ตอนที่ 252 คว้าชัยชนะ
ปัง!
เงาร่างสีเขียวปลิวผ่านไปกระแทกฝังเข้าไปในผนังเสียงดังสนั่น
รอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏและขยายลามผ่านร่างเขา แรงปะทะยังทำให้ผนังแตกถล่มเป็นภาพที่งดงาม สีเขียวจากของเหลวของหญ้าและสีแดงจากเลือดของเขากระจายอยู่ทั่วผนัง
ถังเทียนหอบหายใจหนักหน่วง พันกระเรียนบรรจบสังหารใช้คู่กับพลังระเบิดมันมากเกินกว่าเขาจะรับมือได้และตอนนี้เขาทำได้แต่เพียงอ้าปากหอบหายใจ
โกดังอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง
พื้น เสาและผนังเต็มไปด้วยเข็มเล็กๆ เป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นแม้ตัวของเซรีนก็ยังมีรูเล็กบาง
ม่อเว่ยเทียนและม่อเหล่งยืนตะลึงขณะที่เขามองร่างหุ่นไล่กาที่ห้อยอยู่ไร้สัญญาณชีวิตฝังอยู่ในรอยแตกของผนัง
“เขา..เขา..เขา...” ม่อเว่ยเทียนรู้สึกว่าลิ้นชาขึ้นมาทันใด
“เขาตายแล้ว” ถังเทียนหอบหายใจหนักหน่วงขณะถือโล่ของเขาขึ้นมาอีกครั้ง โชคดีที่เขามีโล่อยู่ในมือ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงต้องลำบากอย่างหนัก กรงเล็บเพลิงภูตพรายแหลมคมและทรงพลังก็จริง แต่วิทยายุทธนี้ไม่เหมาะใช้ตั้งรับ ถังเทียนเสียใจที่เขาไม่ได้โจมตีหุ่นไล่กาทันทีที่เขาปรากฏตัวแต่กลับปล่อยให้เขาได้สนทนากับเขา หากเขาโจมตีเร็วกว่านี้ พวกเขาคงไม่ลงเอยในสภาพอย่างนี้
เขาไม่รู้ว่าพลังปะทะจะส่งผลกับม่อเว่ยเทียนและคนที่เหลือได้มากมาย
หุ่นไล่กาเป็นหนึ่งในนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทำเนียบสวรรค์วิถี แม้ว่าตระกูลม่อจะได้รับการยกย่องว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ทางด้านงานจักรกล แต่พวกเขาไม่มีอะไรนอกจากเป็นผู้สร้างความปั่นป่วนได้และพวกเขาไม่มีนักสู้สวรรค์วิถีสักคนเดียวมีแต่สมาชิกผู้มีชื่อที่คุ้นเคยในทำเนียบนักสู้เท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ตระกูลม่อต้องการให้ช่วย พวกเขาจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น และพวกที่เข้ามาช่วยพวกเขาก็เป็นเหมือนเครื่องหมายของความน่าเคารพเท่านั้น
ตระกูลเก่าแก่ฟังชื่อเหมือนดูดี แต่ในท่ามกลางดวงดาวนับล้านดวงในสวรรค์วิถี มีตระกูลเก่าแก่อยู่นับไม่ถ้วน
แต่สำหรับนักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถี พวกเขามีชื่ออยู่ใน 10,000 คนแรก
ในสายตาของม่อเว่ยเทียน นักสู้สวรรค์วิถีได้รับการยอมรับอย่างสูงนั่นคือเหตุผลเมื่อหุ่นไล่กาปรากฏตัว ใครๆ ก็นึกภาพออกได้เลยว่าม่อเว่ยเทียนจะตกใจเพียงไหน แต่เมื่อเห็นประจักษ์การตายของนักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถีอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา เขาได้แต่สับสน
ขณะที่ถังเทียนซึมซับประสบการณ์ที่ได้รับในการต่อสู้ เขามองดูเซรีนและรู้สึกโล่งใจเนื่องจากนางไม่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นเขานึกถึงอสูรจักรกลสามตัวที่ถูกเรียกออกมา
อสูรบรอนซ์ทั้งสามได้ความดีความชอบ และไม่ทันได้สังเกตหลังจากที่พวกเขาได้ชัยชนะแล้ว
แพะภูเขาบรอนซ์อยู่ที่เดิมกำลังเดินลากเท้า กระรอกมองดูหางใหญ่ที่เสียหายของมันอย่างงงงันขณะที่เต่าบรอนซ์ค่อยคลานต้วมเตี้ยมออกมาจากกอหญ้า
ทันใดนั้นหยาหยาปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดและพุ่งเข้าหาอสูรบรอนซ์ทั้งสาม
แพะภูเขากลับหลังหันมา งอหลังและย่อเขาของมันลงขณะที่เตรียมตัวโจมตี
กระรอกพุ่งความสนใจไปที่หยาหยา แต่เมื่อมันเห็นเป็นหยาหยา มันกลับจ้องด้วยความประหลาดใจ
และเต่ายังคงคลานออกมาจากกอหญ้าเดินไปตามทางของมันช้าช้า
หยาหยายังคงเหน็บธงเล็กๆ ไว้ที่ก้นของเขาขณะที่ส่งเสียงร้องแหลม หยาหยาใช้มือน้อยๆ โบกไปมาแสดงท่าทาง
“หยาหยา!” เซรีนตะโกนอย่างทึ่งนางเพิ่งจะตั้งหลักได้จากอาการตกใจในการต่อสู้กับหุ่นไล่กา
เมื่อได้ยินเซรีนตะโกน หยาหยาหันหัวไปทางเซรีนและเริ่มวิ่งเข้าหานาง ธงเล็กๆ ที่เหน็บไว้ที่ก้นของมันยังคงโบกสะบัดขณะที่มันวิ่ง
ถังเทียนชี้ไปที่อสูรบรอนซ์ทั้งสามตัว และถามเซรีน “เจ้าสามตัวนี้มันคืออะไร?”
“อสูรจักรกล” เซรีนตอบขณะที่นางเอาแต่บีบจับแก้มของหยาหยา “พวกมันคืออสูรจักรกลที่ข้าผสานจิตวิญญาณพลังยุทธลงไป เจ้าไม่เห็นเหรอ?”
ถังเทียนประหลาดใจ “แม้แต่อสูรจักรกลก็สามารถใส่จิตวิญญาณพลังยุทธได้ด้วยเหรอ?”
“ทำไมจะไม่ได้เล่า?” เซรีนตอบ หลังจากได้เห็นประสิทธิภาพการต่อสู้ของอสูรทั้งสามแล้วเซรีนภูมิใจในสิ่งประดิษฐ์ของนาง “พวกมันเป็นยังไงบ้าง? ไม่เลวเลยใช่ไหม?ตอนนั้นข้าเบื่อและมีเวลาเหลือเฟือก็เลยประดิษฐ์ขึ้นมา แพะภูเขาฉลาดที่สุดแต่มันชอบต่อสู้ เต่าขี้เกียจที่สุดแต่กระรอกมันชอบมึนงงสับสน เนื่องจากข้าใช้เวลาส่วนใหญ่ตามลำพังก็เลยมีเจ้าอสูรทั้งสามนี้เป็นเพื่อนแก้เหงาได้”
ม่อเหล่งตั้งใจฟังเซรีนและอดที่จะตอบบ้างไม่ได้ “อสูรจักรกลแบบนี้เหนือกว่าอสูรจักรกลทั่วไปลิบลับ!พวกมันสามารถเอาชนะอสูรจักรกลในรุ่นปัจจุบันนี้ได้แน่นอน!”
เซรีนตอบอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน! เป้าหมายของเซรีนก็คือกลายเป็นวิศวกรจักรกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้ได้!”
ทันใดนั้นนางตระหนักได้ทันทีว่าปรมาจารย์จักรกลผู้ยิ่งใหญ่กำลังคุยกับนาง จบกัน! นางไปแสดงความหยิ่งยโสต่อหน้าปรมาจารย์จักรกลได้ยังไงกัน
เป็นความผิดของถังเทียนคนเดียว
นางตำหนิอิทธิพลถังเทียนที่มีต่อนางหลังคลุกคลีด้วยกันมาเป็นเวลานาน
ถังเทียนไม่รู้ว่าเซรีนแอบด่าเขาในใจที่ทำให้นางผิดพลาด เขาไปนำตัวหุ่นไล่กาลงมาจากผนัง ตู้เก็บของอควาเรียสที่หุ่นไล่กาใช้มีขนาดเล็กกว่าที่ถังเทียนมีภายในที่เก็บของยุ่งเหยิง ถังเทียนไม่ได้ดูอย่างใกล้ชิดว่าของในตู้อควาเรียสมีอะไรบ้าง เนื่องจากเขาสนใจสมบัติอีกชิ้นหนึ่งบนร่างกายของหุ่นไล่กา
เป็นเหรียญเงินที่สลักคำว่า ‘ขาตั้งภาพ”
ถังเทียนจึงได้รู้ว่าภาพวาดนี้ ก็คือกลุ่มดาวขาตั้งภาพ
ถังเทียนกำเหรียญเงินไว้แน่นและถ่ายปราณแท้ลงไปในไม่ช้ารอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นในใบหน้าของเขา
“ลายมือเงิน” เป็นสมบัติชั้นเงินจากกลุ่มดาวขาตั้งภาพ
ถังเทียนลองถ่ายปราณแท้ลงไปในเหรียญเงิน ปราณแท้ทั้งหมดในตัวของเขาดูเหมือนจะควบคุมได้ง่ายมากมันช่วยให้เขาใช้ปราณแท้ของเขาในแนวที่เมื่อก่อนนี้เขาทำไม่ได้ เหรียญเงินนี้ดูเหมือนยังซ่อนมือที่มองไม่เห็นทำให้การควบคุมปราณแท้ไม่ถูกยับยั้งสะดุดลง มิน่าเล่าหุ่นไล่กาถึงได้ควบคุมใบมีดหญ้าที่มีความเปลี่ยนแปลงของปราณแท้ที่ซับซ้อนทั้งนี้เนื่องมาจากลายมือเงินนี่เอง
จุดอ่อนอย่างเดียวก็คือเหรียญเงินนี้จำเป็นต้องได้รับการถ่ายเทปราณแท้เข้ามาก่อนจึงจะใช้งานได้
ไม่มีข้อข้องใจการทำงานของลายมือเงิน แต่เนื่องจากการฝึกฝนธรรมดา มันจะไม่มีประโยชน์เนื่องจากจะทำให้คนพึ่งพามันมากเกินไป หลังจากงุนงงอยู่เป็นเวลาสั้นๆถังเทียนก็ถูกพลังของมันดึงดูดไปแล้ว
แต่ถังเทียนรีบเรียกความรู้สึกกลับมาอย่างรวดเร็วและตระหนักถึงอันตรายที่มาพร้อมกับลายมือเงิน
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าน้องชายก็เป็นนักสู้ระดับสวรรค์วิถีอีกด้วย ข้าขออภัยที่ไม่ได้ให้เกียรติเจ้าเท่าที่ควร!” ม่อเว่ยเทียนกล่าวขอโทษ
“ท่านเกรงใจมากไปแล้ว” ถังเทียนรีบถ่อมตัวกับคำชมของเขา
ม่อเว่ยเทียนรู้สึกคลายใจแกมประหลาดใจเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้พบนักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถี ยิ่งกว่านั้นถังเทียนยังอายุเยาว์อนาคตของเขาย่อมสดใสแน่นอน
ม่อเว่ยเทียนรู้สึกหงุดหงิดในใจอย่างหนึ่ง ตระกูลเก่าแก่ทางด้านจักรกลมีเงินทุนทรัพย์สินมหาศาล แต่ชื่อเสียงตกต่ำทำให้พวกเขาไม่สามารถดึงดูดนักสู้จากทำเนียบสวรรค์วิถีมาได้ ที่สำคัญ วิชาอาวุธจักรกลตระกูลม่อยังล้าหลังจากการเป็นตระกูลเก่าแก่ที่ได้รับยกย่อง แต่เมื่อเทียนกับสวรรค์วิถีทั้งหมดแล้ว พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้นักสู้ฝีมือดีจากที่นั่นเลย
เครื่องจักรกลเป็นวงการเล็กๆ
แต่เมื่อสามารถปกครองตระกูลม่อได้ ม่อเว่ยเทียนก็ไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนกัน อาวุธจักรกลวิญญาณคงสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดของวิชาจักรกลขึ้นมาได้แน่
การร่วมมือของปรมาจารย์วิศวกรจักรกลที่เต็มไปด้วยอัจฉริยภาพและนักสู้จากทำเนียบสวรรค์วิถีเป็นเรื่องที่น่ากลัว
เมื่อนึกถึงการต่อสู้ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ม่อเว่ยเทียนนึกอัศจรรย์ใจเมื่อเขาตระหนักว่าคนที่ดูเยาว์วัยนี้เริ่มเข้ามามีบทบาทเป็นผู้นำระหว่างขั้นตอนในการต่อสู้บ้างแล้ว
เซรีนไม่ได้ผลิตจิตวิญญาณพลังยุทธออกมามากนัก ดังนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งระหว่างตระกูลม่อกับนาง
ม่อเว่ยเทียนจ้องมองพลางไตร่ตรองหาวิธีส่งเสริมเซรีนและถังเทียน สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือเรื่องเงิน เนื่องจากตั้งแต่ก่อนจะสู้กับหุ่นไล่กา ม่อเว่ยเทียนรู้สึกว่าทั้งสองคนยังขาดแคลนเงิน แม้ว่าอิทธิพลตระกูลม่อจะยังอ่อนเนื่องจากลักษณะของตระกูลเก่าแก่ทางเรื่องจักรกล แต่พวกเขายังมีพลังที่น่ากลัว ซึ่งก็คือพวกเขามีเงิน
ตระกูลเก่าแก่ด้านจักรกลสามารถติดต่อแหล่งทรัพยากรได้มากมาย แม้ว่าพลังรบของอสูรจักรกลพวกเขายังจะอยู่ในระดับต่ำ แต่พวกเขายังมีความสามารถในการหาทรัพยากรเหมือนแร่ แม้ว่าตระกูลจะขายอาวุธจักรกล แต่พวกเขาก็มีรายได้เพิ่มอีกเล็กน้อยจากเหมืองแร่ เนื่องจากต้องใช้รักษาชื่อเสียงพวกเขาในสวรรค์วิถี ผลพวงจากการทำทรัพยากรเหมืองแร่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตระกูลเก่าแก่ทางด้านจักรกลยังมั่งคั่งอยู่ได้
ม่อเว่ยเทียนยิ่งยินดีจะให้การสนับสนุนเงินจำนวนมากแก่ถังเทียนและเซรีนเนื่องจากเขาสามารถเห็นศักยภาพมากมายที่พวกเขาทั้งสองคนมีอยู่
แต่, เราควรจะให้การสนับสนุนพวกเขาได้ยังไง?
ม่อเว่ยเทียนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างแม้ว่าเขาเพิ่งจะร่วมมือกับพวกเขาและได้บรรลุข้อตกลงลงกันไปแล้วชั่วขณะที่ผ่านไปก่อนหน้านั้น เขาล้มเหลวที่จะยื่นข้อเสนอเป็นเงินให้พวกเขา
ถ้าถังเทียนรู้สิ่งที่ม่อเว่ยเทียนกำลังคิด เขารีบวิ่งออกมาพร้อมกับอ้าแขนรับแน่นอน
โชคไม่ดีที่ถังเทียนไม่รู้
“ทำไมเจ้าผู้นี้ถึงได้ต้องการสู้กับเรา?” ถังเทียนชี้ไปที่ร่างไร้ชีวิตของหุ่นไล่กาและถามดู
ม่อเว่ยเทียนตอบอย่างไม่ลังเล “เพราะเป็นหนึ่งในสมาชิกสำนักเกราะโลหิต”
ม่อเว่ยเทียนอธิบายให้ถังเทียนทราบถึงรายละเอียดสำนักเกราะโลหิตและวัตถุประสงค์ของพวกเขา มิน่าเล่าม่อเว่ยเทียนตอนนี้ถึงได้เข้าข้างถังเทียนเต็มที่ ทั้งนี้เพราะสำนักเกราะโลหิตมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดรุนแรงมากกว่ากลุ่มของถังเทียนและนอกจากนี้ถังเทียนยังเป็นนักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถีอีกด้วย
การสูญเสียหุ่นไล่กานับเป็นความพ่ายแพ้ของสำนักเกราะโลหิตครั้งใหญ่และทางสำนักคงต้องหาทางแก้แค้นให้เขาแน่นอน เพราะทุกสำนักการสูญเสียนักสู้ในทำเนียบสวรรค์วิถีเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เสมอ
จากนั้นม่อเว่ยเทียนบอกข้อกังวลของเขา
ถังเทียนบอกเขาว่าเมื่อเขาส่งมอบทองอีกาให้เขาได้สำเร็จแล้ว ถังเทียนจะกลับไปยังเมืองสามวิญญาณจากนั้นเขาจะเดินทางต่อไปยังกลุ่มดาวกางเขนใต้เพื่อตามหาซ่างกวนเชียนฮุ่ย
ถังเทียนเชื่อว่าการเดินทางของพวกเขาคงไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะไปบรรจบกับสำนักเกราะโลหิตเป็นแน่
ถังเทียนเตือนม่อเว่ยเทียน “แล้วพวกเขาจะไม่ระบายความโกรธกับพวกท่านแทนกระมัง”
ม่อเว่ยเทียนหัวเราะลั่น “อย่าห่วง แม้ว่าตระกูลม่อจะไม่มีนักสู้สวรรค์วิถี แต่เราไม่ยอมถูกรังแกง่ายๆ แน่เว้นเสียแต่สำนักเกราะโลหิตยินดีจะทุ่มพลังทุกอย่างและสำนักของพวกเขาก็ยังขาดเงินทุนสนับสนุนอีกด้วย ดังนั้นถ้าพวกเขาสู้กับเรา เงินทุนของพวกเขาก็จะสูญเปล่า”
ถังเทียนรู้สึกอิจฉา
เมื่อได้ยินความรู้สึกห้าวหาญของม่อเว่ยเทียน ก็ยิ่งน่าประทับใจมากที่เขาสามารถใช้เงินสยบศัตรูมากกว่าจะฆ่ากันให้ตาย
เมื่อไหร่ข้าจะมั่งคั่งได้ถึงระดับนั้น? นัยน์ตาถังเทียนเป็นประกายรูปเงินเหรียญดาว
จากนั้นม่อเว่ยเทียนกล่าว “ขอเชิญมาพักที่บ้านของเราสักสองคืนเถอะ สถานการณ์ที่เกี่ยวพันกับจื่อหวีและม่อลิ่วเป็นความผิดของตระกูลม่อเอง ขอให้เราได้ทำอะไรชดเชยบ้างเถอะ”
ม่อเหล่งกล่าว“แม้ว่าตระกูลม่อเราจะมีเคล็ดลับที่ใช้สร้างอาวุธจักรกลของเรา แต่วิชาเหล่านั้นก็ยังไม่เท่าวิชาของแม่นางเซรีน แต่ถ้าแม่นางเซรีนสนใจ เจ้าสามารถชมดูชุดอาวุธจักรกลของเราได้”
ม่อเว่ยเทียนประหลาดใจ เนื่องจากม่อเหล่งไม่ค่อยพูด ซึ่งเป็นการกระทำที่แยบยลของม่อเหล่งอยู่แล้ว
เซรีนหลังจากได้ฟังข้อเสนอของม่อเหล่งก็ดีใจ นางค่อยๆ หันไปทางถังเทียนหวังว่าถังเทียนจะรับข้อเสนอของเขา
ถังเทียนยิ้ม “อย่างนั้นขออภัยที่ต้องรบกวน!”
“ไม่ต้องห่วง”ม่อเว่ยเทียนรีบตอบรับขณะที่เขามีหน้าเป็นประกายด้วยความสุข
“อย่างนั้นเรากลับกันเถอะ”
ถังเทียนแบกร่างหุ่นไล่กาใส่หลัง ขณะที่เขาเดินตรงไปที่ประตู เขาจ้องมองขณะที่สัญชาตญาณนักฆ่าของเขาถูกกระตุ้นเขาต้องการแสดงให้กลุ่มอาวุธพลังสายเลือดรู้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง