ตอนที่ 9-35 เป้าหมาย : แดนอนารยชน
สายลมแผ่วพัดไล้เส้นผมของลินลี่ย์ขณะที่เขานั่งสงบอยู่ในท่าทำสมาธิกับพื้น ดวงตาปิด วิญญาณของเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับแผ่นดินและสายลม
“ครืนนน...” ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ถึงความร้อนของแม็กมาร้อนแรงที่อยู่ลึกในพื้นโลก
“วิ้ววว...” ลินลี่ย์สามารถรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงความเร็วในสายลม ชั้นบรรยากาศตอนบนลมแรงมาก แต่ลมภายในบ้านเรือนต่างๆในเมืองหลวงนั้นอ่อนมาก ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงในสายลมทั้งหมด
เขาเพลิดเพลินกับความรู้สึกในการฝึกฝน แต่ละครั้งเขาจะได้รับความรู้ใหม่และแต่ละครั้งเขาจะมีความก้าวหน้า เขารู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขายกระดับและมีการเปลี่ยนแปลง
นี่คือเหตุการณ์ที่ปลาบปลื้มทำให้ใจของเขาสั่นไหวในแต่ละครั้ง
“คำพูดของเทพสงครามอาจจะถูกต้องก็ได้ เป็นการดีที่ผู้ฝึกให้ความสนใจในเส้นทางฝึกฝนทางเดียว กฎแห่งธาตุดินกว้างขวางและไร้ขอบเขต ขณะที่ ‘การเต้นของชีพจรโลก’ นี่ค่อนข้างลึกซึ้ง ส่วนย่อยของกฎเหล่านั้นก็ลึกเช่นกัน” ลินลี่ย์รู้สึกได้เช่นนี้
แม้ว่าเขากับเฮนด์เซนจะศึกษากฎธาตุดินทั้งคู่ แต่พวกเขาก็มีเส้นทางที่แตกต่างกัน
พลังโจมตีคลื่นสั่นสะเทือนของเขาเองมีระดับที่สูงกว่าเฮนด์เซนอย่างเห็นได้ชัด!
“ตึกๆ” “ตึกๆ”จังหวะที่เฉพาะและจังหวะของชีพจรแผ่นดินดึงดูดความสนใจของลินลี่ย์ไปหมด ลินลี่ย์ปล่อยให้ตนเองจมดิ่งกับความสนใจและพยายามอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจความลับที่ลึกซึ้งซึ่งซ่อนอยู่ในนั้น
นับตั้งแต่ที่ได้สู้กับเฮนด์เซน ลินลี่ย์จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะสุดยอดฝีมือผู้ทรงพลังคนหนึ่งในทวีปยูลาน เขาถูกพูดถึงว่าอยู่ในระดับเดียวกับเฮนด์เซน,จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และประมุขลัทธิมืด ในนครหลวงแชนน์ สถานะของตระกูลบาลุคก็พิเศษกว่าธรรมดาเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าเขาจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่มีใครกล้ามารบกวนลินลี่ย์อีกต่อไป
“ด้วยการรู้แจ้งใหม่ข้ามีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป” ลินลี่ย์ลืมตา มีรอยยิ้มที่มิอาจซ่อนเร้นไว้ในใบหน้าได้ ลินลี่ย์ถอนหายใจด้วยความรู้สึกทึ่ง “แม้ว่าการเต้นของชีพจรโลกจะแฝงไปด้วยความลับที่ลึกลับและลึกซึ้งแล้วกฎแห่งธาตุดินมีความกว้างขวางไร้ขอบเขตเพียงใดกันแน่”
มิน่าเล่า...การเป็นระดับเทพถึงได้ยากนัก
และแม้แต่บุคคลที่มีความสามารถที่เหลือเชื่ออย่างเทพสงครามยังเป็นได้แค่เทพระดับต้นทั้งที่ผ่านมานานถึงห้าพันปีแล้ว
“พี่ใหญ่!” วอร์ตันและพี่น้องบาร์เกอร์วิ่งเข้ามาหา
