ตอนที่ 250 – ตอนที่ 231 โชคครั้งใหญ่ของเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางและสามสาวยังคงเดินมุ่งหน้าคว้าชัยชนะต่อ พวกเขามุ่งไปที่วิหารตาชั่งต่อไป
มันแตกต่างจากวิหารก่อนหน้านี้ วิหารตาชั่งมีข้อจำกัดในการมองเห็นที่เป็นข้อบังคับของกฎโบราณ แม้แต่เย่ว์หยางผู้มีทักษะนัยน์ตาราตรีและญาณทิพย์ระดับ 4 ก็ยังไม่สามารถเห็นอะไรได้ด้วยตาเขาเองในสถานที่แบบนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาไม่เห็นศัตรู ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเย่ว์หยางและหญิงสาวทั้งสามนางที่จะผ่านด่านวิหารตาชั่งได้ โชคดีที่ได้ความร่วมมือกันของเสี่ยวเหวินหลี, โคเงาและปีศาจดอกหนาม พวกเขาจึงผ่านด่านวิหารตาชั่งได้สำเร็จ
เย่ว์หยางได้รับสมบัติเป็นตาชั่งทองคำชิ้นหนึ่ง
โคเงาอาหมันและปีศาจดอกหนามได้รับรางวัลคือ ปัญญา
สำหรับเสี่ยวเหวินหลี หลังจากทำลายกระบี่ชั้นทอง “ประหารมาร” ของอสูรพิทักษ์วิหารตาชั่งแล้ว อาวุธคู่มือเธอ ดาบคู่ได้ดูดกลืนพลังของกระบี่ และเพิ่มชั้นอาวุธคู่มือจากชั้นแพลตตินัมสีทองเข้ม ขึ้นเป็นระดับเพชร
ระดับแพลตตินัมจะถูกเรียกว่า ระดับทองเข้มในโลกปีศาจ แตกต่างจากที่เรียกกันในทวีปมังกรทะยานเล็กน้อย
มุ่งสู่วิหารแมงป่อง
วิหารแมงป่องเป็นวิหารที่แปด ตั้งอยู่ในทะเลทราย มีแมงป่องทองแดงและแมงป่องเงินนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ในทรายทั่วบริเวณ
ยิ่งไปกว่านั้น วิหารแมงป่องยังถูกฝังอยู่ใต้เนินทราย เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เย่ว์หยางจึงไม่สามารถฆ่าแมงป่องทองอสูรพิทักษ์ประจำวิหารแมงป่องได้ อย่างไรก็ตาม เขาทำร้ายมันจนบาดเจ็บสาหัสจนได้และได้รับสมบัติชั้นทอง “ถุงมือแมงป่อง” เย่ว์ปิงได้รับรางวัลมีค่ามากที่สุดในการผ่านด่านนี้ ทักษะแฝงเร้น-พิษร้ายของเย่ว์ปิงได้รับการยกระดับ และยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้รับทักษะใหม่เพิ่มขึ้น ยางพิษ ถ้าสัตว์อสูรต่ำกว่าระดับทองถูกโจมตีด้วยทักษะนี้ โอกาสที่จะรักษาหายแทบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้านักรบต่ำกว่าระดับที่ 6 ถูกโจมตีด้วยทักษะนี้ บางทีพวกเขาอาจเสียชีวิตทันทีก็เป็นได้ โชคดีที่เย่ว์ปิงผู้มีจิตใจอ่อนโยนได้ครอบครองทักษะนี้ ถ้าเป็นคนอื่นได้ครอบครองทักษะที่น่ากลัวอย่างนี้ ทวีปมังกรทะยานทั้งหมดอาจตกอยู่ในความปั่นป่วนก็ได้
หลังจากพักสองชั่วโมง เย่ว์หยางนำหญิงสาวทั้งสามเข้าในวิหารคันธนู
วิหารที่เก้าคือวิหารคันธนูตั้งอยู่ภายในป่าเขาที่มีเซนทอร์ (อสูรครึ่งคนครึ่งม้า) นับไม่ถ้วน
ธนู, หลาว, ขวานรบ..
