ตอนที่ 9-5 สนามประลอง
ถึงเวลากลางคืนนครหลวงแชนน์ยังคงคึกคักงดงามเหมือนกับตกแต่งไว้ แต่เขตทุรกันดารนอกนครแชนน์ตะวันออกนั้นรกร้างมาก บนเส้นทางที่รกร้างมีร่างมนุษย์ที่คล้ายภูตพรายร่างหนึ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว
ในพริบตาเดียวร่างมนุษย์นั้นก็เดินทางไปไกลเกินร้อยเมตร
คนผู้นี้คือศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม ดาวรุ่งคนปัจจุบันของเมืองหลวง บลูเมอร์อาเคอร์ลุนด์
นครหลวงแชนน์รายล้อมไปด้วยภูเขามากมาย นอกเมืองแชนน์ตะวันตกก็คือภูเขาเทพสงครามและภูเขาอื่นๆ ขณะที่นอกเมืองแชนน์ด้านตะวันออกก็มียอดเขาทั่วไปจำนวนหนึ่งเช่นกัน บลูเมอร์มาถึงภูเขาที่ดูเหมือนธรรมดาลูกหนึ่งอย่างรวดเร็ว
บนยอดเขานี้มีลักษณะสูงเหมือนสันมีด ที่ด้านบนของจุดสูงสุดนี้บุรุษคนหนึ่งอยู่ในท่านั่งสมาธิ ดูจากวิธีที่เขานั่งนิ่งอยู่ที่นั่นใครๆก็อาจลืมความรู้สึกประหลาดว่าคนผู้นี้นั่งอยู่ตรงนั้นมาเป็นเวลานับล้านๆ ปีแล้ว
เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาบลูเมอร์พูดด้วยความเคารพ “พี่ใหญ่”
เห็นได้ชัดว่าคนที่นั่งเข้าสมาธิอยู่บนยอดเขาก็คือพี่ชายของบลูเมอร์ที่ใครรู้จักกันในนามว่าโอลิเวอร์ เซียนกระบี่อัจฉริยะ คืนนี้ไม่มีพระจันทร์ลอยอยู่ในท้องฟ้า ไม่มีดวงดาวในความมืดมิด มีแต่ร่างเลือนรางของโอลิเวอร์
“น้องรอง, เจ้าต้องการอะไร?”เสียงเยือกเย็นดังขึ้น
บลูเมอร์รู้ว่าพี่ชายของเขาทำสมาธิอยู่ที่นี่บนยอดเขามาสามปีเต็ม สามปีที่ผ่านมานี้พี่ชายของเขาไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย เขาใช้ท้องฟ้าเป็นหลังคาและพื้นดินเป็นเตียงนอน
สามปีมาแล้วเมื่อเขาได้พบเห็นพี่ชาย แต่เขาสามารถรู้สึกถึงราศีที่แผ่ออกมาจากร่างพี่ชายนั้นน่ากลัวราศีเช่นนั้นสร้างความประทับใจให้เกิดความคิดอย่างเดียวว่าโอลิเวอร์สามารถเอาชนะเขาได้
แต่หลังจากผ่านมาสามปีพี่ชายของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นก้อนหินบนยอดเขาไม่มีราศีที่ดุร้ายเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีใครที่คิดได้ว่าโอลิเวอร์ในปัจจุบันนี้มีพลังมากมายเพียงไหน
“พี่ใหญ่, วันที่สี่เดือนหน้ากล่าวคืออีกสิบห้าวันจากนี้ข้าจะประลองกับเชื้อสายของตระกูลนักรบเลือดมังกรที่สนามประลองนครหลวง” บลูเมอร์เรียนด้วยความเคารพ
“ตระกูลนักรบเลือดมังกร?”
เสียงที่เยือกเย็นตามปกติของเขาดูเหมือนจะทิ้งร่องรอยความสนใจอยู่บ้าง “ตามตำนานนักรบเลือดมังกรระดับเซียนคือยอดฝีมือในหมู่เซียน ข้าต้องการประลองแลกเปลี่ยนฝีมือกับนักรบเลือดมังกรอยู่เหมือนกัน แต่นักรบเลือดมังกรระดับเซียนสาบสูญไปจากทวีปยูลานนานแล้ว อืม..คนที่เจ้าประลองด้วยแข็งแกร่งเพียงไหน?”
