ตอนที่ 9-3 ยั่วยุ
จักรพรรดิโจฮันน์เคยได้ยินชื่อเสียงของลินลี่ย์มานานแล้ว
จอมเวทอัจฉริยะอันดับสองในประวัติศาสตร์ที่เป็นประติมากรระดับปรมาจารย์ตอนอายุสิบหกปีเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง เมื่อโจฮันน์รู้เรื่องราวและประวัติของลินลี่ย์เขาได้แต่ถอนหายใจชื่นชมครั้งแล้วครั้งเล่า
เขามองดูขณะลินลี่ย์เดินเข้ามา
“ลักษณะของเขาเป็นคนมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง” โจฮันน์ถอนหายใจรำพึง ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนร่างกายหรือบุคลิกของเขา โจฮันน์สามารถบอกได้เลยว่าลินลี่ย์มีราศีพิเศษเฉพาะตัวของประติมากรชั้นปรมาจารย์
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ลินลี่ย์คำนับเพียงเล็กน้อย
“บังอาจ” มหาดเล็กที่อยู่ใกล้ๆจักรพรรดิโจฮันน์ขึ้นเสียงสูง “บังอาจนักอยู่ต่อพระพักตร์ฝ่าบาทกลับไม่คุกเข่าถวายบังคมได้ยังไง?”
ลินลี่ย์กวาดสายตาเย็นชาไปที่มหาดเล็กผู้นั้น ทันใดนั้นมหาดเล็กรู้สึกเหมือนกับว่าถูกอสรพิษจ้องะได้แต่สั่นอย่างช่วยไม่ได้
“อาจารย์ผู้มีฝีมือทางด้านศิลปะอย่างลินลี่ย์คือคนที่เรายกย่องมานานแล้วปกติไม่ถึงกับต้องคุกเข่าแสดงความเคารพก็ได้” โจฮันน์ชำเลืองมองมหาดเล็กที่อยู่ใกล้ๆ และมหาดเล็กผู้นั้นไม่กล้าพูดอีกต่อไป
ในจักรวรรดิโอเบรียนกล่าวโดยทั่วไป ระดับเสนาบดีจะต้องคุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าพระจักรพรรดิ แต่คนอย่างบลูเมอร์ในฐานะศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามแค่เพียงโค้งคำนับเล็กน้อย
“วอร์ตัน” โจฮันน์มองดูวอร์ตันซึ่งยืนอยู่ข้างลินลี่ย์ “เราได้ยินมานานแล้วว่าเจ้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่งทำไมเจ้าเพิ่งจะพาเขามาพบเราในวันนี้เล่า?”
วอร์ตันกราบทูลทันที “ทูลฝ่าบาท,พี่ชายของข้าพระองค์เพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นานพระเจ้าค่ะ”
จักรพรรดิโจฮันน์พยักหน้าอย่างใจเย็น จากนั้นมองดูลินลี่ย์ เขาหัวเราะพลางพูด “อาจารย์ลินลี่ย์, ข้าได้ยินว่าตอนอายุสิบเจ็ดปีท่านเป็นจอมเวทระดับเจ็ดสองสายธาตุ หลังจากผ่านมาสิบปีแล้ว ข้าขอถามท่านตอนนี้ท่านถึงระดับใดแล้ว?”