พวกเซนทอร์เข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อนทันทีที่เย่ว์หยางและพวกย่างเท้าเข้ามา
หลังจากผ่านการต่อสู้และบุกโจมตีเป็นร้อยครั้ง เย่ว์ปิงและอี้หนานก็ไม่สามารถเรียกคัมภีร์ของพวกนางออกมาช่วยได้ แต่ระดับสถานะนักสู้ของพวกนางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อี้หนานมีระดับเพิ่มขึ้นเป็นนักสู้ระดับ 5 (ยอดฝีมือ) ขณะที่เย่ว์ปิงยกระดับเป็นนักสู้ระดับ 4 (วีรสตรี) มีแต่เย่ว์หยางที่ยังคงเป็นนักสู้ระดับ 2 (ผู้กล้า) เหมือนเดิม
เมื่อเย่ว์หยางนำหญิงสาวทั้งสามเข้าวิหารคันธนู จ้าวอสูรทองเซนทอร์ที่มีร่างขนาดยักษ์พอๆ กับอาคารรอพวกเขาอยู่ข้างใน
เพื่อช่วยเย่ว์หยางให้รักษาเรี่ยวแรงของเขาไว้ หญิงงามลึกลับเริ่มบุกโจมตีและต่อสู้อย่างดุเดือดกับจ้าวเซนทอร์ทอง
ด้วยความช่วยเหลือของเย่ว์หยาง หลังจากต่อสู้อย่างยากลำบากในที่สุดทั้งสามนางก็เอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งได้ในที่สุด
จ้าวเซนทอร์ทองกลายเป็นรูปสลักหินขนาดยักษ์หลังจากที่มันตายจากอาการบาดเจ็บหนัก วิญญาณของมันกลายเป็นแสงสีทองพุ่งขึ้นท้องฟ้า
ตอนแรก เย่ว์หยางคิดว่าพวกเขาจะได้รับธนูทองในมือของจ้าวเซนทอร์ทองเป็นรางวัล นึกไม่ถึงเลยว่ามันก็เปลี่ยนเป็นหินด้วยเช่นกัน บนพื้นที่ต่อสู้ มีเพียงกีบม้าทองคำเล็กๆ สี่ชิ้นเหลืออยู่ในที่สุด ในฐานะเป็นผู้นำต่อสู้ หญิงงามลึกลับตัดสินใจยกกีบม้าทองคำนำโชคให้อี้หนาน ในที่สุด หลังจากได้รับกีบม้าทองนำโชคและรางวัลเพิ่มปัญญาจากการผ่านด่าน เพกาซัสของอี้หนานก็ได้ยกระดับจากอสูรชั้นเงินเป็นอสูรชั้นทอง
อาจกล่าวได้ว่าแม้ว่าหญิงงามลึกลับต่อสู้อย่างยากลำบากที่สุด แต่อี้หนานผู้โชคดีกลายเป็นผู้ที่ได้รับรางวัลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการผ่านด่านวิหารคันธนูได้
“เราอยู่ข้างในนานเกินไปแล้ว เชี่ยนเชี่ยนและโล่วฮัวจะห่วงเราได้ อีกอย่างพวกเราก็เหนื่อยมากแล้วกับการต่อสู้ของเราด้วย เย่ว์หยาง! เจ้าควรจะลุยต่อไป ข้าจะออกไปส่งข่าวให้เชี่ยนเชี่ยนและโล่วฮัวเพื่อไม่ให้พวกนางต้องรอด้วยความกังวลเกินไป” หญิงงามลึกลับผู้เหนื่อยอ่อนตัดสินใจออกไปส่งข่าวให้เชี่ยนเชี่ยนและคนอื่นๆ ทราบว่าพวกเขายังอยู่ดี
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าก็จะกลับพร้อมกับพี่อู๋เสียด้วย ข้าก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วเหมือนกัน”