“หลังจากแปลงร่างแล้ว เขาน่าจะมีพลังเท่านักรบระดับเก้าชั้นสูง” บลูเมอร์เรียนด้วยความเคารพ
“โอว ใช้วิชากระบี่ที่ข้าสอนให้เจ้าเจ้าก็น่าจะไร้เทียมทานในหมู่นักสู้ระดับเก้าแล้ว” โอลิเวอร์พูดอย่างใจเย็น “พอเถอะ เจ้าไปได้แล้ว”
บลูเมอร์ลังเลเล็กน้อยจากนั้นเขาพูดเสียงเบา “พี่ใหญ่,วันประลองของข้าท่านพอจะมาได้ไหม?”
โอลิเวอร์เงียบอยู่ครู่หนึ่ง
“วันที่ 4 กุมภาพันธ์ เข้าใจแล้วถ้าข้ามีเวลาข้าจะรีบไปที่นั่น ”เสียงของโอลิเวอร์ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ยังคงเยือกเย็นเหมือนเช่นเคย
“อย่างนั้นข้าขออำลา” บลูเมอร์จากไปทันที
ยอดเขากลับสู่ความเงียบสงบเหมือนดังเดิมเงาร่างมนุษย์นั้นยังคงอยู่ในความมืดไม่ขยับแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขานั้นเสมอมา
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ปี 10009 ตามปฏิทินยูลาน นี่คือวันที่สองอัจฉริยะกำลังจะประลองฝีมือกันและหลายคนในเมืองหลวงตื่นเต้นรีบมาที่สนามประลองฝีมือของเมืองหลวง ตั๋วเข้าชม 80,000 ใบถูกขายหมดเกลี้ยงไปนานแล้วและวันนี้ไม่ใช่แค่ชาวเมืองหลวงเท่านั้นที่มาเข้าชม ยังมีคนจากเมืองในเขตมณฑลต่างๆ มาร่วมชมอีกด้วย
คณะของลินลี่ย์มาถึงสนามประลองแต่เนิ่นๆและได้รับห้องส่วนตัว ลินลี่ย์ เรย์โนลด์และเยลร่วมสนทนากันอย่างกระตือรือร้น
“พี่ใหญ่เยลนึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสามารถมาที่นี่ได้เช่นกัน” เรย์โนลด์หัวเราะ
หน้าผากของเยลเต็มไปด้วยเหงื่อ ขณะมองดูลินลี่ย์และเรย์โนลด์เขาหัวเราะอย่างมีความสุข “หลังจากข้าได้ยินว่าเจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้วน้องสี่กับน้องสามก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกันต่อให้งานที่สำคัญที่สุดก็กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ ยังไงข้าก็ต้องมา ครั้งนี้ข้าจะมาช่วยเชียร์น้องชายของน้องสาม”
“พี่ใหญ่เยล, น้องสี่พวกเจ้ามากันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ขาดแต่พี่รองคนเดียว” ลินลี่ย์พูดอย่างมีอารมณ์
“น้องรองตอนนี้เป็นประธานมุขมนตรีของจักรวรรดิยูลานไปแล้ว เขามีสถานะสูงส่งมาก อีกอย่างเพราะที่นั่นไกลจากนี่มากเป็นหมื่นกิโลเมตรเขาจะหาเวลาได้ยังไง?” เยลถอนหายใจเช่นกัน
เรย์โนลด์หัวเราะพลางสบถ“เมื่อครั้งที่เราสี่พี่น้องยังอยู่ด้วยกันในสถาบันพี่รองเก่งและหัวดีเขาเข้าร่วมทุกกิจกรรมของสถาบันและเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้พวกเขา ข้ารู้ว่าตอนนั้นพี่รองเหมาะกับวงการข้าราชการแล้ว แล้วดูสิ? เพียงสิบปีต่อมาเขากลายเป็นประธานมุขมนตรีของจักรวรรดิยูลานไปได้”
“โชคดีที่จักรพรรดิของจักรวรรดิยูลานพระองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จ นี่ทำให้ตำแหน่งสถานะของน้องรองเพิ่มระดับขึ้นทันที”เยลพูดอย่างเห็นด้วย
เสียงฝีเท้าดังขึ้นได้ยินอยู่นอกประตู
“พี่ใหญ่ เราจะออกไปที่ลานประลองกันแล้วไปกันเถอะ” เมื่อได้ยินเสียงเรียกเช่นนี้เยล, ลินลี่ย์และเรย์โนลด์ลุกขึ้นและออกไปจากห้องพักทันที
ในใจกลางสนามประลองมีเวทีประลองที่กว้างและยาวสามร้อยเมตรเวทีประลองสร้างจากหินที่แข็งแกร่งทนทานและร่ายเวทขนาดใหญ่สำทับอีกชั้นหนึ่ง
ด้านตะวันออกและตะวันตกของเวทีประลองจะเป็นแท่นชมดูสำหรับครอบครัวของผู้เข้าแข่งขัน
ด้านหน้าตรงของเวทีประลองถูกกันไว้ให้เจ้าภาพผู้จัดการประลอง
วอร์ตันลินลี่ย์และคนอื่นๆ ออกมาจากอุโมงค์ เมื่อเห็นผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมในแท่นชมดูเต็มพื้นที่พวกเขาอดรู้สึกทึ่งมิได้
“คนมากมายเหลือเกิน” วอร์ตันฝืนยิ้ม
เกทส์พูดพลางหัวเราะพลาง “วอร์ตัน วันนี้มีคนเข้าชมถึงแปดหมื่นคนสู้ให้เต็มที่อย่าให้เสียหน้าล่ะ”
เสียงกระหึ่มจากฝูงชนที่ดูเหมือนเสียงหวีดหวิวของคลื่นทะเลเต็มอยู่ในอากาศ ลินลี่ย์และคณะของเขารู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของผู้เข้าชมอย่างช่วยไม่ได้
จักรวรรดิโอเบรียนคือจักรวรรดินักสู้ระดับสูง การประลองระหว่างสุดยอดอัจฉริยะสองคนดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วน มีผู้ชมภายในถึง 80,000คนและด้านนอกสนามชมการประลองก็มีหลายคนที่หวังจะได้เห็นการประลองครั้งนี้
เหนือที่นั่งของวอร์ตัน,ลินลี่ย์ เยล เรย์โนลด์ บาร์เกอร์และน้องๆ และคนอื่นทั้งหมดล้วนนั่งสงบ ฝ่ายของบลูเมอร์ก็มาถึงเร็วเช่นกัน
บลูเมอร์มีคนหลายคนอยู่กับเขาเช่นกันเกินกว่าร้อย
“ส่วนมากเป็นศิษย์กิตติมศักดิ์ของวิทยาลัยเทพสงครามดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาคอยสนับสนุนบลูเมอร์สินะ” ลินลี่ย์พูดพลางหัวเราะอย่างใจเย็น
เขาสามารถบอกได้ว่าคนทั้งหมดนั้นแข็งแกร่งมาก
“มันดียังไง เอาคนมาเชียร์เสียมากมาย?” เยลหัวเราะอย่างรังเกียจ
ในเวลานี้เริ่มมีเสียงกระหึ่มดังขึ้นเห็นได้ชัดว่าผู้เข้าร่วมประลองทั้งสองคนจะปรากฏตัวแล้ว ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นมาก
“แปดหมื่นคน คนส่วนใหญ่ที่ข้าเคยเห็นมารวมตัวในที่เดียวกัน แม้แต่ในกองทัพก็คือหมื่นคนเพื่อฝึกรบร่วมกัน” เรย์โนลด์จ้องมองดูภาพในสนามแข่งขันประลอง เนื่องจากสี่จักรวรรดิใหญ่ในปัจจุบันนี้ไม่ได้อยู่ในยุคที่มีสงครามขนาดใหญ่ จึงยากที่จะได้เห็นกองทัพต่างๆ มารวมตัวกัน
“ทุกคน, เงียบ!”
เสียงดังขึ้นราวกับฟ้าผ่ากลบเสียงไปทั้งสนามประลอง ผู้ชมแปดหมื่นคนเงียบเสียงทันทีขณะที่พวกเขาจ้องมองดูชายชราผมเงินที่อยู่ในกลางสนามประลอง
ลินลี่ย์และคนอื่นเริ่มหัวเราะเบาๆ ชายชราผมเงินผู้นี้ก็คือยอดฝีมือระดับเก้าคนหนึ่ง เนื่องจากความกล้าในการใช้ปราณยุทธของเขา จึงไม่ยากที่เขาจะใช้เสียงกลบไปทั่วสนามประลองได้
“สำหรับการประลองต่อสู้ครั้งนี้ แม้แต่ผู้ทำหน้าที่กรรมการก็ยังเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง” ลินลี่ย์ถอนหายใจรำพึง
ชายชราผมเงินตะโกนลั่น “ทุกท่าน,การประลองครั้งนี้ที่เรากำลังจะได้เห็นคือการประลองที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไม่นานนี้ ผู้เข้าร่วมการประลองทั้งสองคนนี้คนหนึ่งคือศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม มาร์ควิสบลูเมอร์ อีกคนหนึ่งคือผู้สืบเชื้อสายตระกูลนักรบเลือดมังกรเคานท์วอร์ตัน ทั้งสองคนนี้นับเป็นอัจฉริยะอย่างมิต้องสงสัย แต่ว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันเล่า?”
ชายชราผมเงินเริ่มหัวเราะ “อีกไม่นานทุกคนก็จะทราบกัน สำหรับผู้ตัดสินในวันนี้ ข้าคาดว่าทุกคนคงจะมีความสุขมากเมื่อได้ทราบว่าพวกเขาเป็นใคร”
“คนแรกคือศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม ลอร์ดเคนยอน” ชายชราผมเงินพูดเสียงแจ่มชัด
บุรุษวัยกลางคนจอนผมสีเทาสวมชุดยาวสีฟ้าเดินออกมาจากอุโมงค์ และจากนั้นด้วยการเดินเพียงก้าวเดียว ดูเหมือนเขาเปลี่ยนเป็นภาพพร่าเลือนแล้วลอร์ดเคนยอนก็มาปรากฏตัวในตำแหน่งผู้ตัดสิน จากนั้นนั่งลงทันที
การปรากฏตัวของลอร์ดเคนยอนผู้นี้ส่งผลให้ทุกคนในสนามประลองส่งเสียงอื้ออึง
“ยอดฝีมือระดับเซียน” ลินลี่ย์มั่นใจ
จากนั้นเคนยอนแค่ใช้วิชาบินตรงไปที่ตำแหน่งผู้ตัดสินซึ่งอยู่ซ้ายสุดเท่านั้น
“ท่านที่สองก็คือฝ่าบาทจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโอเบรียนของเราเอง” เสียงของบุรุษผมเงินลากเสียงสูงขึ้นและโจฮันน์ที่แต่งตัวงดงามหรูหรายิ้มเต็มหน้าเดินตรงไปที่นั่งของผู้ตัดสินนั่งในตำแหน่งกลาง
การเสด็จมาถึงของจักรพรรดิกระตุ้นให้เกิดความยินดีปรีดาเป็นธรรมดา
หน้าของชายชราผมเงินเต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “หลังจากเห็นว่าใครคือผู้ตัดสินคนที่สามของเรา ข้าเองยังตกใจและดีใจไปพร้อมกัน” บุรุษชราผมเงินจงใจชะงักเล็กน้อยและผู้ชมทั้งแปดหมื่นคนเงียบเสียงกันหมดและตั้งใจฟัง ผู้ตัดสินคนที่สามเป็นใครกันแน่?
“ผู้ตัดสินคนที่สามคือความภาคภูมิใจของจักรวรรดิของเรา....เซียนดาบจ้าวภูผา ลอร์ดเฮนด์เซน”
ทันทีที่คำว่า ‘ลอร์ดเฮนด์เซน’ประกาศออกมา ทั่วทั้งสนามประลองดูเหมือนแทบคลั่ง เนื่องจากคนเป็นจำนวนมากเริ่มโห่ร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น
“เฮนด์เซน! เฮนด์เซน!!”
“เซียนดาบจ้าวภูผา!”
นักรบที่ทรงพลังบางส่วนเริ่มใช้ปราณยุทธส่งเสียงตะโกน เสียงกระหึ่มราวกับฟ้าถล่มทลายดังเป็นระลอกรอบสนามประลองเนื่องจากทุกคนล้วนคลั่งไคล้กันทั้งนั้น
“บ้าไปแล้ว พวกเขาบ้ากันไปหมดแล้ว” เกทส์อึดอัด“มันคุ้มค่ากับการคลั่งไคล้ยอดฝีมือระดับเซียนขนาดนี้เชียวหรือนี่?”
ซาสเลอร์มองดูเขาพลางหัวเราะ “เจ้าอยู่ในจักรวรรดิโอเบรียนมาไม่นานเท่าใด เจ้าไม่รู้หรอกว่าเซียนดาบจ้าวภูผาทรงอิทธิพลขนาดไหน”
ตาของเรย์โนลด์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน “หลังจากเข้าถึงระดับเซียน ลอร์ดเฮนด์เซนมีประสบการณ์ท้าประลองและต่อสู้มานับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยพ่ายแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว! แม้แต่กับยอดฝีมือชั้นเซียนระดับสูงของจักรวรรดิ เขาก็ยังประสบความสำเร็จเอาชนะได้ เขาคือนักสู้ชั้นเซียนหมายเลขหนึ่ง ไม่มีใครในนักสู้ระดับเซียนที่สามารถเอาชนะเขาได้ เซียนดาบจ้าวภูผาเฮนด์เซน!”
ลินลี่ย์วอร์ตันและคนอื่นจ้องมองอุโมงค์ไกลๆ รอคอยให้เฮนด์เซนปรากฏตัวอย่างเงียบงัน
ในที่สุดเฮนด์เซนก็เดินออกมา
เฮนด์เซนปรากฏตัวออกมาอย่างเรียบง่ายไม่ได้ตกแต่งอะไรโครงหน้าของเขาเข้มและชัดเจนเหมือนกับสลักขึ้นจากหิน เขาสวมชุดยาวสีเทาเรียบง่ายและหลังของเขาสะพายดาบหนักสีดิน
ก้าวย่างของเขามั่นคงแน่นอน เฮนด์เซนไม่ได้ใช้วิชาบิน เขาก้าวเดินไปตามปกติ
เพียงเดินก้าวเดียวเขาเดินจากอุโมงค์ไปถึงปะรำชมของเจ้าภาพในก้าวที่สองเท่านั้น เขามาถึงข้างจักรพรรดิโจฮันน์จากนั้นนั่งในที่นั่งถัดจากโจฮันน์
เหมือนกับว่าเขาเทเลพอร์ต!
“นั่นอะไร?” ลินลี่ย์เห็นบางอย่างที่เหลือเชื่อ
บาร์เกอร์และคนอื่นๆตะลึงกันหมด
“เทเลพอร์ตหรือเปล่า?” วอร์ตันพึมพำ
แต่ลินลี่ย์กล้ายืนยันได้แน่นอนว่าไม่ใช่เทเลพอร์ต! เท่าที่ลินลี่ย์รู้ไม่มีใครที่ยังมีชีวิตสามารถเทเลพอร์ตได้ การเทเลพอร์ตเป็นแค่เทพนิยาย
“เมื่อท่านเฮนด์เซนเดินออกมาแผ่นดินทั้งหมดดูเหมือนจะสั่นสะเทือน ในพริบตาก็ย่นระยะทางให้สั้นได้ทันทีทำให้เขาก้าวเดินจากระยะหลายสิบเมตรในก้าวเดียว ด้วยท่าทางผ่อนคลายไม่ต้องอาศัยความเร็วเลยแม้แต่น้อย แค่เพียงก้าวเดียว เขาสามารถย่นระยะทางได้หรือ?”
มันน่าประหลาดเกินไป
การฝึกฝนของลินลี่ย์เองอาศัยแนวทางที่แตกต่างกันสองทางหนึ่งนั้นคือแบ่งเป็นกฎธรรมชาติของธาตุดินและอีกทางหนึ่งคือปรับตามกฎธรรมชาติของธาตุลม
เคล็ดง่ายๆนี้ซึ่งเฮนด์เซนใช้วิธีกระตุ้นบางอย่างเกี่ยวกับกฎธรรมชาติของธาตุดิน แต่... ลินลี่ย์ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด เฮนด์เซนทำแบบนั้นได้ยังไง?
“เฮ้อ”
ลินลี่ย์ถอนหายใจลึกและนั่งลงอย่างสงบ
“เขามีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งในหมู่นักสู้ระดับเซียน ในช่วงหลายปีมานี้ไม่มีใครเคยเอาชนะเขาได้ สมเหตุผลแล้วที่คนอย่างเขามีความสามารถอย่างนั้น” ลินลี่ย์ยังคงมั่นใจมาก
เฮนด์เซนอาจมีความสามารถที่น่าทึ่งของตนเอง แต่ในทางกลับกันเฮนด์เซนก็คงไม่เข้าใจพลังโจมตีสั่นสะเทือนของลินลี่ย์ได้มิใช่หรือ?
แม้ว่าทั้งสองจะขัดเกลาฝีมือตามกฎธรรมชาติของธาตุดิน แต่พวกเขาก็ลงมือฝึกฝนในเส้นทางที่ต่างกัน