ตอนที่ 260 พลังของกระเรียน
เสียงชักอาวุธออกจากฝักดังทั่ว บริวารของหัวหม่าเอ้อดูไม่เหมือนทหารธรรมดาแต่พวกเขาแสดงถึงแก่นความรู้ที่พวกเขาได้ฝึกฝนมา พวกเขากระตุ้นม้าเว้นระยะช่องว่างระหว่างกัน แสดงสีหน้าเคร่งแครียดทุกคน
“ยืดด้านข้างเนินเขาข้างหน้าเราไว้”
หัวหม่าเอ้อนำขบวนไปข้างหน้า ด้านหน้าพวกเขาเป็นเนินเขาลาดมีหญ้างอกท่วมหัว ความเคลื่อนไหวศัตรูมาจากด้านอื่นของเนินเขา ถ้าศัตรูยึดพื้นที่สูง อย่างนั้นพวกเขาจะเสียเปรียบได้
บริวารของหัวหม่าเอ้อเชื่อใจนางเมื่อได้ยินคำสั่ง ทุกคนพุ่งไปราวกับธนูขึ้นไปยึดยอดเนินไว้ก่อน
ถังเทียนและกลุ่มมองหน้ากัน พวกเขาจะตามพวกนั้นไปหรือไม่?
สองสามวันมาแล้วพวกเขาเดินทางทั้งวันและทั้งคืน วิ่งด้วยความเร็วสูงตราบใดที่นักสู้ไม่สนใจว่าพลังปราณแท้จะหมดสิ้นไป พวกเขาอาจทุ่มพลังวิ่งได้เต็มที่ความเร็วของพวกเขาจะรวดเร็วมากกว่ายานมาก จุดแข็งของยานขนส่งก็คือทนกว่าและสามารถบินต่อเนื่องได้เป็นเดือน
ถ้าศัตรูรอซุ่มทำร้ายอย่างรวดเร็ว ก็หมายความว่าพวกเขามีคนแข็งแกร่งอยู่ด้วยสำหรับถังเทียนกับพวก ถือว่านี่เป็นข่าวร้าย
ถังเทียนหลิงซิ่วและอาเฮ่อวิ่งขึ้นไปที่เนินเขาทันที
เมื่อขึ้นไปถึงเนินเขาทิวทัศน์ที่ปรากฏต่อหน้าเขากว้างขวาง พวกเขามองเห็นกลุ่มคนราวๆ ร้อยคนกำลังควบม้าตรงมาทางพวกเขา ระยะห่างระหว่างพวกเขาประมาณ 200 ก้าว
เมื่อเห็นพวกเขาแล้วถังเทียนรู้สึกว่าพวกนั้นไม่ใช่ศัตรูที่ไล่ตามพวกเขา ทั้งสามคนถอนหายใจโล่งอก
“ฆ่า!”
เสียงตะโกนของหัวหม่าเอ้อเข้มแข็งเปี่ยมพลัง นางเป็นหนึ่งในผู้นำเหมือนกับลูกไฟวิ่งเข้าใส่ทหารม้าฝ่ายตรงข้าม บริวารที่อยู่ด้านข้างนางทุกคนตะโกนด้วยภาษาแปลกประหลาดโดยไม่ลังเล ทุกคนวิ่งตะลุยลงมา
“เด็กสาวที่ดุร้ายนัก” หลิงซิ่วอุทาน
ถังเทียนและอาเฮ่อรู้สึกเหมือนกัน ศัตรูมีจำนวนมากกว่าคนของนางถึงห้าเท่าแต่พวกเขาไม่ขมวดคิ้วและมุ่งเข้าโจมตีตรงๆ
หัวหม่าเอ้อมีรังสีแดงครอบคลุมตัวนางและม้า ม้าของนางเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ม้าธรรมดา ความเร็วของมันเหมือนกับสายฟ้าเทียบกับฟลามิงโกของหลิวซิ่วแล้วมิได้ด้อยกว่าแต่อย่างใด
หัวหม่าเอ้อตวาดเสียงดังเข้มแข็ง มือของนางกวัดแกว่งมีดใหญ่มีรังสีดาบสีแดงแผ่ออกพร้อมกับเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าหาศัตรู
ศัตรูสามคนหลบไม่ทันเวลา เลือดสาดกระจายพวกมันร้องโหยหวนและร่วงลงจากม้า
ทั้งสองฝ่ายรวดเร็วมาก ขณะที่หัวหม่าเอ้อปลดปล่อยพลังดาบนางตะลุยเข้าหาศัตรู ดาบหัวตัดของนางดูแปลกแต่คล่องแคล่ว ใช้ออกครั้งแล้วครั้งเล่าทุกครั้งที่ปลดปล่อยพลังรังสีดาบฝ่าอากาศ จะมีคนผู้หนึ่งร่วงลงทุกดาบ
“แข็งแกร่งมาก” อาเฮ่อโห่ร้อง “อย่างน้อยนางน่าจะแข็งแกร่งพอๆ กับคนในทำเนียบสวรรค์วิถี”
“ทรงพลังมาก” ถังเทียนประหลาดใจ เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับสตรีที่แข็งแรง “วิชาดาบของนางแข็งแกร่ง และการใช้ดาบของนางทำได้รวดเร็ว ซิ่วซิ่วน้อย เจ้าไวกว่า หรือว่านางไวกว่า?”
หลิงซิ่วแค่น“นางยังไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ข้า”
คำพูดที่หยิ่งยโสนั้นทุกคนคาดไว้แล้วว่าต้องได้ยินจากหลิงซิ่ว
ทุกการฟาดฟันของหัวหม่าเอ้อล้วนสร้างกำลังใจให้กับบริวารของนางทำให้พวกเขายิ่งไม่มีความกลัว เมื่อเห็นว่าการรวมตัวของฝ่ายตรงข้ามถูกกดดันจนสับสน หัวหม่าเอ้อคิดว่าต้องเพิ่มพลัง เพื่อกดดันคู่ต่อสู้ให้พ่ายแพ้
กองกำลังของศัตรูสับสนมากขึ้นและม้าที่ไร้เจ้าของวิ่งพล่านไปทุกที่ ม้ามีราคาแพงและมีค่ามากดังนั้นไม่มีใครผลีผลามฆ่าพวกมัน
หัวหม่าเอ้อสังเกตว่ากองกำลังศัตรูมีบุรุษร่างกายแข็งแกร่งกำยำคนหนึ่งซึ่งใช่กระบองเขี้ยวหมาป่า เขาทำร้ายคนของนางไปสามคนแล้ว รังสีฆ่าฟันเพิ่มขึ้นในดวงตาของหัวหม่าเอ้อ นางกระตุ้นม้าของนางควบไปข้างหน้า ดาบหัวตัดในมือนางห้อยลงตามธรรมชาติเหมือนกับหลิวลู่ลม นางวิ่งออกไปด้วยจังหวะที่มิอาจบรรยายได้
นางไปได้เร็วมากเหมือนสายฟ้าสีแดงทันทีที่นางวิ่งมาประจันหน้ากับบุรุษร่างใหญ่ ดาบหัวตัดในมือของนางสั่น รังสีดาบเยือกเย็นพุ่งตรงไปที่หน้าของบุรุษร่างใหญ่กำยำ
กระบองถูกเหวี่ยงออกมาต้านปะทะรังสีดาบไว้ทันที บุรุษร่างใหญ่ยิ้มทันที
ม่านตาของหัวหม่าเอ้อหดแคบ ไม่ดีแน่!
ควั่บ
กระบี่หนามแทงเสียบคาดท้องม้าของนางโดยไม่มีเสียงเสียบเข้าร่างม้าเงาร่างสั้นเล็กเลือนลางพุ่งออกมาจากม้าของบุรุษตัวใหญ่กระแทกเข้าไปในท้องม้าของนาง
หัวหม่าเอ้อไม่มีเวลาจะป้องกันได้ปราณกระบี่สีฟ้าหนาแทงเข้าที่ไหล่ซ้ายของนาง เลือดของนางไหลออกมีรูปรากฏขึ้นทันที
กระบองในมือบุรุษร่างใหญ่หวดตรงใส่นางทันที
หัวหม่าเอ้อรู้สึกเหมือนกับว่าปะทะเข้ากับกำแพงแข็งแรง นางส่งเสียงครางและปลิวกระเด็นทันที
แต่ก่อนที่นางจะมีโอกาสร่วงสู่พื้นรังสีเยือกเย็นสีฟ้าปรากฏต่อหน้าต่อตาของนาง
นางรู้สึกเหมือนกลายเป็นน้ำแข็ง ขณะที่เลือดของนางแข็งตัว
นางจำได้ว่านักฆ่าผู้นี้ก็คือเยี่ยนจุ่ยจือ!
ด้วยพลังของเยี่ยนจุ่ยจือนางตระหนักว่านางกำลังจะพ่ายแพ้ และความสิ้นหวังฉายอยู่ในดวงตานาง
ทันใดนั้นประกายไฟแพรวพราวที่มองเหมือนกับธนูไฟพุ่งวาบเข้ามาในสายตาของนาง คลื่นประกายไฟนี้ปะทะเข้ากับรังสีกระบี่น้ำเงินและแตกระเบิดออก
หัวหม่าเอ้อรอดพ้นจากความตายอย่างหวุดหวิดและอยู่ในสภาพตื่นเต้น นางถอยกลับมาในระยะห่างโดยไม่รู้ตัว
หลังจากถอยออกมาสองสามเมตรแล้วนางจึงเห็นได้ชัดว่าถังเทียนกำลังยืนอยู่หน้านาง
เจ้าผู้นี้...สามารถป้องกันกระบี่ของเยี่ยนจุ่ยจือได้จริงๆ
ถังเทียนตะโกน “เฮ้,พวกเจ้าฆ่านางไม่ได้นะ และข้าไม่ต้องการฆ่าพวกเจ้าด้วย ไสหัวไปซะ! ข้าไม่อยากสร้างความลำบากให้พวกเจ้าทุกคน”
หัวหม่าเอ้อสีหน้าแข็งค้าง ลึกๆ แล้วนางสงสัยว่าสมองของถังเทียนคงมีปัญหาเขาพูดคำพูดที่น่าขายหน้าแบบนั้นออกมาได้ยังไง?
ตอนนี้เองที่นางได้เห็นร่างของเยี่ยนจุ่ยจือ เยี่ยนจุ่ยจือตัวเตี้ยมาก สูงเพียง 1.6เมตรด้วยรูปลักษณ์หม่นหมองเย็นชาคล้ายกับงู ในมือของเขาถือกระบี่เรืองแสงสีฟ้า
นัยน์ตาของเยี่ยนจุ่ยจือหรี่มอง“เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าชื่อถังเทียน!” ถังเทียนตบอกตนเองด้วยสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจ “ข้าเป็นนักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถีเชียวนะและข้าแข็งแกร่งมากเสียด้วย”
ทุกคนมองดูถังเทียนและทำสีหน้าประหลาด หัวหม่าเอ้อหน้าแดงและรู้สึกอายแทนเขา ท่าทีที่หน้าภาคภูมิใจของเขาเหมือนพวกอันธพาลมากกว่าที่จะมีวี่แววของวีรบุรุษ
นักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถี,เจ้าต้องโกหกแน่ๆ....
แววเย้ยหยันปรากฏในดวงตาของเยี่ยนจุ่ยจือ“นักสู้สวรรค์วิถีน่ะหรือ? อ่าฮะ”
เขาหายไปทันทีและกลุ่มแสงสีน้ำเงินเข้มมาปรากฏอยู่ที่คอของถังเทียน
บุรุษร่างใหญ่ฉวยโอกาสเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเขาวิ่งไปข้างหน้าเฉียดผ่านศีรษะของถังเทียนไป และหวดกระบองเขี้ยวสุนัขป่าในมือใส่หัวหม่าเอ้อ!
ติง!