ความจริงอี้หนานยังหวังว่าจะสามารถสู้เคียงข้างเย่ว์หยาง แต่ในวิหารคันธนูนี้นางเหนื่อยล้าจริงๆ ถ้านางยังคงอยู่ต่อไป นางอาจเป็นได้แค่เพียงตัวถ่วงเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางยังคงไม่เป็นไรถ้าเขาจำเป็นต้องปกป้องเย่ว์ปิง แต่เขาจะต้องใช้พลังมากเกินไปเพื่อปกป้องนางด้วยเช่นกัน ดังนั้น อี้หนานตัดสินใจออกไป วิหารสิบสองนักษัตรเต็มไปด้วยการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา ไม่มีแม้แต่วิหารเดียวที่จะผ่านด่านได้ง่ายๆ วิหารเทพสตรีเดิมทีก็ผ่านได้ยากที่สุด แต่นางไม่ได้หลงไปกับภาพมายาด้วย ดังนั้นนางจึงผ่านด่านได้ นางไม่จำเป็นต้องสู้ในวิหารตาชั่ง เพื่อไม่ให้วุ่นมากเกินไป มีเพียงวิหารแมงป่องและวิหารคันธนูที่อี้หนานตระหนักได้ว่าลำบากมากมายแค่ไหนกว่าจะผ่านด่านแต่ละวิหารได้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเย่ว์หยางมาร่วมผ่านด่านด้วยกันกับนาง นางคงถอยไปนานแล้ว
แม้ว่ารางวัลจากการผ่านด่านจะมีผลตอบแทนที่มากมาย แต่นางจะสู้ต่อไปได้อย่างไร ถ้านางยังมีความสามารถน้อยเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้?
แค่นี้ก็ปาฏิหาริย์แล้วที่นางทำมาได้จนถึงตอนนี้
ในทางตรงกันข้าม เย่ว์ปิงยังคงลังเลเล็กน้อย นางยังคงมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่บ้าง แต่เนื่องจากหญิงงามลึกลับและอี้หนานต้องการออกไป นางจึงพูดเบาๆ “ข้า..ข้าก็จะกลับไปด้วย!”
เย่ว์หยางคิดว่าเด็กคนนี้ยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้นเขาแนะนำว่า “ปิงเอ๋อ! ค่อยกลับหลังจากผ่านอีกด่านหนึ่งเป็นไง? ถ้าเจ้าเหนื่อย ข้าจะแบกเจ้าขึ้นหลังก็ได้…”
หญิงงามลึกลับและอี้หนานก็แนะนำให้เย่ว์ปิงอยู่ต่อ
พวกนางรู้สึกว่าเย่ว์ปิงมีศักยภาพที่ไม่มีขีดจำกัด นางยังคงมีโอกาสก้าวหน้ามาก ดังนั้นนางควรจะอยู่ฝึกกับเย่ว์หยาง
“ไม่, ไม่เป็นไร ถ้าข้ารั้งอยู่ ข้าก็ไม่สามารถช่วยพี่สามได้ มีแต่จะเป็นตัวถ่วงเขา ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ระดับนักสู้ของข้าเพิ่มขึ้นมากแล้ว ข้ายังไม่ได้ทำความรู้เข้าใจกับความก้าวหน้าของข้าได้อย่างเต็มที่เลย” เย่ว์ปิงคิดจริงว่า ถ้านางยังรั้งอยู่และรับรางวัลจากการผ่านด่าน นางก็เหมือนชิงส่วนแบ่งรางวัลจากพี่ชายนาง ถ้าพี่ชายนางได้รับรางวัลเองทั้งหมด อย่างนั้นพลังของเขาก็จะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
เย่ว์ปิงรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องเพิ่มพลังให้พี่ชายของนาง นางรับรางวัลมามากมายแล้ว นางควรจะรู้จักพอได้แล้ว
ภายใต้การยืนกรานของนาง เย่ว์หยางไม่สามารถฝืนใจให้นางอยู่ต่อได้
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงต้องทำภารกิจในที่สถิตทั้งสามคือ ฟ้า ดินและมนุษย์เมื่อพวกเขาผ่านด่านสิบสองนักษัตรไปแล้วและขึ้นไปยังหอทงเทียนชั้นที่สอง หลังจากผ่านสามภารกิจไปแล้วก็จะยังมีภารกิจสามโลกในหอทงเทียนชั้นที่สาม ขณะที่ชั้นที่สี่ ห้าและหก มีภารกิจมากกว่าจนนับไม่ถ้วนรอพวกเขาอยู่ ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลว่าจะพลาดโอกาสฝึกฝนก้าวหน้า
หญิงงามลึกลับไม่สามารถคัดค้านการตัดสินใจของอี้หนานและเย่ว์ปิงได้ เมื่อนางเห็นการยืนกรานของพวกนาง
