ตอนที่ 29 : สร้างความคุ้นเคย
เมื่อได้ฟังคำตอบของหลินมู่ ทหารสั่งทหารรับจ้างสองคนให้เตรียมเนื้อหมาป่าหลังเหล็กขณะที่สองคนที่เหลือดูแลผู้บาดเจ็บ หัวหน้าทหารรับจ้างบอกให้หลินมู่รอสักหน่อยและยื่นน้ำเต้าเหล้าให้ ซึ่งหลินมู่ปฏิเสธอย่างสุภาพ
ขณะที่รอทหารรับจ้างเสร็จหน้าที่ หลินมู่ถามหัวหน้าเพื่อรวบรวมข้อมูล
“พวกท่านมาจากทหารรับจ้างใดรึ?”
หลินมู่ถาม
“ข้าชื่อหยางจงจากทหารรับจ้างโลหิตคลั่ง แล้วน้องชายมีนามว่าอะไรเล่า?”
หยางจงถาม
หลินมู่ไม่รู้ว่าควรจะบอกชื่อจริงกับเขาหรือไม่ แต่หลังจากที่คิดก็ตัดสินใจบอกชื่อจริง แม้ว่าเขาจะพยายามยืนยันตัวตนของหลินมู่ว่าเป็นศิษย์นิกายใด มันก็ไม่สำคัญเพราะว่าชื่อของเขานั้นมิได้พิเศษ
“ข้าชื่อหลินมู่”
“อา น้องหลินมู่นี่เอง โปรดรับคารวะข้าด้วย”
หยางจงประสานมือ
หลินมู่ตกใจกับระดับมารยาทที่หยางจงให้ ซึ่งแท้จริงแล้วนี่เป็นการให้เกียรติที่สูงส่งที่สุดที่หลินมู่เคยได้รับ มันทำให้เขานึกถึงเกียรติยศของผู้บ่มเพาะพลังและการเป็นหนึ่งในศิษย์ของนิกาย แม้ว่าจะเป็นแค่นิกายต่อสู้ที่ไม่ใช่นิกายบ่มเพาะ
นิกายต่อสู้นั้นนับว่าด้อยกว่านิกายบ่มเพาะและมีหลายนิกายที่เป็นส่วนย่อยของนิกายบ่มเพาะพลัง นิกายต่อสู้นั้นจะฝึกศิษย์ในขอบเขตฝึกร่างกายและคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดจะได้ไปเข้าร่วมกับนิกายบ่มเพาะ นิกายต่อสู้มากมายยังฝึกฝนทหารขั้นสูงเพื่อกองทัพของเมืองด้วย ทหารระดับสูงในเมืองอู๋หลิมเองก็ถูกฝึกโดยนิกายต่อสู้
“พวกท่านมาจากเมืองใดรึ?”
หลินมู่ถาม
“พวกเรามาจากเมืองเซี่ยงเหว่ยในทางใต้ มันเป็นเมืองใหญ่ที่มีทหารรับจ้างอยู่หลายกลุ่ม”
หยางจงตอบ
หลินมู่ได้ยินชื่อเมืองเซี่ยงเหว่ยมาก่อน มันใหญ่กว่าเมืองอู๋หลิมและเจริญรุ่งเรืองกว่า ต้องใช้เวลา 15 วันถึงจะเดินทางถึงเมืองผ่านรถม้า หลินมู่คิดถึงเหตุผลที่มีทหารรับจ้างหลายกลุ่มเข้ามาในเมือง
“แล้วรู้หรือไม่ว่าทำไมถึงมีทหารรับจ้างตั้งหลายกลุ่มมาที่เมืองเหนือ?”
หลินมู่ถามด้วยใบหน้าสงสัย
“จากที่ข้ารู้ เจ้าเมืองอู๋หลิมได้จ้างทหารรับจ้างหลายกลุ่มเพื่อล่าสัตว์ให้เขา”
หยางจงตอบ
“สัตว์อะไรรึ?”
หลินมู่ถาม เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าเมืองถึงต้องใช้เงินไปมากมายกับทหารรับจ้างถ้าหากเขาสั่งนายพรานให้ทำแบบเดียวกันได้
“เราโดนจ้างให้ล่าให้มากที่สุดเท่าที่ล่าได้ สิ่งเดียวก็คือพวกสัตว์จะต้องมีร่างกายในขั้น 5 ขึ้นไป”
หยางจงตอบพลางคิด
นี่เป็นคำตอบที่หลินมู่เข้าใจ เพราะนายพรานส่วนใหญ่แทบจะล่าสัตว์ขั้น 7 ตัวเดียวไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าหากเจ้าเมืองต้องการสัตว์เป็นจำนวนมากก็มีเพียงแค่กลุ่มทหารรับจ้างเท่านั้นที่จะทำได้
“พวกท่านก็เลยล่าจนมาถึงตอนนี้น่ะรึ?”
