ตอนที่ 255 จ่าสิบตรีถังอี้
“นั่นคือทั้งหมดสำหรับตอนนี้” ปิงยังคงประหม่าเล็กน้อย ที่สำคัญเขาทุ่มเงินสามพันล้านเพื่อฟื้นฟูกองทัพดาวกางเขนใต้ของเขาโดยไม่กระพริบตา แต่เขารู้ว่าถังเทียนมีเงินสดคับกระเป๋าในตอนนี้
“ได้ ได้เลย” เซรีนก็รู้สึกประหม่าด้วย นางคาดว่าต้องใช้เพียงสามร้อยถึงสี่ร้อยล้านในการเริ่มต้น แต่จำนวนรวมสามพันล้านไม่เคยอยู่ในใจนางมาก่อน
เป็นสิ่งที่ยากจะกลืนน้ำลายได้ลงจริงๆ!
อย่างไรก็ตาม หลังจากคิดถึงโครงการวิศวกรรมขนาดใหญ่ที่พวกเขาเตรียมจะทำ นางรู้สึกตื่นเต้นด้วย คลังแสงทหารคือการก่อสร้างวิศวกรรมจักรกลภายในกองทัพดาวกางเขนใต้ แม้ว่าจะผ่านมาพันปีแล้วแต่กลับรู้สึกว่าเหมือนกับเมื่อวันวาน ด้วยเนื้อที่มากขนาดนั้น เซรีนจึงตระหนักได้ในที่สุดถึงโครงการในจินตนาการบางส่วนของนางที่นางมักต้องการสร้างอยู่เสมอ
สำหรับวิศวกรจักรกลทุกคน ถือว่าเป็นเกียรติที่สามารถรับผิดชอบในการจัดการโครงการที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้น
ป้อมปราการบรอนซ์
นางตื่นเต้นเสียแล้วเพียงแค่คิดถึงโอกาสที่จะได้สร้างป้อมปราการบรอนซ์ขนาดใหญ่นี้ สามารถสร้างได้ด้วยมาตรฐานของคลังแสงอาวุธกองทัพ ข่าวนี้จะเดินทางข้ามจักรวาลและจากนี้ไปจะเป็นที่กล่าวขานไปอีกหลายร้อยปี
ก็ได้ อย่างนั้น เรายังมีอีกสองพันล้าน ถังเทียนถอนหายใจโล่งอก
“เจ้าจำเป็นต้องจัดหาหินดวงดาวระดับหกมาใช้สำหรับให้เจ้าฝึกฝนคิดดูสิว่าเจ้าอาจต้องใช้หินดวงดาวระดับหกในบางครั้ง เจ้าต้องพิจารณาหาซื้อวิทยายุทธระดับหกด้วยเช่นกัน ไม่มีวิชาใดที่ทรงพลังเท่ากับกรงเล็บเพลิงภูตพรายของเจ้าซึ่งทรงพลังมากในตอนนี้มันจะกลายเป็นวิชาที่ใช้รุกโจมตีเป็นหลัก นอกจากนี้เจ้ายังได้รับการ์ดจากเซียนกระบี่ลับด้วย ภายในนั้นน่าจะเป็นวิชาหมัดเหล็กกลืนแสงเจ้ามิได้ขาดแคลนวิชารุกโจมตี แต่ขาดวิชาตั้งรับป้องกัน วิชาตัวเบาและวิชาข้อต่อ เจ้าสามารถซื้อการ์ดวิทยายุทธที่มีศักยภาพได้” ปิงกล่าว
“การ์ดวิทยายุทธที่มีศักยภาพ?” ถังเทียนถาม
“ใช่แล้ว การ์ดวิทยายุทธที่มีศักยภาพเพื่อใช้ฝึกวิทยายุทธที่ไม่ซ้ำใคร” ปิงตอบ “ไม่ใช่ว่าวิทยายุทธทั้งหมดจะมีศักยภาพที่ถึงความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ขณะเดียวกันมีวิทยายุทธเหล่านั้นที่ไม่ถึงระดับเป็นวิทยายุทธโดดเด่นไม่ซ้ำใครเช่นกัน อย่างเช่นวิชาราชันย์ถวิลรักของสาวน้อยคนนั้น แค่ต้องก้าวไปอีกระดับหนึ่งจึงจะกลายเป็นวิชาโดดเด่นไม่ซ้ำใคร และแน่นอน แม้ว่าเจ้าจะครอบครองวิทยายุทธเหล่านี้ก็อาจจะไม่ได้รับวิชาที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครนี้นี่เป็นเรื่องของโชคชะตา”