ร่างสีดำมาถึงทันเวลารังสีกระบี่ขาวเหยียดใช้ปลายค้ำกระบองไว้ได้
บุรุษร่างใหญ่ถือกระบองเขี้ยวสุนัขป่ารู้สึกแต่เพียงว่ารังสีกระบี่แหลมคมชำแรกผ่านปราณแท้ของเขาชอนไชเข้าไปในเส้นชีพจรของเขาและทำให้เขาตกใจอย่างช่วยไม่ได้ ร่างใหญ่ราวกับหอเหล็กปลิวกระเด็นไปด้านหลัง
ถึงเวลานี้ถังเทียนก็เคลื่อนไหว
กรงเล็บแมวปล่อยรังสีเลือดสามสายป้องกันข้างหน้าถังเทียนไว้สกัดกระบี่หนามของเยี่ยนจุ่ยจือไว้ได้ ร่างของถังเทียนไม่ขยับเลยแม้แต่นิ้วเดียว
ประกายแสงเยือกเย็นวาบผ่านนัยน์ตาของเยี่ยนจุ่ยจือ กระบี่หนามของเขาถูกกระตุ้นทันทีและยิงรังสีกระบี่ใส่หน้าของถังเทียน
แม้ถังเทียนเองก็คาดการณ์ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ไว้แล้วเขาขยับศีรษะก็หลบได้อย่างสบาย
ตาของเยี่ยนจุ่ยจือหดลีบเหลือจุดเล็กๆ เขาคือยอดฝีมือ!
ปราณแท้ของเขาทะลักออก กระบี่หนามที่ถูกสกัดไว้ปล่อยระลอกคลื่นเหมือนกับงูยักษ์ที่ดิ้นรนด้วยพละกำลังของมันเอง
ทันใดนั้นถังเทียนยิ้มให้เยี่ยนจุ่ยจือทำให้เขาใจเต้นผางกระบี่หนามที่พันรัดหลุดออกเป็นอิสระทันที เยี่ยนจุ่ยจือดีใจแล้วถอยออกมา แต่ทันใดนั้นปราณแท้ที่แหลมคมทะลวงผ่านเส้นชีพจรของเขาจากกระบี่หนาม
ไม่ดีเลย!
เยี่ยนจุ่ยจือรู้สึกเหมือนมีสว่านเจาะเข้าไปในเส้นชีพจรของเขาทำให้หน้าของเขาเปลี่ยน ปราณเที่ยงแท้ในร่างของเขาปั่นป่วนเกือบไปหมด เขากระอักเลือดไม่สามารถข่มระลอกปราณและเลือดในร่างกายได้ เข้าก้มหน้าวิ่งหนีทันที
เขาติดกับดัก!
คนผู้นี้ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง ท่าทีโง่งมที่เขาแสดง เป็นการหลอกลวงเขา
ถังเทียนลืมไล่ตามเช่นกัน เขายืนมึนงงอยู่ที่เดิมและพยายามทบทวนความรู้สึกของการโจมตีนั้น พลังของเขาแข็งแกร่งมากกว่าเยี่ยนจุ่ยจือแน่นอน แต่ว่ากันในเรื่องปะทะฝีมือ หากไม่สู้กันอย่างน้อยสิบกระบวนท่าก็ยากจะบ่งบอกได้ว่าใครชนะ แต่สัญชาตญาณของเขาทำให้คาดถึงปฏิกิริยาตอบโต้ของคู่ต่อสู้ได้ และยืมพลังจากการถอนถอยของคู่ต่อสู้ เขาฉวยโอกาสส่งปราณแท้ของเขาเองบางส่วนไปด้วย คาดไม่ถึงเลยว่าผลจะออกมาดีและไม่ธรรมดาอย่างมาก
อย่างนั้นปราณแท้ก็สามารถใช้อย่างนั้นก็ได้สินะ!
เหมือนกับว่าถังเทียนเปิดหน้าต่างแห่งความเป็นไปได้อีกบานหนึ่งใช้พลังเล็กน้อยครอบงำพลังใหญ่ แทนที่จะส่งปราณเที่ยงแท้ออกไป จะได้ผลน้อยกว่าฉวยโอกาสจากศัตรู ถ้าใช้ได้สมบูรณ์แบบ โดยใช้ปราณเที่ยงแท้เพียงเล็กน้อยก็สามารถเพิ่มผลที่ได้ไม่ธรรมดา
ความแข็งแกร่งและอ่อนแอมีความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปรตลอดกาล
ร่องรอยสาระสำคัญปรากฏวาบผ่านในดวงตาถังเทียน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะเขาได้รู้แจ้งวิทยายุทธของเขาอย่างเต็มที่แล้วเขาสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย
ปราณเที่ยงแท้ในร่างเขาเพิ่มขึ้นพรวดพราด พลังร่างกระเรียนผ่อนคลายจากนั้นก็กระชับกลายเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้เลือนราง พลังร่างกระเรียน, พลังร่างกระเรียน... แก่นสำคัญที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นรูปร่างของตัวกระเรียน แก่นแท้ก็คือเรื่องความเปลี่ยนแปลงและแรงสั่นสะเทือนของร่างกระเรียน!
