ตอนที่ 259 หัวหม่าเอ้อ
หวีซุ่นดูคำสั่งในมือของเขาอย่างระมัดระวัง ท่าทางของเขาสงบเหมือนสายน้ำ
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่กล้าทำอะไรเนื่องจากท่านหวีซุ่นเป็นคนที่มีอำนาจที่แท้จริงในกลุ่มศักดินาชาวยุทธ เป็นผู้นำเดี่ยวในพื้นที่ ดินแดนของพวกเขาเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์มากในกลุ่มดาวหมาป่า ที่สำคัญพวกเขาอยู่ใกล้กลุ่มดาวกา แม้ว่ากลุ่มดาวกาจะไม่ได้รุ่งเรืองแต่เส้นทางการค้าของพวกเขาอย่างน้อยก็ไม่ถูกจำกัด พวกเขาสามารถได้รับประโยชน์บางอย่างด้วยวิธีนี้ เนื่องจากพวกเขามักเดินทางไปทำการค้ากับกลุ่มดาวกาเป็นประจำเมื่อเทียบกับกลุ่มดาวหมาป่าซึ่งยุ่งเหยิง สถานที่ของพวกเขานับว่าสะดวกสบายที่สุด
ท่านหวีซุ่นเป็นผู้บัญชาการอันดับสองของกลุ่มศักดินาชาวยุทธ ดังนั้นเขามีสิทธิ์ถือครองที่ดินที่สมบูรณ์
“เกี่ยวกับคำสั่งที่ข้าได้ส่งไปก่อนแล้วเรื่องยานขนส่งได้ส่งคนไปกี่คน?”
หวีซุ่นยังถือคำแนะนำไว้ในมือของเขาและถามทันที
บริวารของเขาประหลาดใจและตอบทันที “เราส่งคนของเราให้ไปถ่วงเวลาพวกเขาไว้ตามคำสั่งของนายท่าน แต่คนผู้นั้นโหดร้าย และคนของเราทั้งหมด...”
“เรายังมีนักสู้ฝีมือดีอยู่อีกกี่คน?” หวีซุ่นถาม
“ราวๆ 40 คน” บริวารของเขานับ
“ส่งไปเพิ่มอีกสิบ” หวีซุ่นโบกมือโดยไม่ลังเล
“ขอรับ!” บริวารของเขาตกใจ“ใครอยู่ในยานนั้น?”
“ไม่ว่ายังไงเราต้องถ่วงเวลาพวกมันให้ได้สามวัน” หวีซุ่นพูดเฉยเมย “ท่านสุ่ยเฉิงและหย่งชิวจะพามือดีอีกเจ็ดสิบคนมาถึงในอีกสามวัน”
คราวนี้บริวารของเขาถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก ท่านสุ่ยเฉิงและท่านหย่งชิวพวกเขาคือหัวหน้าลำดับที่สามและที่สี่ และทั้งคู่เป็นนักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถี! ในกลุ่มศักดินาชาวยุทธใครก็ตามที่ได้รับยกย่องว่าเป็นมือดี มักจะเป็นนักสู้ระดับสวรรค์วิถี
นั่นเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่!
“ขอรับ!” เขาควบคุมใจที่กำลังสั่นและตอบรับ
“เจ้าไปได้” หวีซุ่นโบกมือ บริวารของเขารีบออกไปทันที
หวีซุ่นเหม่อมองไปไกล หน้าของเขามีแววกังวลทันที
พี่ใหญ่ไปหาคานท์!