“แล้วข้าจะไปหาการ์ดแบบนั้นได้ที่ไหน?” ถังเทียนถาม
“เจ้าจำเป็นต้องไปที่ร้านการ์ดใหญ่ๆ เหล่านั้น” เซรีนตอบ “การ์ดวิทยายุทธแบบนี้ราคาแพง ราคาของการ์ดแบบนี้จะสูงมากกว่าการ์ดวิชาระดับทองและเรียกว่าการ์ดวิชาระดับม่วงทอง ร้านขายการ์ดจะมีวิชาธีการพิเศษเพื่อประเมินการ์ดกำหนดศักยภาพของวิทยายุทธเหล่านี้
“การ์ดวิทยายุทธม่วงทอง ฟังดูแล้วน่าจะแพง” ถังเทียนหัวเราะ
“มันแพงแน่นอน” เซรีนเคยทำธุรกิจขายการ์ดวิชามาก่อน ดังนั้นนางรู้ราคาของการ์ดแต่ละรูปแบบเป็นอย่างดี “การ์ดทองระดับหกจะอยู่สิบถึงห้าสิบล้าน การ์ดทองม่วงจะแพงมากกว่าสิบเท่า”
“สะ..สิบเท่า...” ถังเทียนหน้าซีดกว่าเดิม “ก็หมายความว่าร้อย ถึงห้าร้อยล้าน?”
“ใช่แล้ว ที่แพงมากกว่าการ์ดวิชาระดับม่วงทองก็คือการ์ดวิชาโดดเด่นไม่ซ้ำใครการ์ดอย่างนี้ราคาเกินกว่าพันล้านเหรียญดาว อย่างไรก็ตามการ์ดวิชาโดดเด่นไม่ซ้ำใครนี้ไม่สามารถหาพบได้ตามร้านการ์ดทั่วไป” เซรีนตอบ
“พันล้าน...” ถังเทียนตาเบิกกว้าง “กรงเล็บเพลิงภูตพรายขายได้ถึงพันล้านเหรอ?”
“ใช่ ถ้าเจ้าเปลี่ยนสภาพเป็นการ์ดวิทยายุทธได้ เจ้าก็ขายได้พันล้านเหรียญดาว” เซรีนพยักหน้าเห็นด้วย “อย่างไรก็ตามการจะสร้างการ์ดวิชาโดดเด่นไม่ซ้ำใครจิตวิญญาณพลังยุทธของเจ้าจะต้องเป็นระดับทอง เมื่อเจ้าสร้างการ์ดวิชา ค่าของจิตวิญญาณพลังยุทธของเจ้าจะตกลงมาหนึ่งระดับ”
“นี่มันราคาสูงลิ่วเกินไปไม่ใช่หรือ” ปากของถังเทียนอ้าปากกว้าง
เซรีนยักไหล่ “แน่นอน! เจ้าคิดว่าหนึ่งพันล้านจะได้รับกันง่ายๆ หรือ? ความต้องการวิทยายุทธโดดเด่นไม่ซ้ำใครผ่านตัวเจ้ามีสูงมาก สำหรับพวกที่เข้าใจวิทยายุทธโดดเด่นไม่ซ้ำใคร แต่จิตวิญญาณพลังยุทธของเขายังไม่ถึงชั้นทอง ก่อนที่พวกเขาจะตาย การ์ดวิทยายุทธสร้างขึ้นจากความต้องการจิตวิญญาณพลังยุทธจะเป็นได้แต่เพียงการ์ดวิทยายุทธชั้นม่วงทอง ขณะที่ลูกหลานของตนได้รับมรดกที่ไม่สมบูรณ์ ถ้าพวกเขาโง่สักหน่อยวิทยายุทธโดดเด่นไม่ซ้ำใครจะหายไป”
ถังเทียนทิ้งความคิดที่จะขายกรงเล็บเพลิงภูตพราย อย่าว่าแต่จิตวิญญาณพลังยุทธระดับทองเลย ตอนนี้เขาไม่ยินดีเปลี่ยนจิตวิญญาณพลังยุทธระดับเงินของเขาให้เป็นการ์ดวิชาโดดเด่นไม่ซ้ำใครเนื่องจากเมื่อเทียบกับการฝึกฝนร่างกายจริงๆ การฝึกจิตวิญญาณพลังยุทธหนักกว่ามาก
