ตอนที่ 265 ความกังวลของถังอี้
หิ่งห้อยที่งดงามดูไร้พิษสงทั้งสิบเข้าไปในตัวองครักษ์เหล็กทั้งสิบ
ในชั่วเวลาสั้นๆ ความกลัวปรากฏอยู่ในดวงตาของพวกเขาสีหน้าแข็งค้างราวกับเป็นใบหน้าที่ถูกวาด
ปัง!
ร่างขององครักษ์ทั้งสิบระเบิดเปลวสีน้ำเงินลุกโชนในท้องฟ้า เหมือนดอกกุหลาบน้ำเงินสิบดอก ความเย็นถึงขั้วกระดูกแผ่ออกมาจากเพลิงที่ลุกในอากาศ เกล็ดน้ำแข็งลอยกระจายไปทุกที่
ระเบิดเพลิงน้ำเงินแตกกระจายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าพื้นดินและภูผาสั่นสะเทือนทำให้เกล็ดน้ำแข็งปลิวกระจายทั่วร่างสีเงินยืนเด่นอยู่ตรงกลางทันใดนั้นในสนามต่อสู้สัมผัสได้ถึงความเศร้าและความงาม
ปราณแท้ของนกยูงยังคงโคจรอยู่ในร่างของเขาแต่รูปลักษณ์เย็นชาในดวงตาถังเทียนหายไปแล้ว กลับมีความอบอุ่นดุจดวงอาทิตย์เข้ามาแทนที่
ฉากภาพเช่นนี้มีพลังขลังที่ไม่อาจบรรยายได้ตราตรึงในใจของทุกคน
ทั่วทั้งสนามต่อสู้ไม่มีเสียงอะไรแม้แต่นิดเดียว
แม้แต่พวกที่กำลังต่อสู้อย่างเข้มข้นอย่างหลิงซิ่วและพวกที่เหลือพากันหยุดยืนตะลึงกันหมด
เหมือนกับว่าหลิงซิ่วและนักสู้ที่เขาสู้ด้วยกำลังเห็นผีความกลัวลึกปรากฏในดวงตาเขา เขาพึมพำทันที“สมบัติดวงดาว...วิวัฒนาการ!”
สมบัติดวงดาววิวัฒนาการ?
เป็นครั้งแรกที่หลิงซิ่วได้ยินเรื่องแบบนี้และไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่เขาจดจำไว้การต่อสู้ของถังเทียนมีพลังยิ่งใหญ่จนเขาแทบไม่เชื่อตาตัวเอง นักสู้ระดับสวรรค์วิถีที่อยู่ต่อหน้าเขาเหมือนผักที่ถูกตัดและการต่อสู้ที่หวาดหวั่นน่ากลัวทำให้หลิงซิ่วปากอ้าตาค้างมองดู
เจ้าบ้านี่ปกปิดพลังไว้ตลอดมาหรือนี่?
หลิงซิ่วอดจับหอกเงินแน่นไม่ได้
ท่าทางตะลึงของอาเฮ่อหายไปเร็วกว่าหลิงซิ่วกลับกลายเป็นท่าทีครุ่นคิดและสงสัย พัฒนาการสมบัติดวงดาวคือสิ่งที่อาเฮ่อรู้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ตกทอดมาจากกลุ่มดาวกระเรียนฟ้าเขาได้มาจากบันทึกที่มารดามอบให้เขา
สมบัติดวงดาวว่าตามกำเนิดของหมู่ดาวแล้วสมบัติดวงดาวเหล่านี้ทั้งหมดยังประกอบด้วยส่วนหนึ่งของกฎและพลังของกลุ่มดาวสำหรับนักสู้คนหนึ่ง พลังนี้ยิ่งใหญ่มากเหมือนกับขุมสมบัติ
แต่เพียงแต่ใต้สถานการณ์บางอย่างก็สามารถทำให้ขุมสมบัตินี้เปิดออก และพลังของสมบัติจะเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ขณะที่มันวิวัฒนาการ แน่นอนว่านั่นคือเรื่องการวิวัฒนาการของสมบัติดวงดาว
วิวัฒนาการของสมบัติดวงดาวมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งและเพิ่มกระบวนการได้ ยิ่งมันมีวิวัฒนาการมาก ก็สามารถเอาพลังมาใช้ได้มากหลังจากวิวัฒนาการได้ระยะหนึ่ง สมบัติจะสื่อสารกับหมู่ดาวของมันและพลังของหมู่ดาวจะสามารถส่งถึงสมบัติดวงดาวได้ ถึงตอนนั้นพลังของสมบัติจะเข้าสู่ระดับใหม่
แต่อาเฮ่อก็รู้ความยากในวิวัฒนาการของสมบัติ ตามบันทึกไม่ได้อธิบายว่าสมบัติจะวิวัฒนาการได้อย่างไรอาเฮ่อส่ายหัว เขารู้ว่าป้าของเขาจะต้องรู้แน่นอน แต่เขาไม่ต้องการถามนางเนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับมารดาและบิดาของเขาในอดีต พวกเขาทะเลาะกันเป็นวงกว้างปัจจุบันนี้มารดาของเขาและอีกฝ่ายคืนดีกันแล้ว และตัดสินใจอยู่ที่กลุ่มดาวกระเรียนฟ้าต่อเป็นการแสดงความใจกว้างของนาง
อาเฮ่อไม่ยินดีเป็นหนี้อีกครอบครัวหนึ่ง
แต่เขาเป็นคนฉลาด สมบัติของถังเทียนเพิ่งจะวิวัฒนาการสำเร็จ ในช่วงเวลานี้ถังเทียนยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด ซึ่งก็หมายความถึงเพียงสามสิ่งคือการได้รับพลังของกระเรียน การฝึกฝนลมพรางและวิชาโล่อากาศโจมตี วิชาต่อสู้ทั้งสองนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นสาเหตุให้สมบัติวิวัฒนาการได้ นั่นก็มีความเป็นไปได้ประการเดียวก็คือพลังของกระเรียน!
ความรู้เรื่องพลังของกระเรียนมีน้อยเกินไป แต่อาเฮ่อจำได้บางอย่างพลังของกระเรียนจะเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณพลังยุทธ
นอกจากนี้เขายังรู้ว่าแก่นของการวิวัฒนาการของสมบัติดวงดาวก็คือจิตวิญญาณยุทธภายในสมบัติดวงดาวมีวิวัฒนาการ
เขากล้าฟันธงได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ทำให้สมบัติของถังเทียนวิวัฒนาการได้ก็คือพลังของกระเรียน
การคาดการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกมีแรงบันดาลใจตั้งแต่ถังเทียนได้รับพลังกระเรียน อาเฮ่อก็ได้วิเคราะห์อย่างต่อเนื่องเขาไม่มีพรสวรรค์อย่างถังเทียน แต่เขาแข็งแกร่งกว่าในเรื่องวิทยายุทธของสำนักกระเรียนและวิธีฝึกพลังกระเรียน เขาก็ได้แนวคิดมาบางส่วนแล้ว
แต่เขาไม่คาดว่าพลังกระเรียนจะทำให้สมบัติดวงดาววิวัฒนาการได้ ตาของอาเฮ่อเป็นประกาย เมื่อคิดถึงว่าเขาจะสามารถควบคุมพลังนั้นได้ใจของเขาก็เริ่มปลื้มและตื่นเต้น
สมบัติดวงดาวที่ผ่านการวิวัฒนาการ พลังของมันจะแข็งแกร่งมาก
แม้แต่กระบี่ในมือของเขา...
อาเฮ่อสูดลมหายใจลึก สายตาของเขากลับมาดำขลับอีกครา
ซินลี่มองดูถังเทียนผู้เดินเข้าหาเขาอย่างว่างเปล่าไม่มีใครอื่นอยู่รอบๆ ตัวเขาเลย ในตอนนี้ด้วยไม้ตายหิ่งห้อยเพลิงจ้าวปีศาจ เป้าโจมตีทั้งหมดก็คือองครักษ์เหล็กรอบๆ ตัวเขา
ซินลี่ริมฝีปากสั่นไม่สามารถจะพูดอะไรได้ เขากำลังเผชิญกับประตูแห่งความตายและความสิ้นหวังปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
ประกายแสงเยือกเย็นกวาดผ่านลำคอของซินลี่
ถังเทียนหมุนตัวเดินจากไป ในหน้าเย็นชาของเขาไม่มีร่องรอยความอบอุ่น “จะยอมแพ้หรือยอมตาย”
ตุ้บ
ร่างของซินลี่ล้มลงกับพื้น
องครักษ์เหล็กที่เหลืออยู่สองสามคนหมดกำลังใจต่อสู้ นักสู้อื่นๆ ทุกคนกลัวจนคิดอะไรไม่ออก ทุกคนเริ่มวางอาวุธ
ในที่สุดหัวหม่าเอ้อและบริวารของนางก็ตื่นจากภวังค์ทุกคนและวิ่งขึ้นมาควบคุมซินลี่และคนของเขา
ทันใดนั้น ร่างสามร่างพุ่งผ่านไป
เป็นชายชราและสหายทั้งสองของเขาหลบหนีเอาชีวิตรอด
ถึงตอนนี้ ไม่มีใครสนใจไล่ตามพวกเขา ทุกคนยังไม่รู้สึกตัวเต็มที่หลังจากเห็นภาพเกิดเหตุนี้
เกราะเงินหลุดออกจากตัวถังเทียนและสุดท้ายกลายเป็นจุดเงินแล้วหายไปถังเทียนที่ยืนอยู่ล้มลงทันที
“ถังเทียน!”
หลิงซิ่วและอาเฮ่อตะโกนลั่นและวิ่งไปหาถังเทียนทันที แต่ร่างที่เร็วกว่าใครก็คือถังอี้
เพียงก้าวเดียวถังอี้ก็มาปรากฏตัวข้างถังเทียนและตรวจดูชีพจรของเขาเขาเงยหน้าและบอกกับพวกที่เหลืออย่างมั่นใจ “ไม่มีอะไรมาก เขาแค่เหนื่อยเกินไป หลังจากพักสองสามวันก็หายดีดังเดิม”
หลิงซิ่วและอาเฮ่อถอนหายใจโล่งอก ทั้งสองคนมองหน้ากันจากนั้นมองดูเชลย และไม่แน่ใจจะเอายังไงดี
“เราไปที่เผ่าหมาป่าเพลิงกันก่อน”ถังอี้แนะนำ
น้ำเสียงของเขาเหมือนทหาร ตรงและเรียบง่าย
หลิงซิ่วกับอาเฮ่อมองหน้ากันเอง ทั้งสองผงะเล็กน้อย ถังอี้ไม่ค่อยได้พูดและวันนี้เขาเป็นคนตัดสินใจ นับว่าเกินบทบาท แต่การตัดสินใจของถังอี้นับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและทั้งสองคนเห็นด้วย
หัวหม่าเอ้อไม่พูดอะไร นางนำทางทันที
ทันใดนั้นนางมีความรู้สึกว่าชะตาของเผ่าที่เกือบจะถูกทำลายเนื่องจากนางได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงสั่นสะเทือนโลกไปแล้ว
ขบวนออกเดินทางอย่างรวดเร็ว และตลอดการเดินทางทั้งหมดถังอี้ถือดาบฟันขาม้าคอยปกป้องอยู่ข้างตัวถังเทียน
พอวันที่สาม ถังเทียนก็ตื่นขึ้น
ถังเทียนลืมตางัวเงีย เขาส่งเสียงถาม “เอ่,ข้าหลับอีกแล้วเหรอ? นี่มันที่ไหน?”
“เรากำลังไปเผ่าหมาป่าเพลิง”ถังอี้ตอบ “นายท่าน ครั้งต่อไป โปรดเพลาๆ ลงกว่านี้ เนื่องจากนายท่านเป็นแม่ทัพท่านไม่ควรไปเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเอง
เพียงประโยคสั้นๆ หัวใจของหัวหม่าเอ้อถึงกับเต้นแรงเมื่อนางได้ยิน
แม่...แม่ทัพ
ถังเทียนเป็นแม่ทัพมาจากไหน?นางมั่นใจว่าถังเทียนมีพลังแข็งแกร่งและกล้าหาญ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของถังอี้แล้ว นางตระหนักว่า นางยังคงประเมินท่านถังเทียนต่ำไป
เขาสามารถเป็นแม่ทัพได้ด้วยวัยขนาดนั้น นั่นไม่เคยมีในโลก
ในคนรุ่นนี้ พวกที่มีกองทัพจะเป็นกลุ่มดาวที่แข็งแกร่ง ดาวหมาป่าไม่มีกองทัพจริงๆ
นางเพิ่งตระหนักได้ก่อนนั้นว่าสำเนียงของถังอี้เป็นเอกลักษณ์ ทุกสิ่งที่เขาทำละเอียดและเด็ดขาด การพูดของเขาตรงและมีประสิทธิภาพ จนกระทั่งพูดคำว่ากองทัพออกมา จากนั้นนางจึงได้รู้ตัวว่าเป็นสำเนียงของพวกที่มาจากกองทัพนั่นเอง นางจะไม่รู้ได้ยังไง?
เหมือนกับว่าหัวหม่าเอ้อเห็นน่องไก่ทอดเหลืองอร่ามแพรวพราว
ไม่ว่ายังไงนางต้องยึดน่องไก่นี้ให้แน่น
ไม่มีข้อสงสัยแล้วพื้นหลังของถังเทียนไม่ธรรมดาแน่นอน ตราบใดที่นางยึดมั่นเขาเผ่าของนางก็สามารถรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายในปัจจุบัน หัวหม่าเอ้อตั้งใจไว้แล้วไม่ว่าคำขอร้องของท่านถังเทียนจะยากเย็นขนาดไหน นางจะไม่ปฏิเสธ
เมื่อถังเทียนนั่ง เขาเห็นถังอี้ถือดาบฟันขาม้ายืนคุ้มครองอยู่ข้างเขา นี่ทำให้เขารู้สึกปลื้มใจ เขารู้ว่าถังอี้เอาใจใส่เขาจึงหัวเราะลั่น “นี่, ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงข้าไม่เป็นไรแล้ว รู้สึกกระปรี้กระเปร่าดี ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลิงซิ่วและอาเฮ่อได้ยินเสียงอึกทึกคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าและอีกคนอยู่ข้างหลังก็วิ่งมาดู
เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายแล้วถังอี้จึงหายไปและกลับไปที่ค่ายทหารใหม่หลังประตูดวงดาว
ถังอี้กวาดตามองในค่ายทหารใหม่และพบปิง เขาวิ่งเข้าไปหาและตะโกน “ท่านปิง!”
เมื่อรู้ว่าถังอี้กำลังมองหาเขาหน้าเหมือนไพ่ของปิงเคร่งขรึมและพยักหน้า “จ่าตรีถังอี้!”
“ท่านปิง,โปรดอย่าเพิ่งรีบเร่งและใจร้อนเลย” ถังอี้กล่าวขณะมองปิงอย่างไม่มีความกลัว “ท่านถังเทียนคือแม่ทัพของกองทัพเรา ทำไมถึงปล่อยเขาไปไว้ในที่อันตราย?ท่านก็ยังเป็นบริวารของท่านถังเทียนโปรดให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเขาเป็นภารกิจหลักของท่านก่อนเถอะ”
สิ่งที่ทำให้ถังอี้ประหลาดใจก็คือปิงเห็นด้วยและพยักหน้า “เป็นไปตามคาดจ่าตรีชั้นทองกล้าหาญและมุ่งมั่นจริงๆ! แต่ว่าจ่าตรี! เจ้าต้องรู้ไว้ก่อนความรู้ในเรื่องแผนและกลยุทธของเจ้ายังต่ำเกินกว่าจะมีส่วนร่วมปรึกษาถึงแผนการ แต่ว่าจ่าตรี, เจ้ามั่นใจได้เลยความปลอดภัยของแม่ทัพคือความสำคัญพื้นฐานในการฟื้นฟูกองทัพของเรา ข้าจะไม่ลืมเรื่องนั้นแต่ข้าเชื่อว่าเจ้าเข้าใจ ท่านถังเทียนในปัจจุบันนี้กำลังอยู่ในระหว่างฝึกฝนเรียนรู้อย่างรวดเร็วและในช่วงเวลาอย่างนั้นจะต้องเผชิญกับอันตราย แม้ว่าข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เจ้าทราบ แต่เจ้าคือเพื่อนร่วมงานคนแรกของข้า ข้าหวังว่าจะไม่มีความเข้าใจผิดกันระหว่างเรา แม้ว่าข้าจะรู้ว่าเจ้าจะเชื่อฟังและดำเนินตามคำสั่งต่อไป”
ถังอี้เงียบไปชั่วขณะ และคำนับปิง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านปิง ขอบคุณที่ท่านอธิบาย”
ท่านปิงไม่ได้พูดไร้สาระถังอี้เองเห็นความสามารถของเขาอย่างชัดเจน เขานำคนยี่สิบคนและการเชื่อฟังและคำสั่งของเขาก็จำกัดด้วย
จากนั้น ถังอี้จึงออกไปจากค่ายทหารใหม่
ปิงฝืนยิ้มขณะรำพึง “เมื่อไหร่เราจะมีพลตรีน่ะหรือ? ตราบใดที่เรามีแม่พลตรีที่ทรงพลังอยู่บ้าง ถึงตอนนั้นข้าคงไม่ต้องเค้นสมองอีกต่อไปมันยังไม่เหมือนจริงที่จะมีพลตรี, แค่พันตรีหรือพันเอกยังไม่ใกล้เคียงความเป็นจริงเลย มีจ่าเอกก็น่าจะมีพรสวรรค์อยู่บ้างและน่าจะสามารถใช้งานได้...” “ค่ายทหารใหม่ยังเล็กเกินไปยังไม่สามารถผลิตจ่าเอกออกมาได้เลย.. จ่าเอก.. ต้องหาให้ได้สักวิธี..”