วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0118
บทที่ 37 ชายแดนใต้ (4)
* * *
เทลาเทอรีจ้องมนุษย์ที่กำลังจัดกระเป๋า
มนุษย์ แวมไพร์ และลูกหลานดวงดาว
ไม่ว่าจะมองยังไงก็เป็นการรวมตัวสุดประหลาด แวมไพร์กับลูกหลานดวงดาวอาจไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ขัดแย้ง แต่อย่างน้อย เธอเคยได้ยินว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับนิสัยที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก
‘นั่นเป็นแค่ข่าวลือ?’
เห็นว่ามนุษย์ส่วนใหญ่อพยพไปทางตะวันออกไกลเมื่อนานมาแล้ว มนุษย์ที่ยังหลงเหลือในแถบนี้คือส่วนน้อย
เทลาเทอรีไม่เคยพบเจอมนุษย์แม้แต่ครั้งเดียวเนื่องจากเอาแต่หมกตัวอยู่ในหอคอย ข้อมูลทั้งหมดมาจากหนังสือและข่าวลือ
ตอนนี้จึงบรรจุสัจธรรมใหม่
ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ห้ามเชื่อข่าวลือเด็ดขาด
“เทลาเทอรี”
“อ…อื้อ?”
มนุษย์ที่กำลังปรึกษากับแวมไพร์จู่ๆ ก็เรียกเธอ
“แถวนี้มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบ้างไหม ฉันไม่เคยเห็นภูมิประเทศแบบนี้มาก่อน”
“ปรากฏการณ์ประหลาด… หืม… เจ้าหมายถึงเรื่องที่ตอนกลางคืนจะอันตรายเป็นพิเศษ?”
“อันตรายตอนกลางคืน?”
เทลาเทอรีพยักหน้า
“ตามปกติแล้ว พระอาทิตย์จะส่องแสงตอนกลางวันและพระจันทร์ส่องแสงตอนกลางคืน… สำหรับที่นี่ พระอาทิตย์ยังคงส่องแสงตอนกลางวัน แต่พระจันทร์ไม่ทำแบบนั้นตอนกลางคืน จึงมักเกิดปรากฏการณ์ที่ยากจะเข้าใจ”
“ปรากฏการณ์ที่ยากจะเข้าใจ…”
มนุษย์ครุ่นคิดสักพัก ไม่นานก็ได้ข้อสรุป
“ไว้รอให้ถึงตอนเช้าก่อนก็ได้ ฉันจะเก็บกระเป๋าและออกเดินทางทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น”
“อา…”
มนุษย์ แวมไพร์ และลูกหลานดวงดาวตัดสินใจพักผ่อนจนถึงเช้า เทลาเทอรีเป็นคนจัดหาห้องพักให้
“เด็กใหม่ เจ้าชื่ออะไร”
“คังซอนฮู”
“กัน… ซอนู?”
“ชื่อของฉันแปลกจนชาวต่างโลกออกเสียงไม่ถูก?”
“ก็ค่อนข้างยากนะ”
“แล้วสหายแวมไพร์ล่ะ”
“ลิลี่”
“ลิลี่?”
ลิลี่… ลิลี่…
เธอรู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่จำรายละเอียดไม่ได้
คล้ายกับเคยได้ยินมานานมากแล้ว และเรื่องที่แปลกก็คือ ชื่อดังกล่าวกลับคุ้นหูทั้งที่ไม่ใช่ชื่อโหล
แต่ไม่นานเทลาเทอรีก็ปล่อยผ่าน ไม่เกิดประโยชน์ที่จะจมอยู่กับความทรงจำครึ่งๆ กลางๆ
“แล้วศาสตราจารย์ของเธอล่ะ”
“ท่านกำลังยุ่ง”
มนุษย์แอบสงสัยเรื่องที่เทลาเทอรีดูเหมือนจะคอยจัดการทุกสิ่งในหอคอย แต่ก็ไม่ได้ถามออกมา ราวกับไม่แยแสวิถีชีวิตของคนอื่น
เช้าวันถัดมา พวกเขาตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและเก็บถุงนอน เทลาเทอรีตื่นทันเวลาและขึ้นมาจากห้องทดลองเพื่อส่งแขก ทั้งสามออกเดินทางด้วยม้าพร้อมกับสัมภาระพะรุงพะรัง
“สรุปก็คือ เธอรู้ว่าหุบเขาแห่งความตายอยู่ที่ไหน แต่ไม่รู้ว่าปราสาทเก่าอยู่ที่ไหน?”