หลินมู่ถามต่อ
“ใช่ พวกข้าล่าที่นี่มาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ส่วนกลุ่มชั้นสูงก็เข้าไปล่าในป่าที่ลึกกว่ามาเป็นเดือน พวกเราถูกแบ่งเป็นหลายกลุ่มตามระดับพลังแล้วก็ส่งไปตามพื้นที่ที่ต่างกันในป่า”
หยางจงบรรยาย
หลินมู่ไม่รู้ว่ามีทหารรับจ้างอยู่ในป่ามาเกินหนึ่งเดือน เขาสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นคนเหล่านั้นเลยในเมือง จากนั้นจึงหันไปสนใจหมาป่าหลังเหล็กที่ออกมาจากป่าลึกถึงที่นี่ เพราะพวกมันอยู่ในป่าลึกกว่านี้มาก
“ทำไมพวกท่านถึงได้เจอหมาป่าหลังเหล็กตรงนี้ล่ะ?”
หลินมู่ถาม
“เราเจอฝูงเล็กฝูงนี้จากระยะไกล พวกเขากำลังพักใกล้ ๆ ในตอนทีท่คนของเราได้ยินเสียงหอน ถึงตอนนั้นเราก็ไปดูแล้วก็ทำให้มันเจอตัวโดยไม่คาดคิด”
หยางจงตอบ
“แต่มันต้องอยู่ในป่าลึกกว่านี้มากไม่ใช่รึ?”
หยางจงสับสนเล็กน้อยและเงียบไปก่อนจะตอบ
“เราได้ยินจากทหารรับจ้างกลุ่มอื่นว่ามีสัตว์อสูรตัวหนึ่งทำให้สัตว์ร้ายในป่ากระจัดกระจายออกมาจากอาณาเขตของพวกมัน”
หลินมู่เดาว่าจะต้องเป็นสัตว์ร้ายที่ร้องคำรามให้สัตว์อื่นหลุดออกมาแน่ แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นสัตว์อสูร
“พวกเขารู้ไหมว่าเป็นสัตว์อสูรอะไร?”
หลินมู่ถาม
“ไม่เลย ไม่มีใครได้เห็นมัน ได้ยินแค่เสียงร้องคำรามเท่านั้น”
หยางจงตอบ
หลินมู่นึกถึงกลุ่มทหารรับจ้างเขี้ยวแดงที่ถูกสัตว์อสูรโจมตี
“หรือว่าจะเป็นสัตว์อสูรตัวเดียวกับที่โจมตีกลุ่มทหารรับจ้างเขี้ยวแดงนะ?”
หลินมู่พูดความคิดตัวเองออกมา
หยางจงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดของหลินมู่
“โอ้ เจ้ารู้เรื่องนั้นด้วยรึ?”
หยางจงถาม
“อ๊ะ ใช่ ข้าเห็นทหารรับจ้างบาดเจ็บมาที่เมืองเมื่อหลายวันก่อน”
หลินมู่ตอบ
ในตอนนั้นเองทหารรับจ้างคนหนึ่งก็กลับมาและพูด
“ทหารรับจ้างเขี้ยวแดงคนที่บาดเจ็บสาหัส ตายไปแล้วเมื่อสองวันก่อน”
หลินมู่และหยางจงหันไปมองชายที่มานั่งรวมตัวกับพวกเขา เขาเป็นหนึ่งในทหารรับจ้างที่บาดเจ็บจากการต่อสู้กับหมาป่าหลังเหล็ก เขามีผ้าพันแผลแล้วเรียบร้อยและดูดีขึ้นกว่าเดิม
“นี่คือน้องห่าว”
หยางจงแนะนำให้หลินมู่
หลินมู่พยักหน้า
“แผลเขาน่ากลัวมากตอนที่ข้าเห็น”
“ใช่ ทหารรับจ้างเขี้ยวแดงไม่พอใจมากเพราะเรื่องนี้ พวกเขาขอให้กลุ่มชั้นสูงของตัวเองไปค้นหาและฆ่าสัตว์อสูรนั่น”
หยางจงพูด
“แล้วพวกเขาโชคดีหาเจอหรือไม่?”
หลินมู่ถาม
“ไม่ล่ะ พวกเขายังตามหามันอยู่เลย”
หยางจงตอบ
หลินมู่กับชายอีกสองคนเงียบไปและรอให้หมาป่าถูกชำแหละเสร็จ 10 นาทีต่อมาพวกทหารรับจ้างที่ถูกใช้ให้ชำแหละหมาป่าก็นำเนื้อมาให้หลินมู่ ชายทั้งสองถลกหนังและเครื่องในออกไปแล้ว พวกเขายังหั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อที่จะถือได้ง่ายด้วย
น้ำหนักของเนื้อหมาป่าหลังเหล็กสามตัวคือเกิน 80 กิโลกรัมเล็กน้อย หลินมู่มีร่างกายขั้น 6 อยู่แล้ว มันไม่ยากที่เขาจะแบกน้ำหนักเท่านี้และเขาเพียงแค่แบกมันสักระยะหนึ่งก่อนจะเก็บใส่แหวน
“ลาก่อนน้องหลินมู่ ขอให้เราได้พบกันอีก”
หยางตงพูด
หลินมู่กล่าวลากลุ่มทหารรับจ้างก่อนจะกลับกระท่อม
‘วันนี้ข้าได้เนื้อมาเต็มเลย อดใจรอชิมไม่ไหวแล้ว แล้วยังเป็นหมาป่าหลังเหล็กที่มีร่างกายขั้น 7 อีก พวกมันจะต้องมีพลังชีวิตมากแน่ ๆ’
หลินมู่คิดด้วยความตื่นเต้น
ยังเหลือเวลาก่อนอาทิตย์ตกดิน หลินมู่จึงฝึกหมัดทลายศิลาต่อ เขามีความก้าวหน้าแล้วและอยากจะทำให้ได้แบบเดิมอีกครั้ง
หลินมู่ยืนตั้งท่าใช้พลัง เขาฝึกต่อไปจนกระทั่งหลายชั่วโมงหลังอาทิตย์ลับนภา ในตอนนี้ หมัดของเขาสามารถสร้างลมแรงสั้น ๆ ที่ทำให้ใบไม้รอบ ๆ สั่นไหว
หลังจากฝึกอีกหนึ่งชั่วโมงเขาก็หยุดกินมื้อค่ำ เขาย่างเนื้อหมาป่าหลังเหล็กที่ส่งกลิ่นสุดยอดออกมา เขากินเนื้อและรู้สึกถึงความต่างในพลังชีวิตทันทีถ้าเทียบกับหมูป่าจมูกแดง
ความเข้มข้นของพลังชีวิตนั้นเกือบจะเป็นสองเท่าของหมูป่าจมูกแดงและทำให้เขารู้สึกอิ่มแม้ว่าจะกินเนื้อที่ปรุงมาแล้วไม่ถึงครึ่ง เมื่อเข้าใจว่าเขามิอาจกินมันได้หมดในคราวเดียว หลินมู่จึงนั่งสมาธิท่องบทสงบใจ
เขาหยุดเมื่อพลังชีวิตเจ็ดในสิบส่วนถูกดูดซับแล้ว จากนั้นจึงพยายามกินเนื้อส่วนที่เหลือให้หมด หลินมู่กินมันทั้งหมดและรู้สึกอิ่มเป็นอย่างมาก เขาฝึกหมัดทลายศิลาต่อไปจนถึงเที่ยงคืน ในตอนนั้นเองเขารู้สึกว่ารอยแยกมิติกำลังจะเปิด
หลินมู่หยุดฝึกและรอให้รอยแยกมิติเปิดออก เขาขยับตัวไม่หลายศอกและรอยแยกมิติก็เปิดตรงหน้า มือของเขาถูกดูดเข้าไปอย่างเคย และเขาก็เริ่มค้นหาของที่วันนี้จะได้
เขาใช้เวลาห้านาทีในการควานหาของในรอยแยกมิติ จากนั้นเมื่อสัมผัสบางอย่างที่คล้ายเสื้อผ้าได้เขาก็ดึงมือออกมาจากรอยแยกมิติและเรียกของสิ่งนั้นออกมา ของที่เจอครั้งนี้คือชิ้นผ้าที่ดูเก่าแก่และเสียหาย
หลินมู่รู้สึกชินกับการเจอของเช่นนี้ในรอยแยกมิติเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจและเก็บมันใส่แหวน จากนั้นจึงเข้ากระท่อมเตรียมตัวนอน การหลับนั้นก็แค่การมีเวลาฝึกฝนเพิ่มสำหรับหลินมู่นั่นเอง
‘ข้าว่าอีกไม่นานข้าคงใช้หมัดทลายศิลาได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว’
หลินมู่คิด
‘ข้าต้องทะลวงพลังเป็นขั้น 7 ให้ได้โดยเร็ว ตอนนี้รู้สึกว่าข้ามาได้ครึ่งทางแล้ว’
หลินมู่คิดต่อไป
หลินมู่ไม่เคยจินตนาการเลยว่าเขาจะก้าวหน้าในกายบ่มเพาะร่างกายได้รวดเร็วขนาดนี้ เพราะแม้แต่คนที่มีวิชาฝึกตนก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเป็นขั้น 7 เขาไม่รู้เลยว่าเขาโชคดีเพียงใดที่ได้มีบทสงบใจไว้ฝึกตน