วหรือ?”  ซาสเลอร์ตกใจ

ลินลี่ย์กำลังวางแผนลงมือกับศาสนจักรเจิดจรัสโดยเปิดเผยอย่างนั้นหรือ?

“ลินลี่ย์,แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงที่ว่าพลังของเราในตอนนี้น่ากลัวแต่รากเหง้าของศาสนจักรเจิดจรัสก็หยั่งไว้ลึกมากเช่นกัน...”  ซาสเลอร์พยายามปรามเขา  แม้แต่เขาก็เช่นกัน ต้องการจะทำลายศาสนจักรเจิดจรัส  พวกเขาต้องฉลาดรอบคอบในเรื่องนี้

ลินลี่ย์ยิ้มและโบกมือ  “ไม่, ข้าไม่ได้ไปสู้กับพวกเขาโดยตรง”

“ครั้งล่าสุด ข้าได้ยินท่านพูดถึงดินแดนอนารยชน ท่านบอกว่าศาสนจักรเจิดจรัสให้คุณค่าพื้นที่นี้สูงมากไม่ใช่หรือ  และนั่นก็มีพลังอำนาจอยู่ที่นั่นอีกมากใช่ไหม?”  ลินลี่ย์ถาม

ซาสเลอร์อายุเกินแปดร้อยปีแล้ว  และเขาใช้ชีวิตที่ดินแดนอนารยชนมาหลายปี

“แน่นอน พวกเขาให้คุณค่ามัน”

ซาสเลอร์อธิบายรายละเอียด  “ลินลี่ย์! เกี่ยวกับความเข้าใจของศาสนจักรเจิดจรัสตามความคิดเห็นของข้า นอกจากบูชายัญวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับมหาเทพเจิดจรัสแล้ว  มหาเทพเจิดจรัสยังต้องการสาวกอย่างเพียงพอ!  ยิ่งพวกเขามีคนนับถือมากขึ้นมีศรัทธามากขึ้น ศาสนจักรเจิดจรัสก็จะเผยแพร่ให้แสงแห่งเทพเจ้าไปได้ทั่วโลก  นี่คือเป้าหมายโดยตรงของพวกเขา”

ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย

ซาสเลอร์ดีดเล็บ  “ลินลี่ย์ ในทั่วทั้งทวีปพื้นที่ซึ่งวุ่นวายปั่นป่วนที่สุดก็คือทุ่งราบใหญ่ตะวันออกไกล  แดนอนารยชนและแปดแคว้นอิสระตอนเหนือ!”

“ที่นั่นแหละแปดแคว้นอิสระทางตอนเหนือมีส่วนร่วมทำสงครามอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่กลุ่มนักรบบนหลังม้าแห่งทุ่งราบใหญ่ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดร้าย ความกระหายเลือดมันเข้ากระดูกพวกเขาเสียแล้ว  เป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะเทิดทูนบูชามหาเทพเจิดจรัส? จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่นักรบบนหลังม้าไม่ถูกศาสนจักรเจิดจรัสเกลี้ยกล่อมเป็นพวกได้สำเร็จ”  ซาสเลอร์พูดช้าๆ  “ขณะที่แปดแคว้นอิสระตอนเหนือพวกแปดแคว้นอิสระตอนเหนือบูชาเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งอยู่แล้ว”

“เจ้าแม่หิมะน้ำแข็ง?” ลินลี่ย์ไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแปดแคว้นอิสระทางตอนเหนือมากนัก

“ถูกแล้ว” ซาสเลอร์พยักหน้า “แม้ว่าแปดแคว้นอิสระทางตอนเหนือจะทำสงครามกันเองต่อเนื่อง  แต่เทวาลัยของเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งก็มีอำนาจอยู่ในกลุ่มของแว่นแคว้นทั้งแปดแน่นอน  และความลับของเทวาลัย (ตำหนักเทพ)ของเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งก็มีมากเหลือคณานับ และนอกจากนี้เทวาลัยเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งไม่มีความทะเยอทะยานทั้งยังอยู่ภายในแปดแคว้นอิสระตอนเหนือมาตลอดเวลา  จึงเป็นธรรมดาอยู่นั่นเองที่ศาสนจักรเจิดจรัสไม่ต้องการไปตอแยพวกเขา และสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งทรงอำนาจ”

ลินลี่ย์หัวเราะ

ลินลี่ย์มักประหลาดใจเรื่องนี้เสมอมา แปดแคว้นอิสระตอนเหนือตั้งอยู่ใกล้ทิศเหนือของไพรทมิฬมีพรมแดนตามธรรมชาติก็คือ จักรวรรดิโอเบรียนและพื้นที่ครอบคลุมประมาณมณฑลหนึ่งด้วยอำนาจของจักรวรรดิโอเบรียน จะครอบครองน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ทำไมพวกเขาไม่ทำ?

