ตอนที่ 256 – ตอนที่ 237 ปิงเอ๋อ, อย่าร้องไห้
มีคำกล่าวไว้ว่า “ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจำแนกงานศิลปะ แต่คนธรรมดาเอาแต่สนุกกับดูการแสดง” คนทั่วไปจะไม่เข้าใจเคล็ดวิชาต่อสู้ที่เย่ว์ปิงใช้
แต่พวกเขาสามารถเห็นได้ชัด
พวกเขาสามารถเห็นได้ว่าเย่ว์ปิงหมุนตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยพลังหมุนตัวเตะทันทีทำให้พลังเตะเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้ง
ด้วยวิธีการหมุนตัวที่แยบยลของนาง ทำให้นางค่อยๆ สร้างแรงเหวี่ยงให้กับพลังเตะของนาง ดังนั้นพลังเตะของนางจึงทวีความรุนแรงขึ้นทุกครั้งที่เตะออก
นักรบธรรมดาเพลิดเพลินกับการแสดง เพราะเฟิงชิซาถูกไล่ต้อนจากลูกเตะจู่โจมต่อเนื่อง
มีเพียงไป๋หวินเฟย, องค์ชายสือจินและคนอื่นๆ ที่เข้าใจเคล็ดการต่อสู้ก็จะขมวดคิ้ว
ในสายตาพวกเขา เย่ว์ปิงยังใช้เคล็ดการต่อสู้ได้ไม่ถูกต้องนัก มันยังทื่อไปนิดและเรียบง่ายเกินไป เห็นได้ชัดว่านางยังทำท่าได้ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากยังเข้าใจเคล็ดการหมุนไม่ลึกซึ้งพอ นางเพียงแต่เลียนแบบโดยจับเอาเคล็ดไว้ได้ผิวเผิน พอมาถึงจุดนี้ พวกเขาก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เพราะพวกเขาวิเคราะห์ได้แล้ว ความแข็งแกร่งในด้านวิทยายุทธของเย่ว์ปิงไม่ได้มีอยู่แต่เดิม ความแข็งแกร่งของนางมาจากอสูรสายเสริมพลัง อย่างไรก็ตาม ความจริงนางไล่ต้อนเฟิงชิซาอย่างไม่ลดละด้วยทักษะวิทยายุทธ นี่คือเรื่องที่น่าแปลกจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ไป๋หวินเฟยและคนอื่นๆ กลับคิดถึงปัญหาอื่น
ขณะที่เย่ว์ปิงไม่สามารถจับเคล็ดสำคัญในการต่อสู้ได้ แล้วคนที่สอนวิทยายุทธให้นางอย่างคุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้อัจฉริยะจะรู้เคล็ดนี้ได้ดีขนาดไหน?
ถ้าเขาเข้าใจรูปแบบวิทยายุทธที่เพิ่มพลังให้เขาในแต่ละครั้งที่โจมตี จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาปลดปล่อยพลังนั้นออกมา? ถ้าคนที่กำลังสู้ตอนนี้ไม่ใช่เย่ว์ปิง แต่เป็นเย่ว์หยางพี่ชายนาง, และเฟิงชิซาจะทนได้นานขนาดนี้หรือไม่?
ไป๋หวินเฟย, เจ้าชายสือจิน, เหยียนพั่วจวิน, ทูตมังกรชังหลันวี่และคนอื่นๆ ทุกคนมองมาที่เย่ว์หยาง สายตาของพวกเขาแฝงด้วยความขัดแย้ง
ใครก็ตามที่ไม่ชอบคุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้นี้ที่ได้สมญาว่าเจ้าบอดตัวประหลาด ก็เพราะพวกเขาเป็นคนทั่วไปที่ไม่รู้อะไร
“……” เสวี่ยทันหลางไม่ได้มองดูเย่ว์หยาง แต่เขากลับสังเกตสีหน้าของไป๋หวินเฟยและคนอื่นๆ แทน
เขาไม่ได้พูดอะไร
ได้แต่ยิ้มอยู่เพียงมุมปาก
เกี่ยวกับพลังของเย่ว์หยาง เขาเข้าใจมากกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นสีหน้าของไป๋หวินเฟยและคนอื่นๆ เขารู้ว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับพลังของเย่ว์หยาง
บนเวทีต่อสู้
เย่ว์ปิงเตะเฟิงชิซาสิบเจ็ดครั้งต่อเนื่อง นางเตะใส่เขาจนกระทั่งมาถึงขอบเวที นางเกือบจะเตะเขาตกเวทีไปแล้ว
ถ้าเป็นคนอื่น เฟิงชิซาคงถูกเตะกระเด็นออกนอกเวทีไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เย่ว์ปิงจิตใจอ่อนโยน การแข่งขันนี้เป็นการแข่งคัดออกของพวกเขา และตระกูลเฟิงกับตระกูลเย่ว์ก็รักษาสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา ดังนั้น นางไม่เตะเท้าที่สิบแปดต่อ มันเป็นการเตะที่มีพลังมากที่สุด นางกลับตีลังกากลับมาอยู่ตรงกลางเวทีแทน และถามเฟิงชิซาที่ยังมึนๆ และเจ็บปวดอย่างกังวลว่า “ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”
นางกังวลว่านางจะเตะใส่หน้าของคู่ต่อสู้หนักเกินไป
เฟิงชิซารู้สึกไม่พอใจและขบขันในขณะเดียวกัน ถ้าเป็นคนอื่นทำอย่างนี้ เขาคงระเบิดอารมณ์โกรธไปแล้ว แต่คนที่ทำนี้เป็นเพียงสาวน้อยที่มีจิตใจอ่อนโยน
แม้ว่าเขาจะป้องกันตัวไว้อย่างดี แต่นางก็ยังทำให้เขาเจ็บได้ เฟิงชิซาไม่สามารถระบายความโกรธในใจได้ เขาจึงเอามือลูบหน้าแรงๆ พยายามบรรเทาความหงุดหงิดก่อนจะตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าเจ้ามีพลังมากแค่นี้ เจ้าก็ยังไม่สามารถเอาชนะข้าได้….เขี้ยวทอง!” เฟิงชิซาตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้ายและเลิกซ่อนฝีมือลับอีกต่อไป มิฉะนั้น เขาคงได้แพ้การแข่งนี้จริงๆ เขาอาบแสงสีทองและยื่นมือออกเรียกอสูรสายเสริมพลังชั้นทอง ระดับ 4 มาผสานเข้ากับร่างของเขา ทันใดนั้นหนามบนตัวเขาก็เปลี่ยนลักษณะไป เกราะสีดำเปลี่ยนเป็นสีทอง ผสมเข้าด้วยกันกลายเป็นสีทองเข้ม
“อสูรเกราะเหล็กชั้นทองหรือนั่น?” ไป๋หวินเฟยขมวดคิ้วเมื่อเขาเห็นเช่นนี้ เฟิงชิซานี้สามารถผสานร่างเข้ากับสัตว์อสูรร่างเกราะได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือนี่?
“ไม่, ข้าคิดว่าตระกูลเฟิงนำลูกสัตว์อสูรที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมากมาจากหอทงเทียนชั้นที่หก เฟิงชิซาไม่ได้ทำสัญญากับอสูรนี้นานนัก ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้อบรมบ่มเพาะให้มันเติบโตเต็มวัย เขายังไม่สามารถใช้ความสามารถได้เต็มรูปแบบในช่วงเวลาสั้นๆ ได้” เซี่ยเชียนเริ่นรายงานทุกอย่างเกี่ยวกับเฟิงชิซาให้ไป๋หวินเฟยฟัง อย่างไรก็ตาม เขายังเก็บความจริงที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับอสูรระดับทองไว้จากเขา
อสูรชั้นทองของเฟิงชิซามีทักษะพิเศษคือสลับ เป็นการสลับทักษะของคู่ต่อสู้กับเจ้านายมัน
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถสลับความสามารถของเขาได้และยังมีข้อจำกัดในการสลับ
ทักษะสลับนี้จะเป็นปัจจัยชี้ขาดระหว่างนักรบในระดับเดียวกัน เซี่ยเชียนเริ่นได้ยินความลับนี้มาจากเหยียนพั่วจวิน เพราะเขาเกือบพ่ายแพ้อย่างย่อยยับจากทักษะสลับของอสูรทองตัวนี้
เซี่ยเชียนเริ่นรู้ความลับเฟิงชิซา แต่เขาไม่เปิดเผยข้อมูลที่มีค่านี้ให้ไป๋หวินเฟยแน่นอน
เฟิงชิซาที่กำลังสู้อยู่บนเวที ไม่เพียงแต่เรียกอสูรทองออกมาเท่านั้น แต่เขายังเรียกแมมมอธยักษ์ อสูรทองแดงระดับ 5 ออกมาด้วย
แมมมอธยักษ์ถูกเรียกออกมาสู้กับนักรบพฤกษาของเย่ว์ปิง
มันอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้กับนักรบพฤกษาทั้งสอง แต่เนื่องจากมันมีลักษณะกายภาพที่ใหญ่และมีพลังแข็งแรง นักรบพฤกษาทั้งสองก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ในระยะเวลาสั้นๆได้ ขอเพียงเมื่อนักรบพฤกษาถูกล่อห่างออกไป ก็จะทำให้เฟิงชิซาสามารถสู้กับเย่ว์ปิงด้วยพลังของเขาทั้งหมดได้
“ดาบแรก – ทลายพสุธา!”
เฟิงชิซากระโดดขึ้นไปในอากาศ กระบี่กลืนปีศาจเปลี่ยนรูปพันสายทันที ทั้งหมดฟันใส่เย่ว์ปิง อย่างไรก็ตาม มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นของจริง
ผู้ชมทั้งหมดพากันตกใจ พวกเขาทุกคนรู้จักท่าทลายพสุธาของเฟิงชิซาดี
ทุกคนร้องออกมาอย่างตระหนกทันที
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวต่อมา ทำให้ผู้ชมแปลกใจจนตาแทบถลนจากเบ้า เมื่อดาบของเฟิงชิซาที่ฟันลงมา กลับกลายเป็นว่าคนที่ร่วงลงมาเป็นเฟิงชิซาเอง ในท่ามกลางดาบมายานับไม่ถ้วน เย่ว์ปิงกระโดดหลบการโจมตีอย่างง่ายดาย ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ตรงกันข้าม เฟิงชิซาผู้เริ่มโจมตีก่อนกลับเอามือปิดหน้าเหมือนกับอยู่ในความเจ็บปวด ไป๋หวินเฟยและองค์ชายสือจินประหลาดใจมาก พวกเขามองเห็นเย่ว์ปิงใช้วิธีที่อันตรายและกล้าหาญมากที่แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าทำเอง ในทันทีที่ดาบกลืนปีศาจฟันลงมา นางก็หมุนตัวหลบได้พอดี ขณะที่นางหมุนตัวได้เตะเข้าที่ปลายคางเฟิงชิซาที่กำลังฟันลงมาบวกกับแรงเตะสวนของเย่ว์ปิง หากเขาไม่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง เป็นคนอื่น ก็คงสลบจากแรงเตะนั้นไปแล้ว
“การโจมตีทางกายภาพจะไม่มีผลใดๆ กับสาวน้อยนางนี้” ไป๋หวินเฟยวิเคราะห์ได้ทันที ดวงตาเขาฉายแวววูบหนึ่ง “อย่างไรก็ตาม ยังคงมีอยู่ทางหนึ่งที่จะเอาชนะนางได้ ตราบใดที่เราใช้ตรงจุดนั้น ชัยชนะก็จะตกเป็นของเราอย่างง่ายดาย”
“จุดไหนกัน?” เซี่ยเชียนเริ่นชะงักค้างเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ถ้าเหยียนพั่วจวินสามารถแทนเฟิงชิซาได้ บางทีเขาคงชนะไปแล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?” ไป๋หวินเฟยหัวเราะ
เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและอวดดี
เซี่ยเชียนเริ่นมองเขาอยู่ดูถูก แต่ก็รีบก้มหน้าโดยเร็วและทำหัวสั่นอย่างเจียมตัว “เชียนเริ่นเขลา ยังไม่อาจเข้าใจได้ ข้าหวังว่าท่านประมุขน้อยจะยอมสอนสั่งข้า”
บนเวที เฟิงชิซาปล่อยพลังของเขา ดาบที่สองในเจ็ดดาบสังหาร “ผ่าธรณี”
อย่างไรก็ตามผลออกมาเหมือนเดิม เย่ว์ปิงหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดายและโจมตีโต้กลับไปในขณะเดียวกัน… ครั้งนี้เฟิงชิซาตื่นตัวไม่ถูกเย่ว์ปิงเตะใส่อีก เขาเอื้อมมือจะคว้าเท้าเย่ว์ปิงที่กำลังเตะมาทันที น่าเสียดายที่เขาคว้าพลาด
“เป็นไปไม่ได้ น้องเจ็ดไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น!” เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนไม่เชื่อว่าเย่ว์ปิงจะสามารถสู้ได้สูสีกับเฟิงชิซา
“ความจริง นี่ต้องเป็นความคิดของคุณชายสามแน่” เหยียนพั่วจวินสังเกตเย่ว์หยางมากขึ้น เขาตระหนักได้ว่าทุกครั้งที่เย่ว์ปิงรับการโจมตีของเฟิงชิซา สีหน้าของเย่ว์หยางจะเคร่งเครียดและตั้งใจมาก นี่แตกต่างจากความวิตกกังวล เขาเพ่งมองอย่างตั้งใจมาก เหมือนกับว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ลงไปต่อสู้เอง เหยียนพั่วจวินรู้สึกว่าคุณชายสามผู้ไม่ธรรมดานี้อาจจะมีกลวิธีลับที่ควบคุมร่างกายของเย่ว์ปิงที่กำลังต่อสู้อยู่บนเวที ช่วยให้น้องสาวของเขาโต้ตอบเฟิงชิซาได้… มิฉะนั้น มิฉะนั้นเย่ว์ปิงจะสามารถตอบโต้ท่าทลายพสุธาและผ่าธรณีของเฟิงชิซาได้อย่างไร ความเคลื่อนไหวเหล่านั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่กล้าเผชิญด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า พวกเขาเพียงแค่คิดว่าเย่ว์หยาง เพียงแต่กระซิบแนะนำเย่ว์ปิงถึงวิธีต่อสู้
พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อเย่ว์หยางและเย่ว์ปิงผ่านด่านวิหารคนคู่ พวกเขาได้ทักษะแฝงเร้นคนคู่มาด้วย ทำให้พวกเขาสามารถใช้วิธีสื่อสารทางจิตและแลกเปลี่ยนทัศนวิสัยกับกันและกันได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในวิหารเทพสตรี พวกเขายังได้ทักษะกระจกภายใน ตราบใดที่เย่ว์ปิงยังผ่อนคลายร่างกายได้ เขาก็สามารถควบคุมร่างกายนางได้ดี มีเพียงอย่างเดียวที่เย่ว์หยางไม่สามารถทำได้ก็คือใช้ใจของเขาควบคุมเย่ว์ปิงเพื่อใช้วิธีผสานจิต มิฉะนั้นเฟิงชิซาคงได้พบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากแน่
เย่ว์หยางไม่ได้ควบคุมเย่ว์ปิงตามปกติ เขาเพียงแต่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเฟิงชิซา
ตัวอย่างเช่น เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าอันตรายอย่างท่าดาบทลายพสุธาและดาบผ่าธรณี เย่ว์หยางจะช่วยให้เย่ว์ปิงหลบและตอบโต้กลับ อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาสู้กันตามปกติ เย่ว์หยางจะไม่ควบคุมเย่ว์ปิงเลย เขาไม่ได้ชี้แนะอะไรกับนาง แค่พยายามให้นางเรียนรู้จากประสบการณ์ต่อสู้ของนางเอง
ในที่สุด ดาบผ่าธรณีของเฟิงชิซาก็ใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะเป็นที่รู้จักกันดีถึงพลังของมัน แต่มันก็ยังไม่สามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่
เย่ว์หยางตื่นตัว
ถ้าเฟิงชิซาจับขาของเย่ว์ปิงได้ในตอนนี้ อย่างนั้นการต่อสู้ก็จะจบลงแน่
“สถานการณ์ค่อนข้างแย่ เฟิงชิซาคงคาดเดาจุดอ่อนของปิงเอ๋อได้แล้ว” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนที่นั่งอยู่ที่ชมส่วนบุคคลขมวดคิ้วขณะที่นางพูดกับเจ้าเมืองโล่วฮัว “พี่โล่วฮัว! ทำไมท่านไม่แนะนำเจ้าบ้านั่นสักหน่อยเล่า? ให้เขายอมรับความพ่ายแพ้แล้วพาปิงเอ๋อกลับมา ดูเหมือนปิงเอ๋อจะยังไม่ใช่คู่ต่อกรของเฟิงชิซาในตอนนี้ ถ้าพวกเขายังจะสู้กันต่อไป ก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อนางเลย”
“ปิงเอ๋อดื้อพอๆ กับพี่ชายนาง เราควรจับตาดูข้างๆ ไปก่อน ด้วยการสนับสนุนของเย่ว์หยางจากหลังเวที ชีวิตนางคงจะไม่ตกอยู่ในอันตราย” เจ้าเมืองโล่วฮัวส่ายศีรษะ
“คนจากตระกูลเย่ว์ช่างเรื่องมากจริงๆ!” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในฝีมือมาพอแล้ว แต่ว่าในตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ยอมแพ้เสียเถอะ!”
เย่ว์ปิงหันไปมองพี่ชายนาง
จากนั้นนางหันกลับมาที่เฟิงชิซาและส่ายหัวอย่างยืนกราน
ปากของเย่ว์หยางขยับเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้ขอให้เย่ว์ปิงยอมแพ้การแข่งขัน การต่อสู้ของนางตอนนี้ยังคงเป็นการพิสูจน์ผลของการฝึกฝนของนาง บางทีนางอาจประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับในภายหลัง แต่นี่คือการทดสอบความพากเพียรของนางไม่ใช่หรือ? เย่ว์หยางไม่แนะนำให้นางยอมแพ้ในการแข่งขัน และเขายังคงส่งสัญญาณให้เย่ว์หวี่และเย่คงไม่ต้องพูดอะไรกับเย่ว์ปิง เขาต้องการให้ทุกคนแค่ดูการต่อสู้อย่างเงียบๆ
เฟิงชิซาชักดาบของเขาออกมา ดาบกลืนปีศาจส่องประกายระยิบระยับ
ชั่วขณะหนึ่ง มันดูเหมือนกับดวงดาวในท้องฟ้ายามราตรีส่องแสงระยิบระยับ… นี่ไม่ใช่หนึ่งในท่าดาบเจ็ดสังหารที่มีชื่อเสียงของเขา มันเป็นวิทยายุทธของทหารรับจ้างเรียกว่า “ฟ้าประดับดาว” เป็นการต่อสู้ที่สวยงามที่ทหารรับจ้างมักเอามาใช้ในการแสดง ความจริง พลังต่อสู้ของมันมีขีดจำกัดมาก ประโยชน์ของมันก็คือปลดปล่อยประกายกระบี่เหมือนกับดวงดาวนับพันในท้องฟ้า นักรบทั่วไปดูแคลนวิชาดาบที่สวยงามนี้เหมือนกับว่ามันไม่สามารถใช้ฆ่าคนได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การใช้วิชาดาบนี้ก็เท่ากับหาที่ตาย
แน่นอนว่า ความแตกต่างของทักษะแบบนี้ เมื่อใช้ออกโดยเฟิงชิซา วิชาดาบนี้ก็ไม่อ่อนแอแล้ว
แม้ว่ามันไม่อาจเทียบได้กับวิชาเจ็ดดาบสังหาร แต่มันก็มีพลังมากกว่านักรบธรรมดาใช้ออกเป็นร้อยเท่า
ดาวที่งดงามนับพันดวงส่องเป็นประกายอยู่เต็มท้องฟ้า
ทันใดนั้น เย่ว์ปิงล้มลงกับพื้น ทำให้ผู้ชมพากันประหลาดใจ นี่มันวิชาอะไรถึงได้โค่นนางให้ล้มลงได้ เลือดไหลออกจากตัวเย่ว์ปิง…
“ข้าเข้าใจแล้ว พลังโจมตีและความเร็วในการโต้ตอบของนางอยู่ในระดับเยี่ยม แต่นางมีขีดจำกัดที่ร่างกายของนาง พลังป้องกันของนางคือจุดอ่อน” เซี่ยเชียนเริ่นตระหนักได้ทันที
“ไม่ใช่เพียงแค่นั้น การป้องกันตัวของนางดูง่าย มาก เจ้าไม่ต้องจู่โจมนางด้วยทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าก็ได้ ตราบใดที่เจ้าระดมโจมตีใส่นาง แม้แต่การโจมตีที่อ่อนด้อยที่สุดก็ยังฆ่านางได้ เฟิงชิซามีอาวุธ ขณะที่นางไม่มี ภายใต้ข้อจำกัดพื้นที่เวทีต่อสู้ การถูกเขาโจมตีใส่ทำให้นางไม่สามารถหลบได้ ตอนนี้ เฟิงชิซามองเห็นบางอย่างแล้ว แค่นี้ เขาก็สามารถทำร้ายนางได้โดยใช้ทักษะธรรมดาของทหารรับจ้างด้วยซ้ำ ในทางตรงกันข้าม วิชาเจ็ดดาบของเขากลับใช้กับนางไม่ได้ บางทีพี่ชายของนางเพียงแต่สอนให้นางรับมือกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ได้สอนนางถึงวิธีรับมือกับวิชาฝีมือที่อ่อนด้วย…ดังนั้น นางจึงไม่สามารถหลบวิชาต่อสู้ของทหารรับจ้างได้!” ไป๋หวินเฟยหัวเราะเบาๆ “แม่สาวน้อยคนนี้ไม่กลัววิทยายุทธที่จู่โจมแบบอาวุธเดี่ยว และนั่นก็คือจุดอ่อนของนาง นางถึงได้พ่ายแพ้เร็วปานนี้!”
“สมาชิกในทีมของเจ้าหมดสติไปแล้ว เจ้าอยากจะยอมแพ้การแข่งขันหรือไม่?” กรรมการอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เย่ว์ปิงยังห่างจากความตายนัก ดังนั้นเขาจึงยังไม่ประกาศให้นางพ่ายแพ้ แต่นางหมดสติแน่นอนและเสียเลือดจากอาการบาดเจ็บ ตามกฎการแข่งขัน การตัดสินใจยอมแพ้การแข่งขันจะต้องให้สมาชิกในทีมเป็นผู้ตัดสินใจ มิฉะนั้น เฟิงชิซาก็แค่เตะนางออกจากเวทีต่อสู้และคว้าชัยชนะไปเลย
“ไม่ นางยังยืนได้อยู่” เย่ว์หยางห้ามเจ้าอ้วนไห่ที่ต้องการยอมแพ้การแข่งขัน สายตาของเขาแน่วแน่ขณะโบกมือ
“……” กรรมการพูดไม่ออก
นางถูกทำร้ายถึงขนาดนี้ พวกเขายังต้องการให้สู้ต่อไปหรือนี่?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันกลับมา เขาก็ตระหนักว่าเย่ว์ปิงที่มีเลือดท่วมตัวรวบรวมกำลังกลับขึ้นมายืนได้อีก เลือดยังไหลออกจากแขน, ไหล่, ต้นขาและขาจากพลังดาบที่นางได้รับในตอนนี้ เลือดย้อมชุดสีดำของนางและหยดจากปลายนิ้วมือของนางลงบนพื้นเวที
แม้ว่านางจะเจ็บปวดหนักจนร่างกายสั่นเทิ้ม แต่สายตาเย่ว์ปิงก็ยังแน่วแน่เหมือนเดิม
เย่ว์หยางทำสัญญาณมือ เย่ว์ปิงวิ่งเข้าไปหานักรบพฤกษาของนางทันทีและกระโจนขึ้นไปนั่งอยู่บนไหล่ของนักรบพฤกษา ภายใต้การปกป้องของนักรบพฤกษา นางยังฝืนตนเองและรวบรวมพลังโจมตีอีกครั้ง
เฟิงชิซาพอเห็นจุดอ่อนของเย่ว์ปิงแล้วเขาไม่มีความปราณีอีกต่อไป
เขาระเบิดปราณปีศาจออกมาจากตัว เปลวเพลิงดำปกคลุมดาบกลืนปีศาจปล่อยประกายสว่างออกมาเป็นร้อยเท่า
เฟิงชิซายอมสละพลังโจมตีของเขาเพื่อจะได้ปล่อยพลังโจมตีได้หลายครั้ง…ดาบของเขาเปล่งประกายเหมือนกับมีเป็นพันเล่ม พลังไฟระเบิดออกมาจากดาบของเขา ทำให้เวทีทั้งหมดมีเปลวไฟสีดำลุกท่วม
คลื่นกระแทกจากดาบของเฟิงชิซายังอ่อนกว่าธรรมดา แต่ร่างของเย่ว์ปิง ไม่สามารถทนต่อการโจมตีจากพื้นได้ เมื่อเฟิงชิซาฟันดาบออกไปสิบครั้ง ปรากฏเป็นคลื่นกระแทกออกมาจากดาบของเขา เย่ว์ปิงแม้จะไม่ถูกคลื่นพลังดาบโจมตีถูกและยังได้นักรบพฤกษาปกป้องไว้ ก็ยังล้มลงไปจากพลังฟันครั้งที่สอง
นางยังคงดิ้นรน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเสียเลือดมาก นางไม่มีแรงจะยกแขนขา นางต้องการคลานออกไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
ปากของเฟิงชิซาขยับเล็กน้อย เหมือนกับว่าเขาต้องการบอกให้นางยอมแพ้การแข่งขัน อย่างไรก็ตาม พอเห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวขณะที่นางดิ้นรนรวบรวมพลัง เขารั้งดาบกลับและรออย่างเงียบๆ
“ปิงเอ๋อ, เจ้าสู้มาพอแล้ว, ยอมแพ้เสียเถอะ!” เย่ว์หยางไม่สามารถทนดูต่อไปได้ เขารู้ว่าเย่ว์ปิงมีจิตใจอ่อนโยน ดังนั้นนางจึงไม่ใช้ทักษะพิษร้ายกับเฟิงชิซา มิฉะนั้นเฟิงชิซาอาจล้มลงไปนานแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่า แค่นี้ก็ดีมากสำหรับนางผู้ไม่คุ้นเคยกับการใช้วิทยายุทธสามารถต่อสู้กับเฟิงชิซามาได้ถึงขนาดนี้ นางทำได้เกินกว่าที่เขาคาดหวังไว้เสียอีก
“ไม่, พี่สาม ข้าสัญญากับท่านไว้ว่า ข้าจะทำอย่างดีที่สุด ข้ายังสามารถสู้ได้…” เย่ว์ปิงเกลียดตัวเองที่แก้ไขอะไรไม่ได้ เมื่อนางได้ยินพี่ชายนางบอกนางให้ยอมแพ้การแข่งขัน นางรู้สึกเหมือนว่านางอยากร้องไห้ อย่างไรก็ตาม นางมีนิสัยดื้อรั้น ดังนั้น นางกัดฟันและไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมาขณะที่ฝืนใจยืนขึ้น
ชุดดำของนางชุ่มไปด้วยเลือด ตลอดทั้งตัวนางสั่นด้วยความเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม นางยังคงตั้งใจยืนและตั้งท่าเตรียมต่อสู้
เฟิงชิซาต้องการกวัดแกว่งดาบจู่โจม แต่เขาลังเลใจและยกเลิกที่จะทำอย่างนั้น ในที่สุดเขาผ่อนมือที่กำด้ามดาบแน่น “เย่ว์ปิง, ถ้าเจ้าไม่สามารถรับท่าสุดท้ายของข้าได้ ยอมแพ้เสียดีกว่า”
“”ไม่, ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้, นี่คือทางแก้ของข้า ข้าจะไม่ทำให้พี่สามผิดหวัง…” หน้าที่ซีดขาวของเย่ว์ปิงแสดงออกถึงความมุ่งมั่น ร่างของนาองเริ่มเซ ขณะที่นางคุกเข่าและร่างของนางกลายเป็นอ่อนล้า ตาของนางปรากฏแววของคนหมดสติ แต่มือของนางยังปล่อยรังสีสู้รบออกมา
ทันใดนั้น อักษรรูนประหลาดปรากฏออกมาจากไหล่ของนางฉีกผ้าของนางจนขาด อักษรรูนโบราณสีทองเข้มเลือนลางปรากฏอยู่บนแขนของนาง
ดูเหมือนอักษรรูนโบราณนั้นค่อยๆ หมุนเป็นวงแหวนแล้วก่อตัวเป็นรูปวงจักรล้างโลกอยู่บนมือของนาง
เมื่อวงจักรล้างโลกอักษรรูนปรากฎอย่างนี้ ไป๋หวินเฟย, องค์ชายสือจินและเหยียนพั่วจวินทั้งหมดต่างตกตะลึงสุดขีด แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักว่าอักษรรูนนี้คืออะไร แต่ในฐานะนักสู้ผู้แข็งแกร่ง สัญชาตญาณของพวกเขาบอกพวกเขาว่านี่คือสิ่งที่น่ากลัวมาก มันมีพลังอำนาจทำลายล้างเหนือสิ่งอื่นใด
ทำลายล้างทุกอย่างที่มันสัมผัสได้
เฟิงชิซาตื่นตัวอย่างหนักจนเหงื่อผุดออกจากหน้าผาก
พอเผชิญหน้ากับวงแหวนอักษรรูนนี้ เขารู้สึกถึงความน่ากลัวอย่างหนึ่ง เหมือนกับว่าเขากำลังจะถูกศัตรูทำลาย
ถ้าเย่ว์ปิงปล่อยพลังของวงเวทอักษรรูนออกมาจริงๆ อย่าว่าแต่มันสามารถฆ่าได้ทันทีเลย เขาเกรงว่าทั้งร่างของเขาก็คงจะพินาศกลายเป็นเถ้าถ่าน
ตาของเย่ว์ปิงเหมือนกับคนไร้ชีวิตไปแล้ว นางเกือบจะหมดสติ
นางมีแต่เพียงจิตสำนึกที่เหลืออยู่ ยืนกรานแน่วแน่ว่าต้องการต่อสู้
ร่างของนางค่อยๆ ล้มลง
ในที่สุด วงจักรล้างโลกในมือนางก็ไม่ได้ถูกปล่อยออกไป และนั่นเป็นเพราะเย่ว์หยางพยายามปลอบนางให้สงบทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ พอเห็นทักษะทำลายล้างอย่างวงจักรล้างโลก เย่ว์หยางเองก็ตกใจสุดขีด เขารีบพยายามปลอบใจนางให้สงบโดยสื่อสารทางจิต ช่วยให้เย่ว์ปิงผ่อนคลาย วงจักรล้างโลกไม่ใช่สิ่งที่เย่ว์ปิงจะควบคุมได้ในตอนนี้ มันเป็นทักษะที่น่ากลัวอย่างมาก สามารถทำลายล้างศัตรูของนางได้ แต่ก็ทำลายร่างกายของนางด้วยเช่นกัน
เย่ว์หยางกระโดดขึ้นไปบนเวทีและอุ้มร่างที่อ่อนแรงของเย่ว์ปิงไว้ ตะโกนบอกกรรมการผู้ยืนหลั่งเหงื่อยะเยียบด้วยความกลัวว่า “เรายอมแพ้!”
“พี่สาม! ข้าขอโทษ..” เย่ว์ปิงพึมพำทั้งที่ยังหมดสติอยู่ในอ้อมกอดเย่ว์หยาง สีหน้านางซีดเผือดเนื่องจากเสียเลือดมากทำให้เย่ว์หยางรู้สึกเสียใจกับนาง
มันเป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่นางจะหมดสติ เย่ว์ปิงควบคุมตนเองไม่ได้ต่อไป ได้แต่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกจากหางตาของนาง
เย่ว์หยางกอดน้องสาวไว้และเช็ดน้ำตานางอย่างนุ่มนวล กระซิบอย่างอ่อนโยนว่า “ปิงเอ๋อ, อย่าร้องไห้ เจ้าทำได้ดีแล้ว ข้ารู้แล้วว่าเจ้าทำอย่างดีที่สุด พอแค่นี้แหละ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ไม่เป็นไร!”
วงจักรล้างโลกอักษรรูนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกลับเข้าไปอยู่ในตัวเย่ว์ปิง
ไป๋หวินเฟยและคนอื่นๆ กลัวแทบตาย อย่างไรก็ตาม นักรบธรรมดาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขากระซิบกันอย่างสับสนงุนงง “เกิดอะไรขึ้นเหรอ? เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?”
**************