ตอนที่ 9-8 เซียนกระบี่อัจฉริยะ
เพียงท่าเดียวลินลี่ย์ก็เอาชนะยอดฝีมือระดับเซียนซึ่งเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม นอกจากนี้ร่างแปลงของลินลี่ย์ในตอนนี้อยู่ในร่างที่น่ากลัวสร้างความตกใจให้ทุกคนในที่นั้น ไม่มีใครในผู้ชมแปดหมื่นคนกล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
เงียบเป็นป่าช้า เงียบจนน่ากลัว!
บลูเมอร์จ้องมองลินลี่ย์ที่โฉบอยู่ในกลางอากาศอย่างหวาดกลัวในขณะนี้ดวงตาสีทองเข้มเย็นชาอำมหิตจับจ้องอยู่ที่เขา บลูเมอร์รู้สึกเหมือนกับว่าเขาสามารถตายได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวนี้ทำให้เขาต้องวิ่งเข้าไปใกล้เฮนด์เซนเซียนดาบจ้าวภูผา
เงียบไม่มีใครกล้าพูด
“แผละ!” เลือดสีแดงสว่างหยดลงจากปลายกระบี่เลือดม่วงลงพื้นแตกกระเซ็น ในท่ามกลางความเงียบเสียงกลับได้ยินชัด
นี่คือเลือดของเคนยอน
เคนยอนยังคงยืนอยู่ที่ขอบเวทีประลองอยู่ในสภาพทุลักทุเลเขาควบคุมกล้ามเนื้อและปราณยุทธรักษาบาดแผลและห้ามเลือดตนเอง แต่เขาไม่กล้าสู้กับลินลี่ย์อีก
เขาเป็นนักสู้ระดับเซียนก็จริงแต่เป็นเพียงเซียนระดับกลาง เปรียบเทียบในแง่การรู้แจ้งระดับของความรู้ยังต่ำกว่าลินลี่ย์มาก
“อาจารย์ลินลี่ย์” ในที่สุดโจฮันน์ก็พูด เสียงของเขาดังก้องไปทั่วสนามประลองซึ่งดูเหมือนจู่ๆก็ดังขึ้นมาทำให้ผู้ชมมากกว่าครึ่งหันไปทางเขา หน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จักรพรรดิโจฮันน์ตรัสต่อ “แม้ว่าข้ารู้ว่าท่านเป็นนักรบผู้ทรงพลัง แต่ข้าไม่ทราบเลยว่าพรสวรรค์ของท่านในเวทีนี้จะมิด้อยไปกว่าพรสวรรค์ในการสลักหินของท่านเลย”
คำพูดของจักรพรรดิโจฮันน์เปลื้องความตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
เพียงเท่านั้นพฤติกรรมที่ร้ายกาจทำให้ผู้ชมแปดหมื่นคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง แต่ทันทีที่จักรพรรดิตรัสจบทั่วทั้งสนามชมการต่อสู้ก็เต็มไปด้วยเสียงสนทนาอื้ออึง
“อาจารย์ลินลี่ย์? อา!หรือว่าเป็นประติมากรปรมาจารย์ที่อายุเยาว์ที่สุดผู้นั้น?”
“อาจารย์ลินลี่ย์เป็นคนของสหภาพศักดิ์สิทธิ์ข้าได้ยินว่าเคานท์วอร์ตันเดิมทีก็มาจากสหภาพศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน นักรบเลือดมังกรช่างน่ากลัวแท้ๆ!”
“อาจารย์ลินลี่ย์ยังอายุเยาว์มาก!เมื่อตอนอายุสิบหกปี เขาสร้างผลงาน ‘ตื่นจากฝัน’ และจากนั้นเพิ่งจะผ่านมาเพียงสิบเอ็ดปี อย่างนั้นก็เป็นนักสู้ระดับเซียนที่อายุยี่สิบเจ็ดปี นั่นยิ่งทำให้เขาเหลือเชื่อยิ่งกว่าท่านโอลิเวอร์อีกไม่ใช่หรือ?”
…..
เสียงคุยกันสับสนเรื่องลินลี่ย์ได้ยินกันทั่วไป ลินลี่ย์ปรากฏออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย สถานะของเขาในฐานะประติมากรชั้นปรมาจารย์เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับผู้คลั่งไคล้งานประติมากรรมหินสลัก
นี่คือบุคคลที่แทบจะอยู่ในระดับเดียวกับปรมาจารย์พรูกซ์
และตอนนี้ปรมาจารย์ประติมากรหนุ่มน้อยนี้อายุเพียงยี่สิบเจ็ดปีและใช้เพียงท่าเดียวโจมตีก็เอาชนะยอดฝีมือระดับเซียนผู้เป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามได้!
หลายๆคนเริ่มเปรียบเทียบเขากับโอลิเวอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เทียบกับโอลิเวอร์ลินลี่ย์อายุเยาว์กว่า
“สหายน้อยลินลี่ย์! วิชาที่เจ้าเพิ่งใช้ออกมานี้ควรจะมาจากการรู้แจ้งกฎแห่งธาตุลมใช่ไหม?” เซียนดาบจ้าวภูผาเฮนด์เซนพูด เสียงของเขาดังมาจากที่นั่งของผู้ตัดสิน
ทันทีที่เฮนด์เซนพูด คนอื่นในสนามชมการประลองเงียบเสียงทันที อะไรกัน,เซียนดาบจ้าวภูผาต้องการสนทนากับอัจฉริยะลินลี่ย์ผู้นี้หรือนี่?
“ถูกแล้ว ท่านเฮนด์เซน”เสียงตอบอย่างสงบดังมาจากลินลี่ย์
“ข้าขอถามชื่อวิชานี้ได้หรือไม่?” เซียนดาบจ้าวภูผาเฮนด์เซนอุทิศตนให้กับการฝึกฝนมุ่งจะไปให้ถึงระดับเทพ เฮนด์เซนสนใจรวบรวมข้อมูลของยอดฝีมือระดับเซียนแต่ละคนมาก บางทีการกระทำเช่นนั้นอาจทำให้เขามีความเข้าใจใหม่ได้และบรรลุไปอีกระดับ
“ชื่อวิชานี้ก็คือระลอกลม”ลินลี่ย์ไม่พยายามจะปิดบัง
เพื่อให้ได้เรียนรู้วิชาที่ทรงพลัง นักสู้ต้องมีระดับของความเข้าใจและรู้แจ้งในเรื่องกฎธรรมชาติของธาตุต่างๆ ไม่มีความเข้าใจระดับนั้น ไม่ว่าท่านจะอธิบายวิชานั้นให้คนอื่นฟังชัดเจนเพียงไร พวกเขาก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้
ลินลี่ย์ยังคงยืนอยู่ในอากาศมองดูเคนยอนในระยะไกล เขากล่าวอย่างใจเย็น “ท่านชื่อเคนยอนใช่ไหม?”
ตอนแรกเคนยอนคิดว่าลินลี่ย์คือคนที่ไม่ใช่นักสู้ระดับเซียน เขาโกรธเป็นธรรมดาเมื่อลินลี่ย์สบถด่าใส่เขา แต่บัดนี้เขารู้แล้วว่าลินลี่ย์มีระดับพลังที่สูงกว่าเขา
แม้ว่าเขาจะยังโกรธอยู่ในใจแต่เคนยอนก็มองลินลี่ย์เหมือนเป็นคนระดับเดียวกับเขา หรืออาจจะระดับสูงมากกว่าเขา
“ข้าเอง” เคนยอนพยักหน้าเล็กน้อย
“ท่านเคนยอน ด้วยระดับพลังของท่าน ท่านควรจะสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บรุนแรงของน้องชายข้าได้ชัดอยู่แล้วเพราะว่าท่านรู้ว่าเขาบาดเจ็บหนักแค่ไหน ท่านไม่ควรพูดคำที่ไม่สมควรออกมา จำไว้ ในฐานะผู้ตัดสิน อย่างน้อยท่านต้องมีความเป็นธรรมเรายอมรับความพ่ายแพ้ไปแล้ว ท่านก็ไม่ควรจะทำเกินเลยไป!”
ทันทีที่ลินลี่ย์พูดจบคำพูดเหล่านี้อย่างเย็นชา เขาบินลงมาหากลุ่มของเขา ลินลี่ย์ยังคงกังวลอาการบาดเจ็บของน้องชาย
เมื่อถูกลินลี่ย์ตำหนิอีกครั้งเคนยอนรู้สึกอับอายมาก
แต่เขารู้ว่าเขาทำผิดตรงนี้และตอนนั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็ยอมรับความพ่ายแพ้ไปแล้ว เขาจึงทำเกินเลยไปด้วยพฤติกรรมเช่นนั้น
…..
“วอร์ตัน เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” ลินลี่ย์พูดอย่างห่วงใย ขณะที่เขาคืนร่างมนุษย์และวิ่งไปอยู่ข้างน้องชายของเขาและคุกเข่าข้างหนึ่ง
ตอนนี้มีคนน้อยมากที่ล้อมรอบเขาอยู่แม้แต่นีน่าก็ไม่สนใจอะไรทุกอย่างและวิ่งไปดู
“ท่านลินลี่ย์” จอมเวทสายธาตุแสงที่อยู่ใกล้พวกเขายิ้มให้ “ไม่ต้องห่วง ข้าเพิ่งใช้เวทรักษาให้เขาแล้ว ใต้เท้าวอร์ตันอาการทุเลากว่าครึ่งแล้วเพราะความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติของใต้เท้าวอร์ตันด้วย อีกราวสิบวันหรือครึ่งเดือนก็น่าจะหายดี”
“พี่ใหญ่, ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว” วอร์ตันสามารถพูดได้ง่าย แล้วในตอนนี้
ในที่สุดลินลี่ย์ก็เบาใจ
ขณะเดียวกันเขารู้สึกพอใจกับการเตรียมการที่ทางสนามประลองได้จัดการไว้ ลินลี่ย์รู้ว่านักเวทสายธาตุแสงช่วยรักษาบาดแผลมีผลมากมายเพียงไหน กล่าวโดยทั่วไป นักเวทระดับต่ำสามารถรักษาอาการบาดเจ็บเพียงผิวเผิน มีเพียงนักเวทธาตุแสงผู้ทรงพลังเท่านั้นที่สามารถรักษาอาการกระดูกหักหรือบาดเจ็บอวัยวะภายในได้
และแน่นอนนักเวทธาตุแสงที่ทรงพลังที่สุดสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายคนที่ยังไม่ตายให้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้ตัวอย่างเช่น เมื่อลินลี่ย์เข้าพิธีเป็นสัตว์เลี้ยงเทพที่วิหารเจิดจรัส พลังเทพยังมีพลังในการรักษาเล็กน้อย แต่เล็กน้อยขนาดนั้นก็ยังเพียงพอให้ร่างกายของลินลี่ย์ฟื้นฟูมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์โดยรักษาอาการกระดูกหักทั่วตัว
ความสามารถในการฟื้นฟูนี้น่ากลัวมาก
“ทุกท่าน!”
ในขณะนี้เองผู้จัดการแข่งขันซึ่งก็คือชายชราผมเงินปรากฏตัวบนเวทีประลองอีกครั้ง หน้าของเขามีรอยยิ้ม เขากล่าว “ข้าคาดว่าทุกท่านได้มีช่วงเวลาที่เหลือเชื่อกับการดูการต่อสู้ในวันนี้ฮ่าฮ่า แม้แต่เวทีประลองของเราก็พังยับเยินเพราะผลของการต่อสู้ครั้งนี้”
ผู้ชมทั้งแปดหมื่นคนจ้องมองเวทีประลองที่แตกและเป็นรอย และพวกเขาก็เริ่มหัวเราะกันทุกคน
การประลองครั้งนี้คุ้มค่ากับการดูจริงๆ
ไม่เพียงแต่พวกเขาได้เห็นการแข่งขันระหว่างอัจฉริยะทั้งสองคนเท่านั้น พวกเขายังมีโอกาสได้เห็นพลังที่น่ากลัวของลินลี่ย์พี่ชายวอร์ตันเขาลงมือทีเดียวก็เอาชนะเคนยอนได้
แม้ว่าการสู้กันระหว่างลินลี่ย์และเคนยอนจะมีระยะเวลาสั้นมาก แต่คุณค่าที่ได้เห็นการปะทะกันของยอดฝีมือนั้นก็ยังสูงกว่าการต่อสู้ระหว่างวอร์ตันและบลูเมอร์ ที่สำคัญนี่คือการสู้กันระหว่างเซียนหลายคนมีชีวิตมาจนป่านนี้โดยไม่มีโอกาสได้เห็นการต่อสู้เช่นนั้น
“และผลของการประลองในวันนี้ข้ามั่นใจว่าทุกท่านคงจะเห็นด้วย และไม่ต้องสงสัย ข้าขอประกาศ..” คำพูดของนักสู้ชราผมเงินชะงักขณะที่เขาจ้องมองอากาศเหนือเขา
ไม่ใช่เพียงแต่เขาเท่านั้น ผู้ชมนับหมื่นที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับผู้ตัดสินทุกคนจ้องแนวริ้วสว่างที่พุ่งฝ่าอากาศมาทางพวกเขาด้วยความเร็วสูง
ในพริบตาเดียวริ้วแสงสว่างนั้นก็มาถึงสนามประลอง
“นักสู้ระดับเซียน!”
อีกครั้งที่สนามประลองเต็มไปด้วยเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากยอดฝีมือระดับเซียนอีกคนหนึ่งปรากฏตัว
คนผู้นี้สวมใส่ชุดผ้ากระสอบเรียบง่ายและมองดูสงบเยือกเย็นมาก แต่ตาของเขาเป็นประกายลุกโชนเหมือนดวงดาว ผมของเขาดำแซมสีขาว แต่เมื่อดูจากหน้าของเขา ก็สามารถบอกได้ว่าเขาไม่ใช่คนสูงอายุนี่เป็นบุรุษหนุ่มอายุเยาว์
“คนผู้นี้เป็นใคร?”
“จำไม่ได้เลย ผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว นี่คือนักสู้ระดับเซียนคนไหน?”
…..
บนที่นั่งผู้ชมเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยสนทนากัน ดูเหมือนเกือบทุกคนประหลาดใจจำไม่ได้ว่านักสู้ระดับเซียนที่เพิ่งบินมาถึงที่นี่ผู้นี้คือใคร ที่สำคัญคือหลายคนเคยเห็นยอดฝีมือระดับเซียนที่มีชื่อเสียงมามาก
บุรุษหนุ่มบินตรงไปที่บลูเมอร์
“น้องรอง, เกิดอะไรขึ้น?” บุรุษหนุ่มกล่าว
“พี่ใหญ่!” เสียงที่ประหลาดใจ ดีใจของบลูเมอร์ดังขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงคราวนี้ดูเหมือนจุดประกายไฟในกลุ่มผู้ชมในสนามประลอง บุรุษหนุ่มที่มีผมดำแซมขาวผู้นี้สวมชุดกระสอบเรียบง่ายก็คือเซียนกระบี่อัจฉริยะโอลิเวอร์นั่นเอง!
“โอลิเวอร์ เดี๋ยวก่อน, ไม่น่าเป็นไปได้ ผมของโอลิเวอร์น่าจะสีน้ำตาลดำ และเขาชมชอบสวมชุดขาว”
“โอลิเวอร์ กลายเป็นคนประหลาดขนาดนั้นเขากลายเป็นเช่นนั้นได้ยังไง?”
“ข้าบอกได้เลยว่านั่นคือโอลิเวอร์แน่นอน เทียบกับรูปลักษณ์ของเขาเมื่อตอนสู้กับท่านดิลลอนครั้งล่าสุด ลักษณะของเขาก็เหมือนกัน เพียงแต่ผมของเขาดูแตกต่างออกไป และดูเหมือนราศีของเขาจะแตกต่างออกไปเช่นกัน”
…..
ใช่แล้ว รัศมีราศีของเขาแตกต่างออกไป
มิน่าเล่าผู้ชมทั้งแปดหมื่นไม่สามารถจำเขาได้ ในอดีตราศีของโอลิเวอร์จะคมกล้าอย่างน่าประหลาด เหมือนกระบี่ที่ชักออกจากฝัก นอกจากนี้ เขาสวมชุดขาวบริสุทธิ์
หน้าตาของเขาหล่อและราศีของเขาก้าวร้าวทำให้โอลิเวอร์มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง
แต่โอลิเวอร์ในปัจจุบันเปลี่ยนไปสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับแต่ก่อน
โอลิเวอร์ในปัจจุบันไม่มีราศีที่ดุดันคุกคามและผมของเขาตอนนี้มีบางส่วนขาวจนดูเหมือนสูงอายุ โอลิเวอร์ไม่เคยใช้ชุดกระสอบมาก่อน
“เขาคือโอลิเวอร์?” ลินลี่ย์มองดูโอลิเวอร์เช่นกัน
เยลพยักหน้าอยู่ข้างๆลินลี่ย์ “ถูกแล้วตามข่าวกรองของตระกูลข้า ในหลายปีมานี้หลังจากเขาบรรลุระดับเซียน โอลิเวอร์เดินทางท่องเที่ยวไปตามจักรวรรดิต่างๆ และเข้าร่วมฝึกฝนตามคาดการณ์ของหน่วยสืบราชการ เขาน่าจะเอาชนะยอดฝีมือระดับเซียนมาหลายคนแล้ว”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ทันทีที่เขาเห็นโอลิเวอร์ ลินลี่ย์มีความรู้สึกได้ว่า โอลิเวอร์ผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่น่ากลัวมาก เทียบกับสเตลห์แห่งศาสนจักรเจิดจรัสแล้ว เขาน่ากลัวมากกว่า
เขามาเพื่อจุดประสงค์ต่อสู้ในนามของน้องชายหรือ?” ลินลี่ย์เริ่มร่ายเวททันที
โอลิเวอร์มีชื่อเสียงมากเพราะชื่อเสียงของเขา ลินลี่ย์จะไม่ประมาทโอลิเวอร์แน่ทั้งไม่กล้าคลายความระมัดระวัง
สายลมกระโชกพัดวนอยู่รอบตัวลินลี่ย์ทันที
เวทธาตุลมระดับเก้า –วิชาเงาลม
…..
โอลิเวอร์ฟังคำอธิบายการต่อสู้ครั้งนี้ของน้องชายจบ บลูเมอร์จงใจพูดทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น “พี่ใหญ่ เจ้าลินลี่ย์ผู้นั้นข่มเหงข้า เขาถือว่ามีพลังเหนือกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ช่วยข้าเอาไว้ ข้าเกรงว่า...”
โอลิเวอร์ขมวดคิ้ว
ตระกูลอาเคอร์ลุนด์เป็นตระกูลที่ธรรมดาทั่วไปมาก พ่อแม่ของพวกเขาตายเร็ว โอลิเวอร์พึ่งพาอาศัยตนเองปกป้องบลูเมอร์และช่วยยกระดับให้บลูเมอร์
บลูเมอร์คือสมาชิกในครอบครัวเพียงคนเดียวของโอลิเวอร์ สองพี่น้องแบ่งปันความรักอย่างลึกล้ำกัน
“เคนยอน” โอลิเวอร์จ้องมองเคนยอนที่อยู่ใกล้ๆ “ขอบคุณท่าน ข้าโอลิเวอร์ขอจดจำความกรุณาที่ท่านช่วยเราเอาไว้”
เคนยอนรีบกล่าว “โอลิเวอร์ ไม่จำเป็น บลูเมอร์คือศิษย์น้องของข้าข้าไม่อาจทนเฉยดูอยู่ได้”
โอลิเวอร์ยิ้มให้เคนยอน จากนั้นจ้องมองน้องชายอย่างเยือกเย็น เขาตำหนิ “น้องรอง ข้าบอกเจ้ามานานแล้วเว้นแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตาย เจ้าต้องไม่ใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามนั้น เพราะระดับความเข้าใจในปัจจุบันของเจ้ายังห่างจากความคู่ควรที่จะใช้มันได้ เจ้ารู้ไหมพลังโจมตีที่ทรงพลังที่สุดนั้นทำอันตรายเจ้าได้ขนาดไหน? ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นจะร้ายแรงยิ่งกว่าแขนที่หักของเจ้า”
บลูเมอร์ก้มหน้า
เพื่อเอาชนะวอร์ตันในที่สุดเขาก็ใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามและความเสียหายที่เกิดจากการใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เวทธาตุแสงจะสามารถใช้รักษาได้ เมื่อโอลิเวอร์สอนเคล็ดวิชานี้ให้เขาเขากำชับเอาไว้ว่าให้ใช้ตอนที่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเท่านั้น
“พี่ใหญ่, ข้าขอโทษ” บลูเมอร์รู้ว่าโอลิเวอร์กังวลห่วงใยเขา
โอลิเวอร์ส่ายศีรษะและถอนหายใจจากนั้นหันไปมองลินลี่ย์ในระยะไกล แววดุร้ายปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา ก่อนหน้านี้โอลิเวอร์ยังสงบเย็นเหมือนทะเลลึก โอลิเวอร์บินตรงเข้ามา
“โอลิเวอร์ รอก่อน!” เมื่อรู้ว่าหลายอย่างจะเปลี่ยนไปในสภาพเลวร้าย จักรพรรดิโจฮันน์ตรัสทันที
“ถวายบังคมฝ่าบาท ข้าจะไม่แค่ซ้อมมือกับคนที่พยายามฆ่าน้องชายข้า ฝ่าบาท พระองค์อย่าเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้เป็นดีที่สุด” โอลิเวอร์ไม่เห็นแก่หน้าของโจฮันน์แม้แต่น้อย
จักรพรรดิโจฮันน์พูดอะไรอย่างอื่นไม่ได้ เขาเข้าใจอารมณ์ของโอลิเวอร์เป็นอย่างดี
แต่เนื่องจากโจฮันน์กังวลว่าทั้งลินลี่ย์และโอลิเวอร์ล้วนเป็นสมาชิกคนสำคัญของจักรวรรดิ เขาไม่ต้องการให้อัจฉริยะทั้งสองคนสู้กันเอง
โอลิเวอร์โฉบขึ้นไปในอากาศ ชุดยาวของเขาโบกสะบัดอยู่รอบตัว สายตาดุร้ายเย็นชาจ้องมองลินลี่ย์ “ลินลี่ย์, ออกมา!” เสียงที่ระเบิดออกมาทั่วทั้งสนามประลองปานฟ้าผ่าดังก้องสะท้อนไม่หยุด
“ออกมา ออกมา ออกมา!”
ทุกคนในสนามประลองกลั้นลมหายใจ สวรรค์โปรดตั๋วที่พวกเขาซื้อเข้าชมครั้งนี้คุ้มค่าสุดๆพวกเขาได้ชมการต่อสู้ถึงสองครั้งแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะได้ดูการสู้รบที่ตื่นเต้นยิ่งกว่า
สายตาทั้งแปดหมื่นคู่ในสนามชมการประลองกวาดมองไปที่ลินลี่ย์