ตอนนี้ลินลี่ย์เข้าใจแล้วว่านี่ต้องเกี่ยวกับเทวาลัยของเจ้าแม่หิมะน้ำแข็ง

“เนื่องจากสองที่เหล่านี้ไม่เป็นที่ต้องการ ก็มีแต่เพียงที่เดียวซึ่งเหลืออยู่ก็คือดินแดนอนารยชน!”  ซาสเลอร์ถอนหายใจ  “ดินแดนอนารยชนวุ่นวายหนัก  วุ่นวายจนน่ากลัว”

“วุ่นวาย? ทำไมเป็นเช่นนั้น?”

ซาสเลอร์ถอนหายใจอย่างมีอารมณ์  “ประการแรก ในอดีตที่ผ่านมาตามที่คำนวณไว้  มีแคว้นอิสระ 48 แคว้นแต่เขตแดนในดินแดนอนารยชนเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง ทุกๆ สองสามปีแคว้นอิสระจำนวนหนึ่งจะเปลี่ยนไป  บางทีก็มีห้าสิบ หรือบางทีก็มีสี่สิบ  นั่นยากจะพูดนี่คือเหตุผลประการแรกที่ทำให้มีความวุ่นวาย”

“เหตุผลประการที่สองที่ทำให้วุ่นวายเป็นเพราะเขตแดนของพวกเขา  พวกเขาอยู่ถัดจากจักรวรรดิโอเบรียน,จักรวรรดิโรฮอลท์และเผ่าของทุ่งราบใหญ่ตะวันออกไกล  กลุ่มอำนาจทั้งสามส่งผลต่อพวกเขา!”

“เหตุผลของความวุ่นวายประการที่สามก็คือเพราะทั้งศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาต้องการมีอิทธิพลเหนือดินแดนอนารยชนในแผ่นดินเหล่านี้ทั้งสองลัทธิศาสนามีอำนาจและอิทธิพลมาก  ทั้งสองลัทธิศาสนาต่างต่อต้านกันอย่างรุนแรงและการต่อสู้ระหว่างพวกเขายังคงมีอยู่ต่อไป”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ลินลี่ย์อดถอนหายใจไม่ได้  ถ้าเพราะเงื่อนไขเหล่านี้ดินแดนอนารยชนยังจะไม่มีความวุ่นวาย นั่นคงจะไม่สมเหตุผลเลยแม้แต่น้อย

“ยังมีเหตุผลของความวุ่นวายประการที่สี่อยู่อีก!”  ซาสเลอร์ถอนหายใจอย่างไม่เกรงใจ  “สำหรับแดนอนารยชนตอนเหนือก็คือไพรทมิฬที่กว้างขวาง ไพรทมิฬมีอสูรเวทมากมายไม่น้อยไปกว่าเทือกเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์  ทุกๆ ยี่สิบหรือสามสิบปี  หรืออาจจะทุกๆ สิบปีจะมีคลื่นอสูรเวท..อสูรเวทนับไม่ถ้วนมาจากไพรทมิฬบุกโจมตีใส่ดินแดนอนารยชนและนี่ไม่ใช่ภัยพิบัติธรรมดา!”

ลินลี่ย์สีหน้าเปลี่ยน

คลื่นโจมตีของอสูรเวทน่ะหรือ?

หลังจากได้มีประสบการณ์วันมหาวิบัติของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ ลินลี่ย์รู้ดีว่าคลื่นโจมตีของอสูรเวทนั้นน่ากลัวเพียงไหน  นั่นคือวันพิพากษาโลกโดยแท้

“แน่นอนว่า แม้ว่าจะอธิบายด้วยคำว่าคลื่นอสูรเวทแต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับ ‘วันมหาวิบัติ’ในเรื่องของความน่ากลัว”  ซาสเลอร์หัวเราะ  “อสูรเวทเกือบทั้งหมดที่มาจากไพรทมิฬจะเป็นอสูรเวทระดับกลางหรือไม่ก็ระดับต่ำมีน้อยมากที่จะมีอสูรเวทระดับสูงออกมาด้วย และแม้ว่าพวกมันจะมีจำนวนมาก ในช่วงเวลานั้นเจ้าแคว้นอิสระในดินแดนอนารยชนจะพร้อมใจร่วมมือกันกำจัดอสูรเวททั้งหมด”

ตอนนี้ลินลี่ย์เข้าใจแล้ว

ถ้ามีอสูรเวทระดับสูงไม่กี่ตัว ความเสียหายที่คลื่นอสูรเวทเหล่านี้ก่อขึ้นจะน้อยมากกว่า  นอกจากนี้จำนวนก็ยังไม่มากเท่ากับเมื่อครั้งที่สหภาพศักดิ์สิทธิ์ถูกรุกราน เป็นธรรมดาอยู่เองที่ปริมาณความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมีอย่างจำกัด

“ลินลี่ย์,แต่ว่าความแตกต่างระหว่างคลื่นอสูรเวทนี้และสิ่งที่เกิดขึ้นในสหภาพศักดิ์สิทธิ์ก็คือคลื่นอสูรเวทที่มาจากไพรทมิฬไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวมันเกิดขึ้นทุกสิบปีหรือยี่สิบถึงสามสิบปี และเป็นผลให้แดนอนารยชนไม่เคยสงบลงได้อย่างแท้จริง”  ซาสเลอร์ถอนหายใจ

ลินลี่ย์ก็ลอบถอนหายใจเช่นกัน

เนื่องจากสี่เหตุผลเหล่านี้จึงเป็นความจริงที่แดนอนารยชนวุ่นวายอยู่ตลอดกาล

“แม้ว่าแคว้นอิสระจะเล็ก  แต่ 48 แคว้นอิสระทั้งหมดพอรวมกันก็มีพื้นที่ใหญ่โตมหาศาล ดินแดนอนารยชนมีอยู่ครึ่งหนึ่งที่ต่อต้านจักรวรรดิโอเบรียน ความจริงพื้นที่ของดินแดนอนารยชนครอบคลุมอยู่ในขนาดใกล้เคียงสหภาพศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน”

ลินลี่ย์พยักหน้าเช่นกัน

หลังจากวันมหาวิบัติสหภาพศักดิ์สิทธิ์เหลือพื้นที่ขนาดสองในสามจากที่เคยมีครั้งก่อน  และแน่นอนจักรวรรดิโอเบรียนเป็นจักรวรรดิที่กว้างใหญ่ไพศาลมาแต่แรกด้วย

ทำให้มีความรู้สึกว่าดินแดนอนารยชนมีขนาดครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิโอเบรียนจึงมีขนาดพอๆกับสหภาพศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน

“ดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นจึงดึงดูดความสนใจจากศาสนจักรเจิดจรัสเป็นธรรมดา ศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาทั้งสองฝ่ายมียอดฝีมืออยู่มากและหยั่งรากเง่าไว้ลึก

เมื่อได้ยินเช่นนี้ลินลี่ย์หัวเราะ

ศาสนจักรเจิดจรัสจะส่งคนไปดินแดนซึ่งมีขนาดเท่ากับสหภาพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้กี่คนกัน?

“ถ้าศาสนจักรเจิดจรัสมีเซียนสักยี่สิบหรือสามสิบคน  อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องส่งเซียนไปที่นั่นห้าคนหก หรืออาจจะเจ็ดคน”  ลินลี่ย์พูดกับตัวเอง

เกาะศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ซึ่งยอดฝีมือของศาสนจักรเจิดจรัสทั้งหมดรวมกันอยู่

พวกเซียนที่ส่งไปที่แดนอนารยชนมีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่ยอดฝีมือที่ทรงพลังที่สุดที่ศาสนจักรเจิดจรัสมี

“หลังจากน้องชายของข้าแต่งงานแล้ว  เราจะมุ่งหน้าไปยังดินแดนอนารยชนกัน”  ลินลี่ย์มองดูซาสเลอร์และยิ้ม  “เราจะทำสงครามกับกลุ่มศาสนจักรเจิดจรัสในดินแดนอนารยชน”

ขุดรากถอนโคนศาสนจักรเจิดจรัสซึ่งหยั่งรากในแดนอนารยชนมาเป็นพันปีคงทำให้พวกศาสนจักรเจิดจรัสโกรธจนแทบคลั่งแน่นอน

“ดินแดนอนารยชนน่ะหรือ?”  ซาสเลอร์นัยน์ตาเป็นประกาย  “ยอดเยี่ยม!”