เปลี่ยนแปลงและสั่นสะเทือน!
ใช่แล้ว สั่นสะเทือน!
พลังมาจากการสั่นสะเทือนที่แตกต่าง
ถังเทียนไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาแหงนหน้ามองฟ้าและส่งเสียงกู่ร้อง ร่างกระเรียนภายในร่างของเขาไม่ถูกกักขังและถูกจำกัดในรูปร่างของกระเรียนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ทันใดนั้นมันสยายปีกยืดคอยืนตรงและมีความเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งนี้เนื่องมาจากปราณแท้เล็กน้อยนับไม่ถ้วนมาบรรจบในตัวกระเรียนจนกระตุ้นให้มันทำงานทันทีเหมือนกับว่าพวกมันฟื้นขึ้นมาจากความตาย
ร่างกระเรียนนี้ตอบสนองต่อถังเทียนโก่งคอร้องออกมา ร่างของถังเทียนจู่ๆก็มีความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบรรยายได้
เสียงร้องไพเราะชัดเจนแต่ไม่กึกก้อง มันดังชัดในหูภายในระยะห้ากิโลเมตร
จู่ๆอาเฮ่อตัวสั่นและหันไปมองถังเทียนอย่างเหลือเชื่อ นั่นคือ... พลังกระเรียน
รู้แจ้งแก่นแท้ของพลังร่างกระเรียนและจากนั้นก็เรียนรู้พลังของกระเรียน....
หลิงซิ่วมองดูถังเทียนด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ เจ้าหมอนี่บรรลุพลังระดับใหม่อย่างนี้หรือนี่?
เสียงร้องที่ยาวนานทำลายกำลังใจของศัตรู ขณะที่หัวหม่าเอ้อตะลึงมองดูถังเทียนเสียงกู่ร้องที่ยาวนานไม่รู้จบและไม่ใส่ใจถึงปราณเที่ยงแท้ของนาง มันชอนไชเข้าหัวใจนาง แต่นางไม่รู้ว่าจะต่อต้านได้อย่างไร
เยี่ยนจิ่วจือกำลังหนีสุดชีวิตก็ได้ยินเสียงร้องนั้นทำให้ปราณเที่ยงแท้ในร่างของเขาปั่นป่วน เขาร่วงลงจากฟ้าหน้ากระแทกดินทันที สีหน้าของเขาตกตะลึง ไม่มีร่องรอยของความตั้งใจสู้อยู่เลยเขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนและวิ่งหนีไปอย่างแตกตื่น
ถังเทียนค่อยๆลืมตาขึ้น ร่างกระเรียนในตัวเขายังเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง ดวงตาของเขากระจ่างดุจสายน้ำใสไม่มีอะไรเจือปน แม้แต่อากาศรอบตัวเขา ก็ค่อยๆ บริสุทธิ์กระจ่างปราศจากฝุ่นและสิ่งสกปรกฟุ้งกระจาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าคือหนุ่มน้อยชาวฟ้าจริงๆ แล้ว!”
ในท่ามกลางความเงียบสงัดจู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะของถังเทียนดังออกมาแสบแก้วหู ทำให้คนอื่นตกตะลึง
บรรยากาศเสียไปในลักษณะนี้ ทุกคนตะลึงมองถังเทียนเอามือเท้าสะเอวแหงนหน้าแหกปากหัวเราะ เจ้าคนลำพองผู้นี้ทำให้คนอื่นคิดอะไรไม่ออก
นี่ นี่ นี่...ความเปลี่ยนแปลงนี้ กะทันหันเกินไป....