ลินลี่ย์ยิ้ม “หลังจากบากบั่นฝึกฝนผ่านไปสิบปีเมื่อไม่กี่วันมานี้ ข้าเพิ่งเข้าถึงระดับเก้า”
“ยอดจอมเวทระดับเก้าน่ะหรือ?” โจฮันน์กระพริบตา
“ว่าไงนะ?” เสียงตะโกนอย่างประหลาดใจดังมาจากด้านหลังจักรพรรดิ ลินลี่ย์ชำเลืองมองม่านที่กั้นหลังบัลลังก์ของจักรพรรดิ แทบจะทันทีที่เขาเข้ามาลินลี่ย์ก็รู้แล้วว่ามียอดฝีมือระดับเก้าสองคน คือจอมเวทคนหนึ่งและนักรบคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่หลังม่านนั้น
โจฮันน์ชำเลืองกลับไปด้านหลังเช่นกัน
เมื่อรู้ว่าพวกเขาเผยตัวเองแล้วทั้งสองคนจึงเดินออกมา คนหนึ่งสวมชุดนักเวทที่หลวมยาว ขณะที่อีกคนหนึ่งสวมชุดนักรบพื้นฐาน
“สองคนนี้เป็นองครักษ์ของเรา พวกเขาตกใจกับความก้าวหน้าของเจ้าอาจารย์ลินลี่ย์”
“จอมเวทสองสายธาตุระดับเก้า ลินลี่ย์, ข้าขอถาม ปีนี้เจ้าอายุเท่าใด?” จอมเวทผมสีเงินจ้องมองลินลี่ย์ ในฐานะจอมเวทเขารู้เป็นธรรมดาว่ายากเย็นเพียงใดกว่าจอมเวทคนหนึ่งจะเพิ่มพลังจิตจนถึงระดับนั้นได้
แม้ว่าในประวัติศาสตร์นักรบมากกว่าสิบคนจะถึงระดับเซียนตอนอายุยี่สิบ
แต่ในประวัติศาสตร์ทั้งหมดไม่มีจอมเวทระดับเก้าแม้แต่คนเดียวที่บรรลุระดับนี้ก่อนอายุสามสิบ อัตราในความก้าวหน้าสำหรับพลังจิตไม่ใช่ว่าจะเพิ่มกันได้ด้วยวิธีใดๆจำเป็นต้องค่อยๆ สะสมไปทีละขั้นตอน
“ปีนี้พี่ชายของข้าอายุยี่สิบเจ็ด” วอร์ตันตอบ
“ยี่สิบเจ็ด!” เมื่อได้ยินตัวเลขนี้จอมเวทระดับเก้านั้นอัศจรรย์ใจมาก สีหน้ามีแววตกใจ
ประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์รวมบันทึกอัจฉริยะนับไม่ถ้วนมาเกินกว่าหมื่นปี มีคนเพียงไม่กี่คนที่ถึงระดับเก้าหลังจากอายุสามสิบปีขึ้นไป แต่นั่นเป็นประวัติศาสตร์โบราณ ในอดีตที่ผ่านมาไม่กี่ร้อยปี ไม่มีเลยสักคนเดียวที่บรรลุระดับเก้าในช่วงอายุสามสิบปี
แต่...
“ยี่สิบเจ็ดปี ยี่สิบเจ็ดปี!” ชายชราผมเงินหัวเราะให้กับตนเอง “ข้าบรรลุเป็นจอมเวทระดับเก้าเมื่อข้าอายุ 170 ปีและข้าเองก็คิดว่าข้าไม่เลวแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเจ้า .. อาจารย์ลินลี่ย์...”