นางกระซิบเตือนให้เย่ว์หยางระมัดระวัง และว่าถ้าเขาเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ เขาควรจะออกมาก่อนและค่อยมาสู้ใหม่ในโอกาสต่อไป ที่สำคัญที่สุดคือเขาผ่านด่านวิหารคนคู่และวิหารเทพสตรีที่ยากที่สุดได้แล้ว
อี้หนานก็ต้องการจะคุยกับเย่ว์หยางตามลำพัง แต่นางยังเขินอายเล็กน้อย นางเอาแต่ก้มหน้า ไม่กล้าสบตาเย่ว์หยาง
นางหน้าแดงผ่าวไปทั้งหน้าจนถึงหู นางฉุดมือเย่ว์ปิงและไล่ตามหญิงงามลึกลับออกไปด้วยกัน
หลังจากส่งสามสาวออกไปแล้ว เย่ว์หยางมุ่งหน้าต่อไปยังวิหารมังกร
วิหารมังกรตั้งอยู่ในแม่น้ำใหญ่ที่เต็มไปด้วยนางเงือก มนุษย์ตะกวดและสัตว์ประหลาดน้ำเข้าโจมตีใส่เย่ว์หยางต่อเนื่อง เสี่ยวเหวินหลีไม่จำเป็นต้องสู้เองเลย เมดูซาศิลาและนางเงือกวายุก็สามารถทำให้แม่น้ำเต็มไปด้วยซากนางเงือกและสัตว์ประหลาดน้ำ สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คือความจริงที่ว่าเมดูซาศิลาสามารถเรียกฉลามเสือทองได้ด้วย นางสั่งให้ฉลามเสือทองเล่นงานนางเงือกและสัตว์ประหลาดน้ำเหลือผิวน้ำทั้งหมด พอเผชิญกับการโจมตีจากข้างล่างและเหนือน้ำ นางเงือกและสัตว์ประหลาดน้ำพ่ายแพ้สิ้นเชิงและบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ใกล้กับตำหนักใหญ่ริมแม่น้ำ มีอสูรพิทักษ์วิหารมังกรอาศัยอยู่ มันสามารถเปลี่ยนร่างเป็นนางเงือกเป็นแกะทองคำกลับไปกลับมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันมีทักษะเวทมนต์ที่น่ากลัว
ตอนแรก ฉลามเสือทองมีพลังมาก อย่างไรก็ตามหลังจากที่อสูรพิทักษ์วิหารมังกรเรียก “ลูกบอลเงาแกะ” ของมันออกมา ฉลามเสือทองก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นแกะน้อยที่ไม่มีอันตรายทันที
จากเดิมที่มันเป็นจ้าวทะเล แต่ตอนนี้มันเกือบจะจมน้ำตาย
อสูรพิทักษ์กลายเป็นกระตุ้นโทสะของเสี่ยวเหวินหลี นางนำเมดูซ่าศิลา, เงือกวายุและนาคาสายฟ้าไล่ตามอสูรพิทักษ์วิหารมังกรลงไปในใต้น้ำ และทำร้ายมันจนบาดเจ็บสาหัส
อสูรพิทักษ์รีบหนีกลับมาที่ริมแม่น้ำ
เมื่อมันเพิ่งกลายร่างเป็นแกะทอง มันโชคร้ายถูกนางพญากระหายเลือดที่หมอบรอซุ่มโจมตีใช้มีดทองฆ่ามังกรแทงทำร้ายมัน มันแทบจะพบจุดจบอย่างน่าสังเวช
ถ้าเย่ว์หยางสู้ด้วยตนเองได้ ต่อให้มันมีสองชีวิตก็ต้องตายอย่างแน่นอน แต่เย่ว์หยางถูกกฎโบราณจำกัดความสามารถไว้ไม่สามารถสู้ด้วยตัวได้ อสูรพิทักษ์วิหารที่แปลงร่างเป็นแกะทองเกือบถูกนางพญากระหายเลือดฆ่าจึงหลบหนีได้สำเร็จในที่สุด บางทีมันคงยอมรับความจริงที่ว่าเย่ว์หยางผ่านด่านสำเร็จแล้ว ดังนั้น ทันทีเมื่อนางพญากระหายเลือดจะพุ่งเข้ามาสังหารอสูรพิทักษ์วิหาร มันกลายรูปเป็นลำแสงสีทองและหายไปทันที ทิ้งไว้เพียงกลุ่มขนแกะทองคำไว้บนพื้น
ขนแกะทองคำยังนับว่าเป็นสมบัติชั้นทองด้วยหรือ?
เย่ว์หยางประหลาดใจอย่างมาก
ภายใต้การตรวจสอบด้วยญาณทิพย์ระดับ 4 เขาก็รู้ได้ว่าขนแกะทองคำที่นุ่มผืนนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง
บางทีเป็นเพราะการโจมตีสุดท้ายของนางพญากระหายเลือดเกือบฆ่าอสูรพิทักษ์วิหารมังกรได้ นางจึงได้รับทักษะเวทมนต์แปลงเป็นแกะเป็นรางวัล
แน่นอนว่า รางวัลทักษะใหม่ของนางยังเป็นเพียงระดับที่ 1 มันยังเทียบไม่ได้กับทักษะแปลงเป็นแกะของอสูรพิทักษ์วิหารมังกร แต่มนต์แปลงร่างเป็นแกะของนางพญากระเลือดในปัจจุบันนี้สามารถใช้ได้กับสัตว์อสูรที่ต่ำกว่าชั้นทอง ระดับ 6..
แม้ว่ามันจะมีร่างกายอ่อนแอ แต่เย่ว์หยางรู้สึกว่าทักษะนี้ดีมากจริงๆ มันมีพลังแฝงเร้นอยู่มาก
ในอนาคตเมื่อมันเพิ่มระดับขึ้นอีก บางทีเขาอาจใช้มันกับคู่ต่อสู้ของเขาและจบการต่อสู้ได้เร็วมากยิ่งขึ้น
แค่คิดถึงเรื่องที่ ศัตรูของเขาใช้ความสามารถมากมายในการเรียกอสูรที่แข็งแกร่ง แต่นางพญากระหายเลือดก็สามารถเปลี่ยนให้มันเป็นลูกแกะที่ไม่มีอันตรายได้ทันที มีหรือที่ศัตรูของเขาจะไม่ร้องไห้จนตาย?
หลังจากได้รับพลังที่วิหารมังกรแล้ว เย่ว์หยางยังคงมุ่งหน้าต่อไปยังวิหารที่สิบเอ็ด วิหารกุณโฑ
อสูรที่คุ้มกันอยู่ข้างนอกวิหารกุณโฑและอสูรพิทักษ์ประจำวิหารไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก แต่ความยากของมันโดยเฉลี่ยจะมากที่สุดเมื่อเทียบกับวิหารนักษัตรอื่นๆ อย่างไรก็ตาม อสูรที่ถูกเรียกออกมาโดยผู้พิทักษ์วิหารที่มีลักษณะของมนุษย์ทำให้เย่ว์หยางเหนื่อยแทบตาย อสูรตัวแรกที่ผู้พิทักษ์วิหารกุณโฑเรียกออกมาก็คือเงาเทพธิดาถือกุณโฑทอง เมื่อใดก็ตามที่เสี่ยวเหวินหลี, อาหมัน ปีศาจดอกหนามและอสูรอื่นๆ ใช้พลังทำให้อสูรพิทักษ์วิหารกุณโฑบาดเจ็บสาหัส เทพธิดาเงาจะใช้พลังจากกุณโฑรักษาอาการบาดเจ็บเจ้านายจนหาย ยิ่งกว่านั้นมันยังเพิ่มความสามารถให้เจ้านายเป็นทวีคูณจากเดิม… เย่ว์หยางรู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้เหมือนกับที่เขาเคยพบแหล่งสำรองพลังรักษาขนาดใหญ่ในเกมคอมพิวเตอร์ พวกมันสามารถกดดันคู่ต่อสู้จนตายก็ได้
น่าเสียดายที่เทพธิดาเงาเป็นภูมิคุ้มกันพลังโจมตีทั้งหมด มันแทบจะทำให้เย่ว์หยางเป็นบ้าได้
ในที่สุด พวกเขาก็ชนะเพราะทักษะที่เย่ว์หยางไม่เคยใช้มาก่อน เนตรโลหิตประหารซ้ำ
เพียงช่วงเวลานี้ที่เย่ว์หยางตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของทักษะเนตรโลหิตประหารซ้ำสอง
โคเงาอาหมันปล่อยพลังเนตรประหารและใช้พลังเนตรโลหิตประหารซ้ำสองโดยบังเอิญ แม้ว่าอสูรพิทักษ์วิหารกุณโฑจะไม่ตายทันที แต่วิญญาณของมันบาดเจ็บอย่างหนัก ดังนั้นกฎโบราณจึงสรุปว่ามันตาย เนตรโลหิตประหารซ้ำสองยังฆ่าเทพธิดาเงาผู้ไม่มีอะไรทำร้ายได้ทันที
เย่ว์หยางคว้ากุณโฑทองที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้าทันที เขายิ้มกว้างเต็มใบหน้าจนแทบจะยัดกำปั้นเข้าไปในปากได้ทั้งหมด
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเนตรโลหิตประหารซ้ำสองจะมีผลที่ยอดเยี่ยมอย่างนั้น เขามักจะคิดว่าเนตรโลหิตประหารซ้ำสองจะใช้ได้ต่อเมื่อโคเงาจ้องมองสองครั้ง เขาไม่เคยคิดว่าเทพธิดาเงาก็ยังตาย แม้เมื่อถูกจ้องมองด้วย แค่เพราะเจ้านายของมันยังอยู่ แม้ว่านี่จะเป็นทักษะที่ไม่ธรรมดาที่จำเป็นต้องอาศัยโชคดีมากถึงใช้ออกมาได้ แต่ทันทีที่ใช้ออก ศัตรูของมันก็ไม่มีโอกาสที่จะร้องได้สักนิด ต้องตายทันทีสถานเดียว
แค่คิดว่า โคเงาสามารถฆ่าสัตว์อสูรด้วยเนตรประหารและปล่อยเนตรโลหิตประหารซ้ำสองโดยบังเอิญ อย่างนั้นเจ้านายของสัตว์อสูรก็โชคร้ายจริงๆ
แน่นอนว่า อาหมันไม่เคยลองฆ่าเจ้านายของสัตว์อสูรจริงๆ เมื่อนางฆ่าสัตว์อสูรไปแล้ว ครั้งนี้เป็นแค่เพียงการคาดเดาของเย่ว์หยาง
ถ้ามันเป็นไปได้จริงๆ อย่างนั้นทักษะนั้นจะกลายเป็นทักษะอันดับหนึ่งในบรรดาทักษะที่ไม่ธรรมดา
ไม่ธรรมดาหรือ?
ทักษะนี้ไม่ธรรมดาเลย!
นอกจากรับรางวัลผ่านด่านแล้ว อาหมันและปีศาจดอกหนามยังได้รับปัญญาเป็นรางวัล ยิ่งไปกว่านั้นเย่ว์หยางยังได้รับกุณโฑทอง ข้างในมีกุณโฑที่เล็กกว่าบรรจุน้ำทิพย์สามารถรักษาคนได้เพียงใช้แค่หยดเดียว
เดิมที อสูรพิทักษ์วิหารกุณโฑจะฟื้นหลังจากบริโภคน้ำทิพย์ แต่มันกลับถูกเนตรโลหิตประหารซ้ำสองทำให้น้ำทิพย์ไม่ถูกบริโภคกลายเป็นสมบัติที่ถูกริบในการต่อสู้
ช่างโชคดีเหลือเฟืออะไรอย่างนี้? นี่คือโชคดีล้นเหลือแท้ๆ
****************