ลินลี่ย์ยิ้ม การทำลายอิทธิพลซึ่งศาสนจักรเจิดจรัสสั่งสมอยู่ที่นั่นมาเกินกว่าพันปีไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ภายในปีสองปี

“ข้าจะแบ่งเวลาสำหรับฝึกส่วนหนึ่ง  ขณะที่เวลาที่เหลือใช้จัดการกับพวกมันหลังจากทำลายอำนาจของพวกมันในดินแดนอนารยชนแล้วข้าน่าจะบรรลุถึงระดับเซียนในร่างมนุษย์ได้ ถึงตอนนั้นความรู้แจ้ง ‘จังหวะเต้นชีพจรโลก’ ก็น่าจะอยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน ถึงตอนนั้นเราจะร่วมกันสู้กับศาสนจักรเจิดจรัสได้โดยตรง”

ลินลี่ย์วางแผนเป็นชุดต่อเนื่องในใจอย่างชัดเจน

พวกเขาจะดำเนินการตามแผนการเหล่านี้  พวกเขาจะไม่ใจร้อนเร่งรีบ  ไปทีละก้าวพวกเขาจะขุดรากถอนโคนของศาสนจักรเจิดจรัส

ก่อนนั้นวอร์ตันเคยพูดความในใจไว้ก่อนลินลี่ย์ประลองกับเฮนด์เซนว่าถ้าไม่มีเรื่องยุ่งยากเกินไปเขาจะจัดงานแต่งงานกับนีน่า  ตอนนี้พวกเขากำหนดวันแต่งงานแล้ว 15 กันยายน

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาต้นเดือนกันยายน ทางด้านคฤหาสน์ท่านเคานท์และราชตระกูลกำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานมงคลสมรส

งานฉลองแต่งงานยังจะสำคัญยิ่งกว่างานฉลองการหมั้น

ที่พักของลินลี่ย์ ในคฤหาสน์ของเคานท์วอร์ตัน

“ลินลี่ย์!เรือและลูกเรือของเรากำลังจะเดินทางกลับจักรวรรดิยูลานแล้วข้าต้องกลับไปพร้อมกับอาจารย์” เดเลียมองลินลี่ย์ ริมฝีปากของนางโค้งลงขณะที่นางกล่าว  ลินลี่ย์ที่ก่อนหน้านั้นยังยิ้มอยู่ ถึงกับยิ้มค้าง

เมื่อรู้ว่าเดเลียกำลังจะจากไป  ลินลี่ย์รู้สึกใจหายวูบอย่างช่วยไม่ได้

สองสามเดือนที่ผ่านมาที่เขาใช้เวลากับเดเลียเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดในช่วงชีวิตสิบปีที่ผ่านมาของลินลี่ย์ทุกวันเขาจะมีแต่รอยยิ้ม

“เจ้าจะไปหรือ?”  ลินลี่ย์ฝืนยิ้ม “อย่างนั้นข้าขออวยพรให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ”

เดเลียตอนแรกยังยิ้ม นางสามารถบอกได้ว่าลินลี่ย์ไม่อยากจะแยกจากนาง  “อย่างไรก็ตาม...ข้าบอกอาจารย์ไว้ว่าเขาสามารถกลับได้ก่อน และข้าจะพักอยู่ที่นี่เป็นการส่วนตัว”

“หา?” ลินลี่ย์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้

“เจ้าไม่พอใจหรือ?”  เดเลียขมวดคิ้ว

“พอใจ พอใจสิ” ลินลี่ย์รีบพูด แต่จากนั้นเขามองเดเลียอย่างเคร่งขรึม “เดเลีย มีบางอย่างที่ข้าต้องบอกเจ้า”

“อะไร?” เดเลียมองลินลี่ย์อย่างคาดหวัง

“หลังจากน้องชายข้าแต่งงานแล้ว  ข้ามีแนวโน้มว่าจะต้องไปดินแดนอนารยชน”  ลินลี่ย์ตอบ

“โอว, อย่างนั้นข้าก็จะไปด้วย”  เดเลียไม่ลังเลใจสักนิด

แต่ขณะนั้นเอง เสียงตะโกนดีใจต่อเนื่องดังจนได้ยินขณะที่ร่างมนุษย์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาในที่พักลินลี่ย์ด้วยความเร็วสูง  จากด้านนอกถึงประตู  เสียงตะโกนของเกทส์ดังลั่น  “ใต้เท้า,พี่สี่ของข้าบรรลุเป็นนักรบระดับเก้าแล้ว!”

ห้าพี่น้องบาร์เกอร์ตอนนี้มีสี่คนที่มีพลังระดับเซียน

“ยังมีเซียนอีกคนหรือ?”  ลินลี่ย์อดยิ้มไม่ได้ ห้าพี่น้องเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนประหลาดใจได้เรื่อย จริงๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด