ทาสแห่งเงา บทที่ 38 คำถามในความมืด
ซันนี่หลีกเลี่ยงการนอนหลับ ชั่วครู่หนึ่ง เขานั่งเงียบๆ ในความมืด ฟังเสียงคลื่นที่สงบนิ่ง ในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่หาได้ยากนี้ ความทรงจำในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาได้ไหลเข้ามาในความคิดของเขา อย่างไรก็ตาม เขาเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรจริงจัง เขารู้สึกอบอุ่น อิ่ม และค่อนข้างปลอดภัย สำหรับตอนนี้นั่นก็มากเกินพอแล้ว
ในไม่ช้า จังหวะการหายใจของแคสเซียก็เปลี่ยนไป บ่งบอกว่านางหลับไป เนฟฟีสเฝ้ายามอยู่นิ่งๆ และอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ด้วยผมสีเงินและผิวขาวของนางทำให้นางดูเหมือนรูปปั้นเศวตศิลา
ซันนี่ถอนหายใจ เขาพยายามอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างเงียบๆ ว่า
"เฮ้ ฉันขอถามอะไรเธอหน่อยได้ไหม?"
เนฟฟีสเหลือบมองเขาแล้วยักไหล่ การไม่มีเสียงตอบรับบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่านางจำความสามารถในการมองเห็นในที่มืดของเขาได้
"แน่นอน"
'มันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปไหม? '
ซันนี่ลังเล
"ฉันคิดว่าผู้รับมรดกเข้ามาในมนตร์ด้วยคลังแสงของอุปกรณ์ที่ได้รับมาทั้งหมด ฉันหมายถึง นั่นควรจะเป็นข้อได้เปรียบหลักของเธอ ทำไมเธอถึงมีแค่สามชิ้นเท่านั้น?"
เนฟฟีสเงียบไปครู่หนึ่ง
"ที่จริงแล้วฉัน มีเแค่สองชิ้น เชือกนั้นมาจากแคสเซีย"
เขาเลิกคิ้วขึ้น
"โอ ฉันเข้าใจแล้ว"
เมื่อตระหนักได้ว่าคำตอบของเธอไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง เนฟฟีสคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเสริมว่า
"เราสูญเสียอุปกรณ์ไปเกือบทั้งหมดเมื่อพ่อของฉันเสียชีวิต ส่วนที่เหลือถูกขายไปทีละชิ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อรักษาตระกูลเอาไว้ ดาบและชุดเกราะนี้ได้มาจากฝันร้ายแรกของฉัน"
นั่นคือสิ่งที่เป็น ซันนี่ตระหนักได้ว่าการล่มสลายของตระกูลเพลิงอมตะอาจรุนแรงกว่าที่เขาคิดไว้ ถึงกระนั้น บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่สมเหตุสมผล
"แน่นอน ด้วยชื่อเสียงเธอและสถานะของตระกูล ย่อมต้องมีวิธีอื่นในการหาเงิน"
เนฟฟีสกล่าวเพียงว่า
"มีเหตุผลอื่น"
จากนั้น นางก็หันหน้ามาทางเขาโดยไม่คาดคิด
"ฉันขอถามคำถามนายกลับได้ไหม"
ซันนี่กลืนน้ำลาย
"ได้ เอาเลย"
เนฟฟีสเอียงศีรษะ
"นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นผู้รับมรดก?"
'อะไรนะ? เรื่องนั้น?'
"ง่ายๆ ฉันได้ยินคาสเตอร์พูดถึงเรื่องนี้ เขาดุผู้หลับไหลคนอื่นเพื่อให้พวกเขาปฏิบัติต่อเธอด้วยความเคารพ"
นางพยักหน้าให้เขาแล้วหันไป มีความคิดอะไรบางอบ่างซ่อนอยู่หลังดวงตาสีเทาอันสงบนิ่งของนาง ซันนี่ไม่รู้
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะรวบรวมความกล้าพอที่จะถามคำถามที่เขาต้องการจะถามอย่างแท้จริง แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้น เขาต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าแคชเซียหลับสนิทแล้ว และลดเสียงลง
"ฉันขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหม?"
เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองในเชิงลบ เขาพูดต่อ
"ทำไมเธอถึงยอมให้แคชเซียเป็นภาระ?"
มุมปากของดาราผันแปรโค้งขึ้นเล็กน้อย
"ทำไม? ถ้าเป็นนายจะไม่ทำเหรอ?"
ซันนี่กัดฟัน รู้สึกว่าข้อบกพร่องผลักคำตอบที่เป็นความจริงออกจากปากของเขา
"ไม่"
พูดตามตรง เขาอยากจะเชื่อจนวินาทีสุดท้ายว่าคำตอบคือ "ทำ" แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสูญเสียไปหลังจากฝันร้ายคือความสามารถในการโกหกตัวเอง ความจริงนั้นไร้ความปรานี
ไม่ใช่ว่าซันนี่ไม่สงสารเด็กสาวตาบอดหรือไม่อยากช่วยนาง เพียงแค่เขารู้อย่างมั่นใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทำได้ เขาแทบจะไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการแบกคนไร้หนทางข้ามดินแดนแห่งความฝัน ถ้าเขาพยายาม พวกเขาคงตายพร้อมกัน
ถึงกระนั้น เขาก็อดที่จะผิดหวังในตัวเองไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เนฟฟีสดูเหมือนจะไม่ตัดสินเขา นางไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็พูดว่า
"เพราะฉันอยากทำ”
'เพราะเธออยากทำงั้นเหรอ?'
นั่นไม่ใช่คำตอบที่ซันนี่คาดว่าจะได้ยิน เขาค่อนข้างแน่ใจว่านางจะสอนเขาเกี่ยวกับคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจ หรือเปิดเผยวิธีที่คลุมเครือเพื่อทำให้ความสามารถที่ดูเหมือนอ่อนแอของแคชเซียมีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ทว่า นางทำไม่ได้ทำเช่นนั้น เนฟฟีสคาดหวังให้เขาเชื่อว่านางกำลังทำให้ชีวิตนางตกอยู่ในอันตราย ถึงขั้นสังเวยอุปกรณ์ประเภทชุดเกราะที่ตื่นแล้ว เพราะนั่นเป็นสิ่งที่นางต้องการจะทำ
'ไร้สาระ!'
ในตอนแรก เขาปฏิเสธคำตอบนางว่าไม่ใช่คำตอบ แต่ยิ่งคิดก็เขายิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ
เพราะบางทีมันอาจจะเป็นความจริง
เนื่องจากสถานการณ์ในชีวิตของเขา ซันนี่ไม่เคยทำสิ่งต่างๆ เพราะเขาอยากทำส่วนใหญ่แล้ว เขาทำเพราะเขาจำเป็น ไม่เคยมีคำถามว่า "อยากทำ" แต่มักจะเป็นคำถามที่ว่า "ต้องทำ" สำหรับเขา นี่เป็นกฎพื้นฐานของชีวิต
แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ? หรือเป็นเพียงเรื่องของมุมมอง? เนฟฟีสมีข้อได้เปรียบบางอย่างในการเลี้ยงดูของเธอ แต่ก็ไม่ได้มากมายเท่าที่เขาจินตนาการไว้ เธอไม่มีทรัพย์สมบัติและไม่มีวัตถุโบราณที่จะเสริมพลังให้กับเธอ อย่างไรก็ตาม เธอมีความคิดที่แตกต่างจากซันนี่
ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีความกล้าในการเพิกเฉยต่อความต้องการในสิ่งที่ไม่สำคัญเท่าความปรารถนา และทำในสิ่งที่คนธรรมดาอย่างซันนี่ไม่เคยทำ
เช่นเดียวกับการช่วยเด็กสาวตาบอดเพียงเพราะนั่นคือสิ่งที่เนฟฟีสต้องการที่จะทำ
บางที ความคิดนั้นอาจเป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทั้งหมด
หรือบางที นั่นอาจเป็นอุปสรรคที่แท้จริงในการแยกผู้รับมรดกออกจากส่วนที่เหลือ
นั่นเป็นเรื่องที่ต้องคิดอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ซันนี่จะรวบรวมความคิดได้ เนฟฟีสก็พลันพูดขึ้นอีกครั้ง
"ถึงตาฉันแล้ว"
'เอ่อ… เธอหมายความว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องถามคำถามแล้วงั้นเหรอ?'
แท้จริงแล้ว นั่นคือสิ่งที่นางหมายถึง ดาราผันแปรหันไปหาซันนี่อีกครั้ง และหลังจากหยุดไปนาน ทันใดนั้นก็ถามว่า
"นายคุณรู้จักตำนานของโอดิสซีอุสไหม?"
'อะ อะไรนะ ใคร? นี่มันคำถามแปลกๆ อะไรเนี่ย!'
ซันนี่ส่ายหน้าด้วยความงุนงง จากนั้น เขาก็จำได้ว่านางมองไม่เห็นเขา เขาจึงพูดว่า
"ไม่"
เนฟฟีสถอนหายใจแล้วหันไป สองสามอึดใจต่อมา นางก็พูดออกมาเบาๆ
"โอดิสซีอุส เป็นวีรบุรุษในสงครามโบราณในตำนาน มนุษย์บางคนในตอนนั้นมีพลังอำนาจคล้ายกับผู้ตื่น อะคีลลีส ที่มีความสามารถเฉพาะของร่างกายที่ทำลายไม่ได้ ไดโอมีดีสที่ดุร้ายขนาดที่เทพเจ้าแห่งสงครามยังระวังเขา อาแจ็กซ์ผู้แข็งแกร่งราวกับยักษ์ แต่โอดิสซีอุสไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและไม่ใช่ผู้ที่กล้าหาญที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ที่สุด"
ซันนี่กระพริบตา จ้องไปที่เด็กสาวผมสีเงิน
'อะไร? เรื่องนี่มาจากไหน? ทำไมจู่ๆเธอก็พูดเก่งขึ้นมาได้? '
ในขณะเดียวกัน เนฟฟีสกล่าวต่อว่า
"ในที่สุดด้วยความเจ้าเล่ห์ของโอดิสซีอุสก็สามารถยุติสงครามลงได้ และเขาเตรียมที่จะแล่นเรือกลับบ้าน แต่ทว่า เหล่าทวยเทพได้สาปให้เขาท่องไปในท้องทะเลอย่างไม่รู้จบและจะไม่มีวันหวนกลับมาอีก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขารอดชีวิตจากเหตุการณ์สยองขวัญครั้งแล้วครั้งเล่าและสูญเสียพวกพ้องทั้งหมดไป จากนั้นเมื่อเรืออับปาง เขาก็พบว่าตัวเองอยู่บนเกาะที่มีนางฟ้าแสนสวยคาลิปโซ่อาศัยอยู่"
เสียงที่ไร้ตัวตนและโหยหาอย่างแปลกประหลาดของดาราผันแปรดังก้องอยู่ในความมืด สร้างบรรยากาศที่น่าหลงใหล ซันนี่อดไม่ได้ที่จะฟังอย่างตั้งใจ
"คาลิปโซ่ตกหลุมรักโอดิสซีอุส และเชิญเขาไปที่วังของนาง เป็นเวลาหลายปีที่พวกเขาอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง เกาะนี้เป็นเหมือนสรวงสวรรค์ เปี่ยมไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ทุกประเภท อาหารรสเลิศและความสุข ตราบใดที่คาลิปโซ่ผู้เป็นที่รักอยู่เคียงข้างเขาโอดิสซีอุสก็จะเป็นอมตะ แต่ยิ่งเขาอยู่นาน เขาก็ยิ่งใช้เวลานั่งมองทะเลด้วยสายตาที่หม่นหมองมากขึ้น"
เนฟฟีสยิ้ม
"ในท้ายที่สุดโอดิสซีอุส ก็ได้สร้างเรือชั่วคราวและละทิ้งเกาะ ทิ้งความสุขทั้งหมด รวมถึงนางฟ้าแสนสวย และแม้กระทั่งความเป็นอมตะของเขาไว้เบื้องหลัง ดังนั้นคำถามของฉันคือ… ทำไมเขาถึงจากไป"
ซันนี่กระพริบตา
'อะไรนะ?'
นี่มันเกมบ้าอะไรเนี่ย? เขาคิดด้วยซ้ำว่าเนฟฟีสกำลังเยาะเย้ยเขา แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะสนใจคำตอบอย่างจริงใจ
'ประหลาด!'
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่มั่นใจนัก
"อาจเป็นเพราะเขาอยู่ไกลบ้านหรือเปล่า?"
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเนฟฟีสชั่วขณะ
"ห่างไกล… จากบ้าน หืม ถูกต้อง"
หลังจากนั้น นางหันหน้าหนีและก้มศีรษะลงราวกับรูปปั้นอีกครั้ง
ดูเหมือนบทสนทนาของพวกเขาจะจบลงแล้ว
ซันนี่นอนลงและพยายามจะหลับ อย่างไรก็ตาม ภาพของโอดิสซีอุสที่มีแววตาอันเยือกเย็นยังคงปรากฏขึ้นในใจของเขา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กระซิบว่า
"อืม? เขากลับถึงบ้านแล้วหรือยัง?"
อีกไม่นาน เนฟฟีสก็ตอบกลับ
"ใช่ เขากลับไปหาภรรยาและลูกชายของเขา และพวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป"
ซันนี่ยิ้มอย่างพอใจแล้วพลิกตัวนอนตะแคง
เมื่อเขาครึ่งหลับครึ่งตื่น เขาก็ได้ยินเสียงของดาราผันแปรอีกครั้ง คราวนี้ แทบจะไม่ได้ยินและไร้จุดหมาย ราวกับว่าไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ใครเลย
"โอดิสสิอุสเป็นมนุษย์คนแรกที่ทำลายเจตจำนงของเทพเจ้า"
***
ตอนเช้า ซันนี่และเนฟฟีสเป็นคนแรกที่ตื่น ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นและทะเลกำลังลับขอบฟ้า พวกเขาก่อกองไฟและเริ่มเตรียมอาหารเช้าแบบง่ายๆ
ขณะที่แคสเซียยังหลับอยู่ พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันมากนัก เหมือนกับว่าบทสนทนาเมื่อคืนนี้ไม่ได้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ลงเอยด้วยการพูดคุยถึงแผนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เนฟฟีสมีความคิดบางอย่าง
"จากสิ่งที่นายบอกเราเกี่ยวกับพวกสัตว์กินซากที่เบียดเสียดกันไปทางทิศตะวันตก ขั้นตอนที่เหมาะสมคือเริ่มเคลื่อนไปทางทิศตะวันออกโดยเร็วที่สุด แน่นอนว่าทิศเหนือและใต้ก็เป็นที่ยอมรับได้เช่นกัน แต่นั่นจะไม่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเรากับศัตรูมากนัก"
ซันนี่พยักหน้า เห็นด้วยกับเหตุผลนั้น
"เราได้สำรวจไปทางทิศตะวันออกเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้ถึงจุดสูงสุดถัดไปอย่างมั่นใจในหนึ่งวัน นั่นเป็นเหตุผลที่แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในวันนี้คือการสำรวจเส้นทางไปยังหน้าผากลุ่มนั้นและย้ายค่ายในวันพรุ่งนี้"
เขาถอนหายใจ
"เธอรู้ไหมว่าเราอยู่ที่ไหน? จะมีป้อมปราการของมนุษย์ทางทิศตะวันออกหรือไม่?"
เนฟฟีสส่ายหน้า
"ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีภูมิภาคใดที่เหมาะกับลักษณะของสถานที่นี้ ไม่ว่าในกรณีใด เราต้องย้ายเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เราอาจพบป้อมปราการ พบทางเชื่อมมิติที่ไม่ถูกพิชิต… หรือไม่ก็ตาย ตะวันออกเป็นทิศทางที่ดี นอกจากกนี้ยังปลอดภัยที่สุด เพราะฝูงสัตว์อสูรอยู่ทางทิศตะวันตก"
ณ จุดนั้น แคชเซียนั่งตัวตรงทันที ดวงตาของนางเบิกกว้าง ใบหน้าของนางซีดลงเล็กน้อย นางดูกระวนกระวายและตื่นเต้น
เนฟฟีสขมวดคิ้ว
"แคสเซีย? เกิดอะไรขึ้น?"
เด็กสาวตาบอดหันเข้าหาพวกเขาแล้วยิ้ม
"เอ… นิมิต! ฉันเห็นนิมิต!"
'เหมือน ความฝันเชิงทำนายงั้นเหรอ?' ซันนี่คิด พยายามทำใจกับความเป็นจริงใหม่ของคนที่สามารถมองเห็นอนาคตหรืออดีตที่ผ่านมาได้
ในขณะเดียวกัน ดาราผันแปรยื่นมือออกมา ราวกับว่าเตรียมพร้อมที่จะเรียกดาบของนาง
"เราตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?"
แคสซี่ส่ายหน้าอย่างกระตือรือร้น
"ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น! ผู้คน… ฉันเห็นปราสาทที่เต็มไปด้วยผู้คน!"
นางยิ้มพร้อมกับชี้นิ้ว
"ฉันไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน แต่ฉันมั่นใจว่าอยู่ทางนั้น!"
ซันนี่และเนฟฟีสมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือตกใจมากกว่ากัน
นิ้วเล็กบอบบางของแคชเซียชี้ไปทางทิศตะวันตกอย่างมั่นใจ