หลังจากได้ยินสิ่งที่เซรีนพูดแล้วปิงยังคงรู้สึกว่าพวกเขาคงไม่อาจแตะต้องการ์ดวิทยายุทธระดับม่วงทองได้ เขาพูด “เจ้าไม่ต้องกังวลใจ นอกจากการ์ดจากเซียนกระบี่ลับแล้ว ยังมีการ์ดอื่น”
“ยังมีการ์ดอีกใบหนึ่งเหรอ?” ถังเทียนถาม
“ถูกแล้ว ก่อนที่ผู้เฒ่าหนงกรงเล็บภูตพรายจะตายเขาทิ้งแก่นจิตวิญญาณพลังยุทธไว้ในการ์ดที่แปะอยู่ที่ผนังวิชาวิทยายุทธนั่นก็คือกรงเล็บเพลิงภูตพราย การ์ดใบนี้เริ่มมีพฤติกรรมที่แปลกและกลืนกินการ์ดใบอื่น” ปิงกล่าว“ จนถึงตอนนี้ มันกินการ์ดใบอื่นไปสิบแปดใบแล้ว”
“กรงเล็บภูตพราย!” ถังเทียนสั่นหลังจากได้ยินชื่อ “ทำไมลุงไม่บอกข้าให้ไวกว่านี้?”
“เพราะกระบวนการทั้งหมดนี้อาจล้มเหลวได้ทุกเมื่อ” ปิงอธิบาย “ผู้ตายไม่ปรารถนาจะมีชีวิตทรมานจากความเสียใจนั่นคือความปรารถนาสุดท้ายของเขาก่อนตาย ถ้าทำได้สำเร็จ อย่างนั้นก็สมประสงค์ แต่ถ้าไม่สำเร็จเขาก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจเช่นกัน”
ถังเทียนพยักหน้า “การ์ดวิทยายุทธจะสามารถกลายเป็นขุนพลวิญญาณได้ไหม?”
ปิงเข้าใจความหมายของถังเทียน “เจ้าปรารถนาให้มันกลายเป็นขุนพลวิญญาณหรือ? แน่นอนว่าเจ้าทำได้ แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อน ขุนพลวิญญาณใหม่จะไม่มีสัญลักษณ์ของกรงเล็บภูตพราย ความทรงจำของกรงเล็บภูตพรายจางลงไปมากเนื่องจากเขาทิ้งแก่นวิญญาณของเขาไว้ แม้ว่าขุนพลวิญญาณใหม่จะถือกำเนิดเพราะกรงเล็บภูตพรายแต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีความสัมพันธ์กับกรงเล็บภูตพราย”
ถังเทียนเหม่อมองไปไกลแล้วถาม “ข้ารู้ผู้ตายไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทนเพราะความเสียใจ แต่นั่นไม่ใช่ความเสียใจนี่คือความปรารถนามีชีวิตเพื่อสานความสัมพันธ์ ข้ามักคิดเสมอว่ากรงเล็บภูตพรายตอนนี้อยู่ในดินแดนห่างไกล ข้าไม่รู้สึกเสียใจข้าเพียงแต่ต้องการให้เขาปรากฏตัว ขุนพลวิญญาณใหม่จะมีชะตากรรมของตนเองและเขาจะต่อสู้เคียงข้างเรา แต่แค่คิดถึงความเป็นไปได้ว่ากรงเล็บภูตพรายจะกลับมาเกิดใหม่ นั่นก็ทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อกังวลห่วงใยและรู้สึกดีต่อคนอื่น”
เซรีนตะลึงกับคำที่ถังเทียนเพิ่งพูด ช่างลึกซึ้งและคมคายซึ่งไม่เคยคาดหวังจากเขาเลย เขาถูกใครบางคนครอบงำหรือเปล่า?