บุรุษชราผมเงินถอนหายใจส่ายศีรษะ
ความแตกต่างผิดปกติเกินไป
“ท่านเกอร์โฮส,ในอดีตคนที่บรรลุจอมเวทระดับเก้าอายุน้อยที่สุดเท่าไหร่?” โจฮันน์ถามทันที
ชายชราผมเงินทูลด้วยความนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท ตามบันทึกในประวัติศาสตร์จอมเวทระดับเก้าที่อายุน้อยที่สุดเป็นอัจฉริยะจากเมื่อสามหมื่นปีที่แล้วเขาบรรลุระดับเก้าเมื่อตอนอายุสามสิบสองปี ในประวัติศาสตร์ล่าสุดตั้งแต่เริ่มต้นศักราชยูลานจนถึงบัดนี้จอมเวทอายุน้อยที่สุดซึ่งเข้าถึงระดับเก้ามีอายุเพียงสามสิบห้าปี”
ในการฝึกปราณยุทธ ถ้าผู้ฝึกครอบครองหรือได้รับสมบัติพิเศษบางอย่างบางทีปราณยุทธจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ระดับความเข้าใจของนักสู้อาจเพิ่มขึ้นพรวดพราดจากการรู้แจ้งเพียงวับเดียว
มีคนที่เข้าถึงระดับเซียนในช่วงอายุยี่สิบปีก็มี
แต่พลังจิตไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะเพิ่มขึ้นได้ตามชอบใจอย่างง่ายดาย แม้จะใช้การสลักหินของสำนักสิ่วตรงลินลี่ย์ก็เพียงแต่ได้บรรลุและพลังจิตเพิ่มเพียงครั้งเดียว คือตอนอายุสิบหกปี ในช่วงสิบปี เขาฝึกฝนช้าๆ ไม่มีหยุดหย่อนจากนั้นเขาจึงได้บรรลุถึงระดับเก้า
“ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์ลินลี่ย์ไม่ได้เป็นแค่เพียงจอมเวทเท่านั้น ท่านยังเป็นนักรบผู้ทรงพลังด้วยใช่ไหม?” จักรพรรดิโยฮันน์ยิ้มให้ลินลี่ย์
ลินลี่ย์ยิ้มอย่างใจเย็น “ทูลฝ่าบาทพระองค์ให้คนที่อยู่ข้างพระองค์มาทดลองก็ได้”
นักรบระดับเก้าผู้นั้นเม้มริมฝีปาก “เป็นไปได้ว่าอาจารย์ลินลี่ย์เป็นอัจฉริยะขนาดนั้นท่านคงเป็นนักรบระดับเก้าแล้วเช่นกันใช่ไหม?”
“ท่านแลนซี, ไปลองดูได้ แต่ท่านต้องระวังนะ อาจารย์ลินลี่ย์คือคนของตระกูลนักรบเลือดมังกร” โจฮันน์หัวเราะ
แลนซี่ชักดาบใหญ่สีดำทันที
ลินลี่ย์เพียงแต่พลิกมือกระบี่เลือดม่วงก็ปรากฏในมือ สู้กับนักรบระดับเก้า เขาไม่จำเป็นต้องแปลงร่าง
“ฮึ่ม” ชั้นของแสงลวงตาดูเหมือนแสงดาวจะปกคลุมตัวดาบในมือของแลนซี “ท่านแลนซีเป็นศิษย์ของเซียนดาบดารา” โจฮันน์อธิบาย
เซียนดาบดารา?
ลินลี่ย์ไม่แม้แต่จะกังวลต่อให้เซียนดาบดารามาเองก็ตาม อย่าว่าแต่ศิษย์ของเขาเลย
“ควั่บ..”ดาบยักษ์เหมือนกับจะตัดผ่านอากาศใส่ลินลี่ย์ด้วยพลังมหาศาลลินลี่ย์ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ กระบี่เลือดม่วงเปล่งประกายวาบ...
แลนซีจู่ๆก็รู้สึกเหมือนกับว่าทั่วทั้งโลกเต็มไปด้วยแสงสีม่วงและอากาศรอบตัวเหมือนกับติดขัดและแช่แข็งกระทันหัน
“บึ้ม!”ด้านแบนของกระบี่เลือดม่วงฟาดใส่แลนซีจนกระเด็นถอยหลังไปกระแทกกับแผ่นหินแผ่นหินแตกหักและแลนซีกระอักโลหิตทรุดลงกับพื้น
เขายันมือกับพื้นพยุงตัวไว้แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แววตาไม่เหลือความหยิ่งผยองให้เห็นเขาพูดด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ขอบคุณที่ไว้ไมตรีอาจารย์ลินลี่ย์” ด้านแบนของกระบี่แฝงด้วยพลังมหาศาลตอนที่กระแทกใส่เขา ถ้าเป็นคมกระบี่ เขาคงตายไปแล้ว
“แน่นอน แค่การซ้อมมือกันเท่านั้น” ลินลี่ย์พูดตามปกติ
“อาจารย์ลินลี่ย์,ท่านเชี่ยวชาญระดับการใช้พลังฟ้าและดินไปแล้ว ครั้งหนึ่งอาจารย์ของข้าบอกว่าเพื่อเป้าหมายให้บรรลุระดับเซียน นักสู้ต้องเชี่ยวชาญระดับนี้ ข้ายังห่างไกลจากระดับของท่านนักอาจารย์ลินลี่ย์” แลนซีรู้ขีดจำกัดตัวเอง
เมื่อตอนซ้อมมือกับอาจารย์ของเขา เขาเคยมีประสบการณ์ความรู้สึกนี้ว่าพื้นที่รอบตัวเขาถูกแช่แข็งและกักเอาไว้
จักรพรรดิโจฮันนน์หรี่ตาแคบ
ความรู้ของจักรวรรดิเกี่ยวกับนักรบเลือดมังกรค่อนข้างละเอียด ถ้านักสู้ผู้หนึ่งเข้าถึงระดับเก้าในร่างมนุษย์ อย่างนั้นหลังจากอยู่ในร่างมังกรคนผู้นั้นจะมีพลังระดับเซียนแน่นอน และถ้าพวกเขาสามารถเข้าถึงระดับเซียนในร่างมนุษย์ อย่างนั้นในร่างมังกรพวกเขาจะมีพลังที่ไร้เทียมทานในกลุ่มนักสู้ระดับเซียน
“ระดับเซียน...”
สถานะของลินลี่ย์ในใจของโจฮันน์ยังคงเพิ่มอีกต่อไป
“ฮ่าฮ่า...อาจารย์ลินลี่ย์ เจ้าเป็นอัจฉริยะที่เหลือเชื่ออย่างแท้จริงเท่าที่เราเคยพบเห็น แม้แต่โอลิเวอร์ก็ยังมิอาจสำเร็จได้เท่ากับเจ้า” โจฮันน์หัวเราะลั่น
ในฐานะนักรบโอลิเวอร์อาจเทียบเท่ากับลินลี่ย์
แต่ในฐานะจอมเวทเล่า? ใครจะเทียบกับเขาอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์?
ในฐานะประติมากรสลักหินเล่า? ลินลี่ย์ได้รับการยกย่องว่าเป็นประติมากรระดับปรมาจารย์ในวัยสิบหกปี ทุกคนผู้คลั่งไคล้งานประติมากรรมหินสลักล้วนยกย่องเทิดทูนเขา
เป็นเรื่องที่ยากมากว่าจะถึงจุดสูงสุดในด้านใดด้านหนึ่ง แต่สำหรับคนที่ถึงความเป็นเลิศถึงสามด้านมีแต่เพียงคำว่า ‘อัจฉริยะ’เท่านั้นจึงจะใช้อธิบายตัวเขาได้
“ทูลฝ่าบาท” ลินลี่ย์ไม่ต้องการเสียเวลากับโจฮันน์อีกต่อไป “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นานมีหลายอย่างที่ข้าไม่เข้าใจเช่นกัน เกี่ยวกับกิจกรรมของจักรวรรดิ แต่ข้าเข้าใจอย่างหนึ่งว่าวอร์ตันน้องชายข้ารักชอบพอกับนีน่าองค์หญิงเจ็ดอย่างแท้จริงในฐานะที่ข้าเป็นผู้นำตระกูลบาลุคข้าใคร่จะทูลขอราชานุญาตจากฝ่าบาทให้นีน่าแต่งงานเข้าตระกูลบาลุคของข้าด้วยเถิด?”
เมื่อฮ็อกตายลินลี่ย์ก็กลายเป็นผู้นำตระกูลบาลุค
แต่ที่เรียกตระกูลนี้กลับมีสมาชิกอยู่เพียงสองคน
“เรื่องนี้...” โจฮันน์รู้สึกลำบากใจอย่างมาก ที่ถูกลินลี่ย์จู่โจมกระทันหัน
ลินลี่ย์คืออัจฉริยะแน่นอนและหัวใจของโจฮันน์ก็ตื่นเต้นยินดี
มีนักรบระดับเซียนสองสามคนอยู่ในจักรวรรดิโอเบรียน ลำพังวิทยาลัยเทพสงครามก็มีหลายคน แต่จอมเวทระดับเซียนแทบจะนับได้ด้วยมือข้างเดียว และบางทีจะมีเพียงคนเดียวที่ยอมรับฟังคำสั่งราชวงศ์
บางทีในการสู้กันตัวต่อตัวของเซียนจอมเวทก็ไม่ได้ใช้พลังอะไรเป็นพิเศษ
แต่ในช่วงเวลาสงครามเซียนจอมเวทอันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อ
แค่คิดดูถ้าเซียนจอมเวทร่ายคาถาต้องห้ามประเภททำลายล้างใส่เมืองหลวงของท่าน จะเกิดความเสียหายมากมายขนาดไหน? กองทัพเป็นล้านที่ท่านเพียรพยายามสร้างขึ้นมาอาจถูกทำลายรวดเดียวด้วยคาถาต้องห้ามคาถาเดียวเช่น “พายุล้างโลก”
จอมเวทระดับเก้าสองสายธาตุอายุยี่สิบเจ็ด
ถ้ามีคนบอกโจฮันน์ว่าอัจฉริยะเช่นนี้จะไม่สามารถไปถึงระดับเซียนจอมเวทกลายเป็นปรมาจารย์จอมเวทได้ โจฮันน์อาจจะสบถใส่ผู้นั้นว่าเป็นคนปัญญาอ่อน
“มนุษย์อัจฉริยะ”
ความน่าสนใจของจอมเวทระดับเซียนยังสูงส่งมากกว่านักรบระดับเซียนนัก
“อาจารย์ลินลี่ย์ โปรดให้เวลาเราใคร่ครวญก่อน” ทัศนคติของจักรพรรดิโยฮันน์เป็นมิตรอย่างไม่น่าเชื่อ
“ถ้าอย่างนั้นข้ากับน้องชายจะรอการตัดสินพระทัยของพระองค์ด้วยความเคารพ” ลินลี่ย์ทูลอย่างใจเย็นและหัวเราะ “อย่างนั้น ฝ่าบาท, ข้าพระองค์ขอทูลลา”
“อาจารย์ลินลี่ย์ทำไมท่านไม่ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับเราก่อน?” จักรพรรดิโยฮันน์รีบกล่าว
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงพระกรุณา แต่ข้าพระองค์มีกิจกรรมอื่นที่ต้องร่วม” ลินลี่ย์ทูลด้วยรอยยิ้มแววผิดหวังปรากฏอยู่บนใบหน้าของโจฮันน์ แต่เขาไม่พยายามกดดัน เขายิ้ม “อย่างนั้นโอกาสหน้าก็แล้วกัน”
ลินลี่ย์และวอร์ตันเดินออกมาจากภายในวัง วอร์ตันตื่นเต้นมาก “พี่ใหญ่, ข้าไม่เคยเห็นฝ่าบาทยอมอ่อนข้อขนาดนั้นมาก่อน แม้ยามเผชิญหน้ากับบลูเมอร์ เขาก็ไม่ได้โอนอ่อนมากนัก”
“จักรวรรดิโอเบรียนมีนักรบระดับเซียนหลายคน แต่จอมเวทระดับเซียนมีน้อยมาก” ลินลี่ย์หัวเราะอย่างใจเย็น “มีแนวโน้มว่าเขาให้คุณค่าพรสวรรค์ในทางเวทของข้า”
จอมเวทระดับเก้าสองสายธาตุอายุยี่สิบเจ็ดปี
ใครที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้คงต้องหวาดหวั่นจนคิดอะไรไม่ออก
ไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ว่าลินลี่ย์จะทรงพลังมากขนาดไหนในอนาคต
“ตัดสินจากสีหน้าของฝ่าบาทมีแนวโน้มว่าเขาเริ่มไตร่ตรองหลายอย่างจริงจัง ข้าก็อยู่ในจักรวรรดิมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนักเวทระดับเซียนเลย” วอร์ตันถอนหายใจอย่างมีอารมณ์
จักรวรรดิโอเบรียนมีนักเวทระดับเซียนอยู่น้อยมากจริงๆ
“หืม?” ทันใดนั้นวอร์ตันเห็นใครบางคนจากที่ไกล
เมื่อสังเกตได้ว่าวอร์ตันชะงักลินลี่ย์อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “เจ้ามองดูอะไรอยู่?”
“โอว เป็นวอร์ตันนั่นเอง อะไรเจ้ามาเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ?” เสียงเย็นชาดังขึ้น ลินลี่ย์หันไปมองเช่นกัน แค่เพียงชำเลืองมอง ลินลี่ย์สามารถบอกได้ว่าบุรุษหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่อ่อนแอ
“บลูเมอร์, เจ้ามาทำอะไรที่นั่น?” วอร์ตันถามเสียงเย็นชา
วอร์ตันคุ้นเคยกับส่วนต่างๆของวังหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีกด้านที่นีน่าองค์หญิงเจ็ดพักอาศัยอยู่ ทางที่บลูเมอร์ตรงไปก็คือสถานที่พำนักของนีน่า
บลูเมอร์หัวเราะอย่างใจเย็น “อะไรกัน? ข้าได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมองค์หญิงนีน่าไม่ใช่หรือ?”
“เยี่ยมองค์หญิงนีน่า?” วอร์ตันสงบมากขึ้นทันที “บลูเมอร์ ข้าจะพนันได้เลยว่าเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านประตูใหญ่เข้าไปด้วยซ้ำ”
ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน
บลูเมอร์ไปเยี่ยมนีน่า แต่นีน่าปิดประตูใส่หน้าเขา ปฏิเสธที่จะพบเขา
หัวใจของบลูเมอร์เต็มไปด้วยความโกรธกับเรื่องนี้ ตลอดชีวิตของเขานอกจากพี่ชายของเขาซึ่งเขาเทิดทูน เขาไม่เคยลดตัวต่อหน้าใคร หลังจากกลายเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามแล้ว เขายิ่งมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
“ไม่, ข้าไม่สามารถเข้าไปได้”
วอร์ตันหัวเราะอย่างใจเย็น “บลูเมอร์เจ้านึกว่าเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามแล้ว เจ้าจะสามารถแต่งงานกับนีน่าได้หรือ? ฝันไปเถอะ! พี่ใหญ่, ไปกันเถอะ”
ลินลี่ย์ส่ายศีรษะและยิ้มอย่างสงบ จากนั้นหันกายเดินไปพร้อมกับน้องชาย
“ช้าก่อน!” บลูเมอร์ตะโกนทันที
“โอว?” วอร์ตันหันมามองเขา “ข้าขอถาม โอวศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ จะทำอะไรตามที่เจ้าต้องการได้หรือ?”
บลูเมอร์จ้องมองเขาอย่างใจเย็น “วอร์ตัน ข้าได้ยินว่าเจ้ามาจากตระกูลนักรบเลือดมังกรและถ้านั่นทรงพลังจริงหลังจากเจ้าแปลงกาย แต่ข้าไม่เชื่อเรื่องนั้น วันนี้ข้าจะขอท้าประลองกับเจ้าอย่างเป็นทางการ เจ้าจะยอมรับไหม?”
ลินลี่ย์หรี่ตาอย่างช่วยไม่ได้
วอร์ตันตกใจเล็กน้อยจากนั้นก็หัวเราะลั่น “มีอะไรที่ข้าต้องกลัว?”
“อีกหนึ่งเดือนจากนี้ ที่สนามประลองของเมืองหลวงข้าจะเชิญฝ่าบาทและศิษย์ร่วมสำนักของข้ามาจากวิทยาลัยเทพสงครามมาร่วมชม ถ้าเจ้าไม่มีความกล้าพอเข้าร่วม เจ้าสามารถยอมแพ้ได้” บลูเมอร์พูดเย็นชา
จากนั้นบลูเมอร์ไม่สนใจวอร์ตันต่อไปและเดินจากไปทันที