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้ากำลังมา” ลินลี่ย์หัวเราะและลุกขึ้นยืน เมื่อเขาปรับตัวเข้ากับโลก ลินลี่ย์รู้สึกว่าวอร์ตันและคนอื่นๆกำลังเดินเข้ามา
หลังจากทุกคนทานอาหารกลางวันเสร็จ
“ท่านซาสเลอร์” ลินลี่ย์ลุกขึ้นยืนและยิ้มขณะที่เขาทำท่าบอกซาสเลอร์ เขาพาซาสเลอร์เข้ามาในลานฝึกของเขาเอง ทั้งสองคนนั่งลงหันหน้าเข้าหากัน
“ใต้เท้าลินลี่ย์ ท่านต้องการอะไรหรือ?” ซาสเลอร์พูดอย่างสงสัย
ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏอยู่บนใบหน้าของลินลี่ย์ เขาถอนหายใจ “ท่านซาสเลอร์ ท่านก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลบาลุคของข้า” ซาสเลอร์อยู่ที่นี่มานานแล้วในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่เขาได้เรียนรู้ แน่นอนว่าเขารู้ทุกอย่าง ซานเลอร์พยักหน้าทันที
ลินลี่ย์พูดอย่างใจเย็น “พ่อแม่ข้าตายไปแล้วทั้งคู่และตัวการหลักก็คือศาสนจักรเจิดจรัส ในอดีต เมื่อข้าออกจากเมืองเฮสข้าสาบานว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะล้มล้างและขุดรากถอนโคนศาสนจักรเจิดจรัส”
ซาสเลอร์รู้เรื่องเป้าหมายนี้ของลินลี่ย์ดี
ลินลี่ย์มองดูซาสเลอร์ “ข้ารู้ว่าตอนนี้พลังของข้ายังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ มีบีบี แฮรุและพี่น้องบาร์เกอร์..ข้ามั่นใจในความสามารถของตัวเองว่าจะรับมือกับศาสนจักรเจิดจรัสได้ ข้ากำลังเตรียมตัวเริ่มลงมือกับศาสนจักรเจิดจรัส!”
“เจ้าจะเริ่มแล้วหรือ?” ซาสเลอร์ตกใจ
ลินลี่ย์กำลังวางแผนลงมือกับศาสนจักรเจิดจรัสโดยเปิดเผยอย่างนั้นหรือ?
“ลินลี่ย์,แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงที่ว่าพลังของเราในตอนนี้น่ากลัวแต่รากเหง้าของศาสนจักรเจิดจรัสก็หยั่งไว้ลึกมากเช่นกัน...” ซาสเลอร์พยายามปรามเขา แม้แต่เขาก็เช่นกัน ต้องการจะทำลายศาสนจักรเจิดจรัส พวกเขาต้องฉลาดรอบคอบในเรื่องนี้
ลินลี่ย์ยิ้มและโบกมือ “ไม่, ข้าไม่ได้ไปสู้กับพวกเขาโดยตรง”
“ครั้งล่าสุด ข้าได้ยินท่านพูดถึงดินแดนอนารยชน ท่านบอกว่าศาสนจักรเจิดจรัสให้คุณค่าพื้นที่นี้สูงมากไม่ใช่หรือ และนั่นก็มีพลังอำนาจอยู่ที่นั่นอีกมากใช่ไหม?” ลินลี่ย์ถาม
ซาสเลอร์อายุเกินแปดร้อยปีแล้ว และเขาใช้ชีวิตที่ดินแดนอนารยชนมาหลายปี
“แน่นอน พวกเขาให้คุณค่ามัน”
ซาสเลอร์อธิบายรายละเอียด “ลินลี่ย์! เกี่ยวกับความเข้าใจของศาสนจักรเจิดจรัสตามความคิดเห็นของข้า นอกจากบูชายัญวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับมหาเทพเจิดจรัสแล้ว มหาเทพเจิดจรัสยังต้องการสาวกอย่างเพียงพอ! ยิ่งพวกเขามีคนนับถือมากขึ้นมีศรัทธามากขึ้น ศาสนจักรเจิดจรัสก็จะเผยแพร่ให้แสงแห่งเทพเจ้าไปได้ทั่วโลก นี่คือเป้าหมายโดยตรงของพวกเขา”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ซาสเลอร์ดีดเล็บ “ลินลี่ย์ ในทั่วทั้งทวีปพื้นที่ซึ่งวุ่นวายปั่นป่วนที่สุดก็คือทุ่งราบใหญ่ตะวันออกไกล แดนอนารยชนและแปดแคว้นอิสระตอนเหนือ!”
“ที่นั่นแหละแปดแคว้นอิสระทางตอนเหนือมีส่วนร่วมทำสงครามอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มนักรบบนหลังม้าแห่งทุ่งราบใหญ่ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดร้าย ความกระหายเลือดมันเข้ากระดูกพวกเขาเสียแล้ว เป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะเทิดทูนบูชามหาเทพเจิดจรัส? จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่นักรบบนหลังม้าไม่ถูกศาสนจักรเจิดจรัสเกลี้ยกล่อมเป็นพวกได้สำเร็จ” ซาสเลอร์พูดช้าๆ “ขณะที่แปดแคว้นอิสระตอนเหนือพวกแปดแคว้นอิสระตอนเหนือบูชาเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งอยู่แล้ว”
“เจ้าแม่หิมะน้ำแข็ง?” ลินลี่ย์ไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแปดแคว้นอิสระทางตอนเหนือมากนัก
“ถูกแล้ว” ซาสเลอร์พยักหน้า “แม้ว่าแปดแคว้นอิสระทางตอนเหนือจะทำสงครามกันเองต่อเนื่อง แต่เทวาลัยของเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งก็มีอำนาจอยู่ในกลุ่มของแว่นแคว้นทั้งแปดแน่นอน และความลับของเทวาลัย (ตำหนักเทพ)ของเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งก็มีมากเหลือคณานับ และนอกจากนี้เทวาลัยเจ้าแม่หิมะน้ำแข็งไม่มีความทะเยอทะยานทั้งยังอยู่ภายในแปดแคว้นอิสระตอนเหนือมาตลอดเวลา จึงเป็นธรรมดาอยู่นั่นเองที่ศาสนจักรเจิดจรัสไม่ต้องการไปตอแยพวกเขา และสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งทรงอำนาจ”
ลินลี่ย์หัวเราะ
ลินลี่ย์มักประหลาดใจเรื่องนี้เสมอมา แปดแคว้นอิสระตอนเหนือตั้งอยู่ใกล้ทิศเหนือของไพรทมิฬมีพรมแดนตามธรรมชาติก็คือ จักรวรรดิโอเบรียนและพื้นที่ครอบคลุมประมาณมณฑลหนึ่งด้วยอำนาจของจักรวรรดิโอเบรียน จะครอบครองน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ทำไมพวกเขาไม่ทำ?
ตอนนี้ลินลี่ย์เข้าใจแล้วว่านี่ต้องเกี่ยวกับเทวาลัยของเจ้าแม่หิมะน้ำแข็ง
“เนื่องจากสองที่เหล่านี้ไม่เป็นที่ต้องการ ก็มีแต่เพียงที่เดียวซึ่งเหลืออยู่ก็คือดินแดนอนารยชน!” ซาสเลอร์ถอนหายใจ “ดินแดนอนารยชนวุ่นวายหนัก วุ่นวายจนน่ากลัว”
“วุ่นวาย? ทำไมเป็นเช่นนั้น?”
ซาสเลอร์ถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ “ประการแรก ในอดีตที่ผ่านมาตามที่คำนวณไว้ มีแคว้นอิสระ 48 แคว้นแต่เขตแดนในดินแดนอนารยชนเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง ทุกๆ สองสามปีแคว้นอิสระจำนวนหนึ่งจะเปลี่ยนไป บางทีก็มีห้าสิบ หรือบางทีก็มีสี่สิบ นั่นยากจะพูดนี่คือเหตุผลประการแรกที่ทำให้มีความวุ่นวาย”
“เหตุผลประการที่สองที่ทำให้วุ่นวายเป็นเพราะเขตแดนของพวกเขา พวกเขาอยู่ถัดจากจักรวรรดิโอเบรียน,จักรวรรดิโรฮอลท์และเผ่าของทุ่งราบใหญ่ตะวันออกไกล กลุ่มอำนาจทั้งสามส่งผลต่อพวกเขา!”
“เหตุผลของความวุ่นวายประการที่สามก็คือเพราะทั้งศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาต้องการมีอิทธิพลเหนือดินแดนอนารยชนในแผ่นดินเหล่านี้ทั้งสองลัทธิศาสนามีอำนาจและอิทธิพลมาก ทั้งสองลัทธิศาสนาต่างต่อต้านกันอย่างรุนแรงและการต่อสู้ระหว่างพวกเขายังคงมีอยู่ต่อไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ลินลี่ย์อดถอนหายใจไม่ได้ ถ้าเพราะเงื่อนไขเหล่านี้ดินแดนอนารยชนยังจะไม่มีความวุ่นวาย นั่นคงจะไม่สมเหตุผลเลยแม้แต่น้อย
“ยังมีเหตุผลของความวุ่นวายประการที่สี่อยู่อีก!” ซาสเลอร์ถอนหายใจอย่างไม่เกรงใจ “สำหรับแดนอนารยชนตอนเหนือก็คือไพรทมิฬที่กว้างขวาง ไพรทมิฬมีอสูรเวทมากมายไม่น้อยไปกว่าเทือกเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ ยี่สิบหรือสามสิบปี หรืออาจจะทุกๆ สิบปีจะมีคลื่นอสูรเวท..อสูรเวทนับไม่ถ้วนมาจากไพรทมิฬบุกโจมตีใส่ดินแดนอนารยชนและนี่ไม่ใช่ภัยพิบัติธรรมดา!”
ลินลี่ย์สีหน้าเปลี่ยน
คลื่นโจมตีของอสูรเวทน่ะหรือ?
หลังจากได้มีประสบการณ์วันมหาวิบัติของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ ลินลี่ย์รู้ดีว่าคลื่นโจมตีของอสูรเวทนั้นน่ากลัวเพียงไหน นั่นคือวันพิพากษาโลกโดยแท้
“แน่นอนว่า แม้ว่าจะอธิบายด้วยคำว่าคลื่นอสูรเวทแต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับ ‘วันมหาวิบัติ’ในเรื่องของความน่ากลัว” ซาสเลอร์หัวเราะ “อสูรเวทเกือบทั้งหมดที่มาจากไพรทมิฬจะเป็นอสูรเวทระดับกลางหรือไม่ก็ระดับต่ำมีน้อยมากที่จะมีอสูรเวทระดับสูงออกมาด้วย และแม้ว่าพวกมันจะมีจำนวนมาก ในช่วงเวลานั้นเจ้าแคว้นอิสระในดินแดนอนารยชนจะพร้อมใจร่วมมือกันกำจัดอสูรเวททั้งหมด”
ตอนนี้ลินลี่ย์เข้าใจแล้ว
ถ้ามีอสูรเวทระดับสูงไม่กี่ตัว ความเสียหายที่คลื่นอสูรเวทเหล่านี้ก่อขึ้นจะน้อยมากกว่า นอกจากนี้จำนวนก็ยังไม่มากเท่ากับเมื่อครั้งที่สหภาพศักดิ์สิทธิ์ถูกรุกราน เป็นธรรมดาอยู่เองที่ปริมาณความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมีอย่างจำกัด
“ลินลี่ย์,แต่ว่าความแตกต่างระหว่างคลื่นอสูรเวทนี้และสิ่งที่เกิดขึ้นในสหภาพศักดิ์สิทธิ์ก็คือคลื่นอสูรเวทที่มาจากไพรทมิฬไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวมันเกิดขึ้นทุกสิบปีหรือยี่สิบถึงสามสิบปี และเป็นผลให้แดนอนารยชนไม่เคยสงบลงได้อย่างแท้จริง” ซาสเลอร์ถอนหายใจ
ลินลี่ย์ก็ลอบถอนหายใจเช่นกัน
เนื่องจากสี่เหตุผลเหล่านี้จึงเป็นความจริงที่แดนอนารยชนวุ่นวายอยู่ตลอดกาล
“แม้ว่าแคว้นอิสระจะเล็ก แต่ 48 แคว้นอิสระทั้งหมดพอรวมกันก็มีพื้นที่ใหญ่โตมหาศาล ดินแดนอนารยชนมีอยู่ครึ่งหนึ่งที่ต่อต้านจักรวรรดิโอเบรียน ความจริงพื้นที่ของดินแดนอนารยชนครอบคลุมอยู่ในขนาดใกล้เคียงสหภาพศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน”
ลินลี่ย์พยักหน้าเช่นกัน
หลังจากวันมหาวิบัติสหภาพศักดิ์สิทธิ์เหลือพื้นที่ขนาดสองในสามจากที่เคยมีครั้งก่อน และแน่นอนจักรวรรดิโอเบรียนเป็นจักรวรรดิที่กว้างใหญ่ไพศาลมาแต่แรกด้วย
ทำให้มีความรู้สึกว่าดินแดนอนารยชนมีขนาดครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิโอเบรียนจึงมีขนาดพอๆกับสหภาพศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน
“ดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นจึงดึงดูดความสนใจจากศาสนจักรเจิดจรัสเป็นธรรมดา ศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาทั้งสองฝ่ายมียอดฝีมืออยู่มากและหยั่งรากเง่าไว้ลึก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ลินลี่ย์หัวเราะ
ศาสนจักรเจิดจรัสจะส่งคนไปดินแดนซึ่งมีขนาดเท่ากับสหภาพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้กี่คนกัน?
“ถ้าศาสนจักรเจิดจรัสมีเซียนสักยี่สิบหรือสามสิบคน อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องส่งเซียนไปที่นั่นห้าคนหก หรืออาจจะเจ็ดคน” ลินลี่ย์พูดกับตัวเอง
เกาะศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ซึ่งยอดฝีมือของศาสนจักรเจิดจรัสทั้งหมดรวมกันอยู่
พวกเซียนที่ส่งไปที่แดนอนารยชนมีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่ยอดฝีมือที่ทรงพลังที่สุดที่ศาสนจักรเจิดจรัสมี
“หลังจากน้องชายของข้าแต่งงานแล้ว เราจะมุ่งหน้าไปยังดินแดนอนารยชนกัน” ลินลี่ย์มองดูซาสเลอร์และยิ้ม “เราจะทำสงครามกับกลุ่มศาสนจักรเจิดจรัสในดินแดนอนารยชน”
ขุดรากถอนโคนศาสนจักรเจิดจรัสซึ่งหยั่งรากในแดนอนารยชนมาเป็นพันปีคงทำให้พวกศาสนจักรเจิดจรัสโกรธจนแทบคลั่งแน่นอน
“ดินแดนอนารยชนน่ะหรือ?” ซาสเลอร์นัยน์ตาเป็นประกาย “ยอดเยี่ยม!”
ลินลี่ย์ยิ้ม การทำลายอิทธิพลซึ่งศาสนจักรเจิดจรัสสั่งสมอยู่ที่นั่นมาเกินกว่าพันปีไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ภายในปีสองปี
“ข้าจะแบ่งเวลาสำหรับฝึกส่วนหนึ่ง ขณะที่เวลาที่เหลือใช้จัดการกับพวกมันหลังจากทำลายอำนาจของพวกมันในดินแดนอนารยชนแล้วข้าน่าจะบรรลุถึงระดับเซียนในร่างมนุษย์ได้ ถึงตอนนั้นความรู้แจ้ง ‘จังหวะเต้นชีพจรโลก’ ก็น่าจะอยู่ในระดับสูงมากเช่นกัน ถึงตอนนั้นเราจะร่วมกันสู้กับศาสนจักรเจิดจรัสได้โดยตรง”
ลินลี่ย์วางแผนเป็นชุดต่อเนื่องในใจอย่างชัดเจน
พวกเขาจะดำเนินการตามแผนการเหล่านี้ พวกเขาจะไม่ใจร้อนเร่งรีบ ไปทีละก้าวพวกเขาจะขุดรากถอนโคนของศาสนจักรเจิดจรัส
ก่อนนั้นวอร์ตันเคยพูดความในใจไว้ก่อนลินลี่ย์ประลองกับเฮนด์เซนว่าถ้าไม่มีเรื่องยุ่งยากเกินไปเขาจะจัดงานแต่งงานกับนีน่า ตอนนี้พวกเขากำหนดวันแต่งงานแล้ว 15 กันยายน
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาต้นเดือนกันยายน ทางด้านคฤหาสน์ท่านเคานท์และราชตระกูลกำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานมงคลสมรส
งานฉลองแต่งงานยังจะสำคัญยิ่งกว่างานฉลองการหมั้น
ที่พักของลินลี่ย์ ในคฤหาสน์ของเคานท์วอร์ตัน
“ลินลี่ย์!เรือและลูกเรือของเรากำลังจะเดินทางกลับจักรวรรดิยูลานแล้วข้าต้องกลับไปพร้อมกับอาจารย์” เดเลียมองลินลี่ย์ ริมฝีปากของนางโค้งลงขณะที่นางกล่าว ลินลี่ย์ที่ก่อนหน้านั้นยังยิ้มอยู่ ถึงกับยิ้มค้าง
เมื่อรู้ว่าเดเลียกำลังจะจากไป ลินลี่ย์รู้สึกใจหายวูบอย่างช่วยไม่ได้
สองสามเดือนที่ผ่านมาที่เขาใช้เวลากับเดเลียเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดในช่วงชีวิตสิบปีที่ผ่านมาของลินลี่ย์ทุกวันเขาจะมีแต่รอยยิ้ม
“เจ้าจะไปหรือ?” ลินลี่ย์ฝืนยิ้ม “อย่างนั้นข้าขออวยพรให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ”
เดเลียตอนแรกยังยิ้ม นางสามารถบอกได้ว่าลินลี่ย์ไม่อยากจะแยกจากนาง “อย่างไรก็ตาม...ข้าบอกอาจารย์ไว้ว่าเขาสามารถกลับได้ก่อน และข้าจะพักอยู่ที่นี่เป็นการส่วนตัว”
“หา?” ลินลี่ย์ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้
“เจ้าไม่พอใจหรือ?” เดเลียขมวดคิ้ว
“พอใจ พอใจสิ” ลินลี่ย์รีบพูด แต่จากนั้นเขามองเดเลียอย่างเคร่งขรึม “เดเลีย มีบางอย่างที่ข้าต้องบอกเจ้า”
“อะไร?” เดเลียมองลินลี่ย์อย่างคาดหวัง
“หลังจากน้องชายข้าแต่งงานแล้ว ข้ามีแนวโน้มว่าจะต้องไปดินแดนอนารยชน” ลินลี่ย์ตอบ
“โอว, อย่างนั้นข้าก็จะไปด้วย” เดเลียไม่ลังเลใจสักนิด
แต่ขณะนั้นเอง เสียงตะโกนดีใจต่อเนื่องดังจนได้ยินขณะที่ร่างมนุษย์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาในที่พักลินลี่ย์ด้วยความเร็วสูง จากด้านนอกถึงประตู เสียงตะโกนของเกทส์ดังลั่น “ใต้เท้า,พี่สี่ของข้าบรรลุเป็นนักรบระดับเก้าแล้ว!”
ห้าพี่น้องบาร์เกอร์ตอนนี้มีสี่คนที่มีพลังระดับเซียน
“ยังมีเซียนอีกคนหรือ?” ลินลี่ย์อดยิ้มไม่ได้ ห้าพี่น้องเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนประหลาดใจได้เรื่อย จริงๆ