มีชีวิตเพื่อห่วงใยและรู้สึกดีต่อคนอื่น
ปิงมีความคิดผุดขึ้นในใจมากมาย หลังจากเขาสงบจิตใจได้และรวบรวมความคิดใหม่อีกครั้ง เขาถอนหายใจยาว “สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง”
ปิงกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง “การ์ดใบนี้จะถูกตั้งค่าให้เป็นขุนพลวิญญาณ ข้าจะวางการ์ดของเซียนกระบี่ลับในห้องจิตวิญญาณพลังยุทธและค้นหาต้นกำเนิดเดิมหมัดเหล็กกลืนแสงของซางกู่ยังคงต้องประเมิน ข้าจะไปหาร้านใหญ่ๆ ที่ไหนสักแห่งเพื่อประเมินการ์ดนี้ได้บ้าง?”
ประโยคสุดท้ายเจาะจงที่เซรีน
เซรีนคิดถึงเรื่องนี้ “ถ้าเราต้องการซื้อการ์วิชาระดับม่วงทอง เราเข้าไปที่เมืองใหญ่ตรวจสอบได้
หลังจากตั้งใจเดินทาง พวกเขารีบออกไปยังเมืองสามวิญญาณ เมื่อพวกเขามาถึงร้านของเซรีนพวกเขาก็พบกับติงตังและผี่ผา
หลังจากเห็นสองคนหน้าคล้ายกัน ถังเทียนถามอย่างประหลาดใจ “ฝาแฝดเหรอ?”
“เจ้านาย!” ติงตังตะโกนผี่ผาที่ยืนอยู่ข้างติงตังเหลือบถังเทียนและพยายามประเมินเขา
เจ้านายของพี่สาวยังอายุน้อยอยู่เลย
“แหล่งซ่อนตัวเดิมของข้าถูกคนแปลกหน้าพบแล้วตอนนี้ข้าขึ้นอยู่กับท่านแล้วนะ เจ้านาย” ติงตังบอกถังเทียนขณะตรวจสอบสีหน้าเขา
“ได้เลย” ถังเทียนตอบ “พอดีเลย เราเพิ่งจะเริ่มสร้างฐาน”
“ฐาน?” ติงตังตกตะลึง
“ที่นี่จะกลายเป็นฐานถาวรของเรา” ปิงอธิบาย “เราจะสร้างป้อมปราการบรอนซ์ตรงนี้”
“ป้อมปราการบรอนซ์!” สองพี่น้องตะลึงกับสิ่งที่ปิงพูด
“นี่คือเซรีนวิศวกรจักรกลของเรา และนี่ติงตังตำแหน่งม้าขององค์การวิญญาณมืด ถ้าเจ้าต้องการข้อมูลใดๆ เจ้าถามนางได้ นี่คือน้องสาวนาง เอ่อ... เจ้าชื่ออะไรนะ?” ถังเทียนแนะนำตัวทุกคน
“ท่านเรียกข้าว่าผี่ผาได้” ผี่ผากล่าวเสียงไพเราะ
“อาการป่วยของผี่ผาเป็นยังไงบ้าง?” ถังเทียนสามารถได้ยินจากเสียงลมหายใจที่แผ่นเบาของผี่ผาขณะที่กำลังพูด
“เราไม่มีเวลาพอ เมื่อเรามาถึงบ้าน กลุ่มคนแปลกหน้าก็ไล่กวดเราแล้ว” ติงตังตอบ
“จากนี้ไปพวกเจ้าอยู่ที่นี่กันทั้งหมดได้” ถังเทียนตอบ “ผู้เฒ่าบอดจะมาถึงในไม่ช้า จากนั้นข้าค่อยรวบรวมคนเพิ่ม ถึงตอนนั้นอำนาจในการป้องกันของเราจะแข็งแกร่งเพียงพอ”
ติงตังเห็นด้วย “นั่นคือสิ่งที่ข้าคิดเช่นกัน”
“ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนพวกท่านทุกคน” ผี่ผาบอกทุกคน
เบื้องหลังประตูแสง
ถังเทียนมองเห็นการ์ดวิชาใบหนึ่งที่กำลังเปล่งรัศมีจากหลังประตูแสง ช่างน่าทึ่งจริงๆ
“การ์ดใบนี้กลืนการ์ดวิญญาณอื่นไปสิบแปดใบแล้ว มันถึงระดับที่เจ้าสามารถเชี่ยวชาญได้ เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการเปลี่ยนให้เป็นขุนพลวิญญาณ?” ปิงหันไปมองถังเทียน
เวลานี้ ขลุ่ยวิเศษมาถึงค่ายทหารใหม่แล้ว เขายังคงตื่นเต้นเช่นกัน
“แน่ใจสิ” ถังเทียนตอบขณะพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
“ยกมือของเจ้าและวางบนผนังวิชาต่อสู้” ปิงสั่งถังเทียน “จากนั้นใช้จิตวิญญาณพลังยุทธของเจ้าเรียกมันออกมา”
ถังเทียนไม่ลังเลแต่อย่างใด เขาวางมือลงบนผนังวิชายุทธ เวลานี้รอบมือเขาไม่ผ่านทะลุประตูแสง เขาหลับตา ทันใดนั้นจิตวิญญาณพลังยุทธของเขาเปล่งรัศมีเพลิงเงินตรงไปที่ผนังวิชายุทธซึ่งอยู่ด้านหลังประตูแสง
ประตูแสงเปล่งรัศมีเจิดจ้า
สถานที่นั้นสั่นสะเทือนรุนแรงก่อนที่ประตูแสงจะกลืนถังเทียนเข้าไป ถังเทียนรู้สึกเหมือนว่าเขาถูกดูดเข้าไปในสนามรบมหึมา พื้นที่มีสนามเพลาะขุดขวางเข้าไปในสนาม ควันดำทะมึนลอยเต็มในอากาศและแผ่นดินกลายเป็นสีเทาซากศพกระจัดกระจายรวมทั้งชิ้นส่วนอาวุธจักรกลเศษธงกลุ่มดาวกางเขนใต้เป็นส่วนหนึ่งของการสังหารนี้
ทันใดนั้น อาวุธจักรกลสีทองที่สภาพได้รับความเสียหายหนักกระโดดออกมาจากสนามเพลาะมันหยิบธงกลุ่มดาวกางเขนใต้และเริ่มตะโกน “กองทัพกลุ่มดาวกางเขนใต้!”
“วันทยา...วุธ” เสียงดังออกมาจากทั่วทุกมุมของสนามเพลาะมีพลังดังไปทั่วสนามรบ
แผ่นดินไร้ชีวิตดูเหมือนจะถูกปลุกด้วยเสียงดังนี้ อาวุธจักรกลบรอนซ์เริ่มคลานออกมาจากสนามเพลาะ ทุกเครื่องมีรอยบาดแผลเกลื่อนกลาดและบาดเจ็บหนักสนามรบที่ครั้งหนึ่งว่างเปล่าในตอนนี้รุมล้อมไปด้วยอาวุธจักรกลบรอนซ์
ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยศัตรู
อาวุธจักรกลสีทองสูดลมหายใจลึกขณะที่ถือธงหมู่ดาวกางเขนใต้ไว้แน่น “พวกเจ้าทุกคนยังสู้ต่อไหวไหม?”
“สู้!”อาวุธจักรกลทั้งหมดตะโกนออกมา
อาวุธจักรกลสีทองตะโกนอีกครั้ง แต่คราวนี้ตะโกนดังกว่าเดิม “พวกเจ้ายังสู้ต่อได้อีกไหม?”
อาวุธจักรกลสีบรอนซ์ทั้งหมดกล่าวทวนอีกครั้ง “สู้! สู้! สู้!”
เสียงคำรามที่เร่าร้อนดังก้องทั่วสนามรบ
“ฆ่า!”อาวุธจักรกลสีทองตะโกนออกมาขณะนำกลุ่มออกไป
“ฆ่า!” อาวุธจักรกลบรอนซ์ตะโกนอีกครั้งหนึ่ง
อาวุธจักรกลบรอนซ์นับไม่ถ้วนเริ่มบุก เท้าที่หนักหน่วงของพวกเขาเปล่งเสียงดังปังในทุกก้าวย่าง
โลกสั่นสะเทือน ขณะที่ท้องฟ้าครึ้มหม่น
เสียงกู่ก้องในสงครามจางลงเมื่อเวลาผ่านไป
เสียงเฉื่อยชาเสียงหนึ่งดังขึ้นจากแต่ไกล
“วิญญาณทหารหาญไม่เคยดับสูญ เราจะสู้จนกว่าจะตาย!”
“จ่าสิบตรีถังอี้แห่งกองทัพกางเขนใต้รายงานตัวขอรับ”