ด้วยความช่วยเหลือของคลื่นหมีดินเผา พี่ใหญ่เหมือนกับเสือติดปีก พลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าหวีซุ่นรู้จักพี่ใหญ่ของเขาดี และหลังจากถูกคานท์ข่มมาหลายปี ก็เหมือนมีปีศาจในใจเขา ตอนนี้พลังของเขาเพิ่มขึ้นทำให้เขาไม่ลังเลที่จะตามหาตัวคานท์ในทันที
แต่หวีซุ่นมีความกังวลในใจเขา
ใครจะยอมให้คนอื่นใช้คลื่นหมีดินเผาเป็นรางวัลเอาชนะศัตรูของเขาเองเล่า
หวีซุ่นจู่ๆก็หัวเราะลั่น บางทีพวกเขาอาจผ่านวันเวลาที่สงบสุขนานเกินไปและสูญเสียพลังใจที่จะต่อสู้แล้วกลายเป็นคนขี้ขลาด ศัตรูมีนักสู้สวรรค์วิถีสามคนแต่ฝ่ายเขาก็มีนักสู้ในสวรรค์วิถี
นอกจากนี้ในมือของพวกเขา พวกเขามีร้อยคนเป็นยอดฝีมือระดับนักสู้สวรรค์วิถีและร้อยคนนี้ล้วนแต่คุกคามสามคนนี้ได้
พี่ใหญ่ไปพบกับคานท์ได้อย่างสบายใจก็เพราะกระบวนความคิดนี้นั่นเอง
พลังของตัวเขาเองก็ยังนับว่าสูงกว่าศัตรูแน่นอน
ถ้าพวกเขาทำได้สำเร็จ อย่างนั้นกลุ่มศักดิดาชาวยุทธจะกลายเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มดาวหมาป่า
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแล้วหวีซุ่นอดปลื้มใจมิได้
ถังเทียนลืมตางัวเงีย หลับครั้งนี้ได้หลับจนพอใจเขารู้สึกสะดวกสบายและตื่นตัวมาก
เอ๋, เดี๋ยวก่อน....
ทันในนั้นถังเทียนมองดูรอบๆตัวของเขา และตระหนักได้ทันทีว่าเขาอยู่บนหลังของถังอี้ ถังอี้ก้าวได้ยาว ดังนั้นภาพที่เห็นจึงบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าตื่นจนได้” อาเฮ่อกล่าว ร่างของเขาพกความมั่นใจที่ไม่อาจบรรยายได้ถูก ขณะที่เขาเหินบิน เขาเป็นเหมือนนกกระเรียนใหญ่กำลังบินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หลิงซิ่วนั่งอยู่บนฟลามิงโกล้อเลียน“เจ้าช่างทำให้หมูทั่วจักรวาลได้อายจริงๆ พวกมันหลับไม่ได้อย่างเจ้าแน่นอน สามวันเต็มๆ หึหึ นับถือ นับถือจริงๆ!”
“นั่น..ยะ.ยาน..”ถังเทียนรู้สึกสูญเสียอะไรไปอย่าง “เอ๋ยานอยู่ที่ไหนแล้ว?”
“เราเปลี่ยนเส้นทาง”อาเฮ่อกล่าวอย่างใจเย็นขณะบิน “ยานเราเป็นเป้าหมายเด่นเกินไป ดังนั้นเราจึงเก็บไว้”
ยานเป็นสมบัติดวงดาว ดังนั้นมันสามารถเก็บไว้ได้ และเพื่อความมั่นใจถังเทียนไม่ได้ทิ้งรอยประทับไว้บนยาน
ถังเทียนสับสน “เปลี่ยนเส้นทาง? จะไม่มีปัญหากับเส้นทางของติงตังเหรอ?”
“ไม่มีแต่อย่างใด”
คำพูดของอาเฮ่อทำให้ถังเทียนสับสนมากขึ้นอีก
“เรากำลังถูกสอดแนม” อาเฮ่อกล่าวอย่างใจเย็น “นอกจากการโจมตีระลอกแรกที่เจ้าคลี่คลายไปได้ก่อนนั้น เรายังถูกลอบโจมตีอีกห้าครั้ง”
“อา!” ถังเทียนถลึงตาทันทีและกล่าว“เราถูกลอบโจมตีเหรอ? ข้ายังไม่เข้าใจเลย? เอ่อ, ทำไมข้าจำไม่ได้เลย? นั่นก็แปลก!”
“บางทีเจ้าเหนื่อยเกินไป” อาเฮ่อปลอบโยนอย่างอ่อนโยน
หลิงซิ่วอยู่ด้านข้างแค่นเสียงเขาหงุดหงิดมาก “เจ้าหลับได้หลับดีนานถึงสามวัน ขณะที่พวกเราเหนื่อยสายตัวแทบขาดแม้กระทั่งนักสู้ระดับสวรรค์วิถีก็ยังโผล่ออกมาเลย พวกมันน่ารำคาญเหมือนแมลงวัน เสียเวลาฝึกฝนที่มีค่าของข้า”
“นักสู้ระดับสวรรค์วิถี!” ถังเทียนตะลึงอีกครั้ง แม้พวกเขาสามารถรับมือนักสู้ระดับสวรรค์วิถีได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ปัญหาก็คือ นักสู้ระดับสวรรค์วิถีไม่ใช่คนอ่อนแอ สีหน้าเขาหนักแน่นขึ้น “มีอยู่กี่คน?”
“พวกมันมีห้าคน”เสียงของอาเฮ่อยังคงสงบเหมือนน้ำ “ข้าคาดว่าจะมีการลอบโจมตีข้างหน้าพวกห้าคนที่ลอบโจมตี เห็นได้ชัดว่าเป็นการร่วมมือทำงานโดยคนบางกลุ่ม ฝ่ายตรงข้ามต้องการจะถ่วงเวลาเราไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า ถ้าเป็นเช่นนั้น ฝ่ายตรงข้ามมีแนวโน้มว่าจะใช้เวลาที่มากพอเพื่อรวบรวมกำลังคน”
ห้านักสู้ระดับสวรรค์วิถี นั่นพิสูจน์ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่กลุ่มพลังเล็กน้อย
นักสู้ระดับสวรรค์วิถีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของถังเทียนและพวก แต่เมื่อพวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นแน่นอนจะเป็นการคุกคามพวกเขา มีหกคนคอยลอบโจมตีซ้ำๆ กัน นั่นย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
ข้อสันนิษฐานของอาเฮ่อเป็นไปได้
“เฮ้! ข้าไม่ได้บอกไว้ก่อนแล้วหรือ?ว่าแต่เสี่ยวเฮ่อ, สติปัญญาของเจ้ากำลังจะไล่ข้าทันแล้ว”
ท่าทางอาเฮ่อห่อเหี่ยวทันที
หลิงซิ่วกำลังนั่งอยู่บนฟลามิงโกถึงกับปล่อยก๊าก “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! อาเฮ่อ, อย่างนั้นปัญญาของเจ้าก็พอๆกับเจ้าบ้านี่ ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”
อาเฮ่อทำเป็นไม่สนใจทั้งสองคนทันที“ตามเส้นทางที่ติงตังบอก เราเลือกเส้นทางมุ่งไปทางตะวันออกแล้วตีวงอ้อม เราจะผ่านเมืองม่อซีกันที่เราตั้งใจไปให้ถึงและมุ่งตรงไปยังจุดที่สองคือเมืองปี่ย่า”
“ข้าปล่อยให้เจ้าก็แล้วกัน” ถังเทียนโบกมือ เรื่องเหล่านี้ปล่อยให้คนฉลาดๆ ทำดีกว่า เขาไม่สนใจทั้งนั้นตราบเท่าที่เขาไปถึงปลายทาง”
ทันใดนั้นความคิดของถังเทียนถูกรบกวน “ใครบางคนกำลังตรงมาที่เรา”
เขาลงจากหลังของถังอี้
อาเฮ่อและหลิงซิ่วยังคงรู้สึกได้เช่นกัน “ศัตรูตามมาทันหรือ?” อาเฮ่อและหลิงซิ่วมองหน้ากัน ถ้าศัตรูสามารถตามรอยพวกเขามาได้ในระยะเวลาสั้นๆ นั่นอันตรายมากแล้ว
คนกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่ในสายตาพวกเขา
สตรีนางหนึ่งอยู่ในชุดหนังเป็นผู้นำกลุ่มราวๆยี่สิบคน สตรีนางนี้ดูมีเสน่ห์และน่ารักนัยน์ตานางสีฟ้า จมูกโด่งเป็นสันผมแดงและริมฝีปากหนา ดูมีเสน่ห์เร่าร้อนในมือของนางถือแส้หวดม้า
ดูเหมือนพวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนอื่นนอกจากพวกเขาเช่นกันและพวกเขาสีหน้าเปลี่ยนทันที เช้ง! พวกเขาชักดาบออกจากฝักทั้งหมด เหมือนกับว่าพวกเขามองดูศัตรู
สตรีผมแดงจ้องมองฟลามิงโกของหลิงซิ่วและดวงตานางมีแววประหลาดใจ นางโบกมือห้ามคนของนางและกระตุ้นม้าของนางเดินเข้ามาและหัวเราะทักทาย“สวัสดีสุภาพบุรุษ,ทำไมพวกท่านถึงได้เข้ามาในพื้นที่ของเผ่าหมาป่าเพลิงของเราได้เล่า?”
เสียงของนางนุ่มนวลราวกับจะแทรกซึมเข้าไปในกระดูกของผู้คนได้
ถังเทียนมีสีหน้าระวังตัวมากเมื่อเห็นสตรีผมแดงข้างหน้าเขาเตือนใจให้เขานึกถึงเซรีนในอดีตและประสบการณ์ที่น่ากลัว เขายอมเผชิญหน้ากับอสูรดวงดาวดีกว่าอยู่ใกล้นาง เขาถอยออกมาหนึ่งก้าว
หลิงซิ่วก็ยังคงถอยออกมาเงียบๆเช่นกัน สตรีคือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวทุกคน ปล่อยให้อาเฮ่อรับมือนางจะดีกว่า
สายตาของทุกคนมองมาที่อาเฮ่อพร้อมกัน
อาเฮ่อที่สงบเงียบอยู่เสมอมักสร้างความรู้สึกที่ดีและสตรีสองสามนางในเผ่าก็ยิ้มให้เขาแล้ว
อาเฮ่อคำนับสีหน้าของเขาซื่อสัตย์ “เรากำลังเดินทางไปเมืองปี่ย่า แต่หลงทางและรุกล้ำพื้นที่ของพวกท่านโดยมิได้ตั้งใจ ข้าต้องขออภัยด้วย”
“ปี่ย่าเหรอ?” สตรีผมแดงหัวเราะ “พวกเจ้ากำลังไปผิดทิศทางแล้ว ถ้าเจ้ายังคงมุ่งหน้าไปตามทางนี้ เจ้าจะไม่มีทางไปถึงเมืองปี่ย่าได้
หา.. ถังเทียนและหลิงซิ่วมองมาที่อาเฮ่อทันที เจ้าหมอนี่พาพวกเราไปผิดทางหรือนี่?
ความรู้สึกถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากด้านหลังของเขาทำให้อาเฮ่อสะดุ้ง เขาพาพวกเขาไปผิดเส้นทางหรือนี่?
อาเฮ่อมีท่าทีกระวนกระวายทันทีและเขาโค้งให้สตรีผมแดง “ข้าขอถามแม่นาง โปรดแนะนำเส้นทางที่ถูกต้องให้พวกเราด้วย”
ท่าทางของอาเฮ่อสุภาพมากทำให้สตรีผมแดงยิ้ม “บอกเส้นทางให้พวกเจ้าสิ้นสงสัยก็ได้ เรากำลังจะกลับไปเช่นกันทำไมพวกเจ้าถึงไม่เดินทางไปพร้อมกันเรา? เมื่อไปถึงเผ่าของเราเมืองปี่ย่าก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”
อาเฮ่อยินดี “ขอบคุณแม่นาง”
“ข้าชื่อหัวหม่าเอ้อ!” สตรีผมแดงกล่าวอย่างมั่นใจ “พ่อหนุ่มรูปหล่อ,เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าชื่ออาเฮ่อ” อาเฮ่อยิ้มและตอบพลางชี้ไปที่ถังเทียนและหลิงซิ่ว “คนเหล่านี้เป็นสหายของข้า นี่คือถังเทียนและหลิงซิ่ว”
ถังเทียนกับหลิงซิ่วโบกมือให้หัวหม่าเอ้อทันที
ทุกคนคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว อาเฮ่อที่มีท่าทีเป็นมิตรและซื่อสัตย์เห็นได้ชัดว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่จะแทรกซึมเข้าค่ายศัตรูได้ ถังเทียนและหลิงซิ่วได้ซึ้งกับคำว่าหนุ่มเจ้าสำราญในคราวนี้แหละ
“หัวหม่าเอ้อ พวกเจ้ามาจากไหนกัน?” อาเฮ่อสงสัย
คนกลุ่มนี้แข็งแรงคล่องแคล่วนอกจากจำนวนคนยี่สิบแล้ว มีเจ็ดคนที่เป็นนักสู้ระดับสวรรค์วิถี
“เราออกไปซื้ออาหารปันส่วนกัน” หัวหม่าเอ้อถอนหายใจเล็กน้อย “ฤดูหนาวจะมาเยือนเราต้องเตรียมอาหารไว้แต่เนิ่นๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถรอดผ่านฤดูหนาวไปได้
“พวกท่านขาดแคลนอาหารหรือ?” อาเฮ่อประหลาดใจ
“เท่าที่เห็นเราบอกได้เลยว่าพวกเจ้าไม่ได้มาจากกลุ่มดาวหมาป่า” หัวหม่าเอ้อหัวเราะ “ตราบใดที่พวกเจ้ามาจากกลุ่มดาวหมาป่าเจ้าจะรู้ว่าฤดูหนาวของกลุ่มดาวหมาป่าน่ากลัวเพียงไหน และอาหารราคาแพงเพียงไหน เพื่อให้ได้อาหารหนึ่งกระสอบบางคนถึงกับฆ่ากันยกหมู่บ้าน”
ถังเทียนกับพวกพ้องถึงกับผมลุกชัน
“หมู่ดาวหมาป่าไม่ผลิตอาหารหรือ?” หลิงซิ่วอดถามไม่ได้
“ผู้คนชาวดาวหมาป่าถนัดในเรื่องต่อสู้ แต่ไม่ถนัดทำการเกษตร”หัวหม่าเอ้อถอนหายใจ “และพื้นที่ของเราก็ไม่อุดมสมบูรณ์ เผ่าของเราตั้งอยู่ในเขตทะเลทราย เป็นเขตโอเอซิสเล็กนิดเดียวเราจะผลิตอาหารได้มากแค่ไหนกัน?”
“อย่างนั้นพวกเจ้ารอดอยู่ได้อย่างไร?” ถังเทียนถาม
“ทุกคนในกลุ่มดาวหมาป่าเกิดมาเป็นนักรบ เนื่องจากสถานที่นี้ไม่สามารถผลิตอาหารได้ อย่างนั้นเราจะใช้ดาบกระบี่ของเราต่อสู้เพื่อชีวิตของเรา ที่นี่ชีวิตไม่มีค่ามาก เจ้าเคยได้ยินภาษิตนี้มาก่อนไหมชาวดาวหมาป่าเป็นอาหารสัตว์ปีกชั้นดี? เจ้ารู้ไหมว่าทำไม? เพราะชีวิตที่นี่ราคาถูกและมีมากมายไงเล่า หึหึ”
พูดถึงเรื่องนั้นหัวหม่าเอ้อมีแววเสียใจ
ถังเทียนและสหายได้แต่เงียบ สถานการณ์นี้พวกเขารู้ว่าหมายถึงอะไร และรู้สึกอย่างไร
ทันใดนั้นถังเทียนสีหน้าเปลี่ยน “มีคนมุ่งหน้ามาทางนี้ และพวกเขามีหลายคนด้วย! เอ่,พวกเขามากันเร็วมาก”
หัวหม่าเอ๋อสีหน้าเปลี่ยน ตาสีฟ้าฉายประกายเยือกเย็นขณะที่นางรั้งบังเหียนม้าระดับเอวนาง นางตะโกนออกมา “เตรียมตัวรับมือศัตรู!”
************************************