เทลาเทอรีพยักหน้า
“ข้าหวังว่าสิ่งที่อยู่ข้างในปราสาทจะช่วยให้งานวิจัยก้าวหน้า”
“กำลังวิจัยเรื่องอะไร”
“ความลับของเวทสื่อวิญญาณที่เอลเดอร์ลิชสร้างขึ้น และประวัติศาสตร์ที่แม่นยำของนัคชารอน”
นัคชารอน เผ่าพันธุ์ซึ่งเกิดจากบรรพบุรุษอันเดดสองคนที่เอลเดอร์ลิชคืนชีพ
นั่นคือสิ่งที่ทุกคนได้ยินผ่านตำนาน แต่ไม่มีใครทราบรายละเอียดแน่ชัด
ดังนั้น นัคชารอนจึงอยากรู้ความเกี่ยวข้องระหว่างบรรพบุรุษของตนกับเอลเดอร์ลิช โดยคาดหวังว่านั่นอาจซุกซ่อนความลับของเวทสื่อวิญญาณเอาไว้
มนุษย์ฟังเรื่องราวสักพักก่อนจะพยักหน้า
“ฉันไม่รู้ว่าเธออยากได้อะไร แต่จะพยายามหาปราสาทหลังนั้นให้พบ”
“…ไม่อันตรายแน่นะ?”
“พจนานุกรมของชายคนนี้ไม่มีคำว่าอันตราย เจ้ายอมแพ้ดีกว่า”
แวมไพร์ข้างๆ พูดประชดประชัน เทลาเทอรีเลิกโน้มน้าวหลังจากเห็นแววตาอันแน่วแน่ของมนุษย์
“อ้อ แล้วก็…”
มนุษย์ยื่นกระดาษที่ตนใช้จดบันทึกบางสิ่งตลอดทั้งคืน
“ฉันลองวิเคราะห์รูนที่เธอวาดให้ดูเมื่อวาน ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์ไหม แต่รับไว้เถอะ”
เทลาเทอรีรับกระดาษจากมือมนุษย์
เหล่านัคชารอนค่อนข้างหวาดกลัวม้าที่กำลังยืนรออยู่ข้างนอก
“ม้าโลกันตร์ของโลกวิญญาณ…”
จากนั้นก็มองมนุษย์ และก็มองรุ่นพี่ของพวกตน — เทลาเทอรี
ทุกคนมองแผ่นหลังของมนุษย์ แวมไพร์ และลูกหลานดวงดาวที่เดินจากไป
“เอ่อ… รุ่นพี่”
“หือ”
“เขาเป็นเด็กใหม่แน่หรือ”
“เอ่อ…”
“…แต่ถ้าไม่ใช่เด็กใหม่แล้วจะเป็นอะไรได้อีก? ก็หอคอยหลังนี้…”
“หอคอยที่จะเห็นได้เฉพาะผู้ครอบครองสัญลักษณ์เอลเดอร์ลิชเท่านั้น”
รุ่นน้องนัคชารอนพยักหน้า
เทลาเทอรียังคงจ้องแผ่นหลังมนุษย์
อันที่จริง เธอเองก็เริ่มเอะใจแล้วว่า อีกฝ่ายอาจไม่ใช่เด็กใหม่
ไม่สิ ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว
ในหัวของเทลาเทอรียังคงเต็มไปด้วยตำนานเกี่ยวกับ ‘ผู้หยั่งรู้’ เอลเดอร์ลิชที่เธอศรัทธา
เอลเดอร์ลิชจะยังมีชีวิตอยู่ไหมนะ?
ถ้าสมมติว่าใช่…
ในใจเทลาเทอรีเอ่อล้นไปด้วยความตื่นเต้น
“ชารี”
“อ…อื้อ?”
“ในหอสมุดของเรามีตำนานที่ยังไม่ถูกตีความอยู่ใช่ไหม”
“ใช่… แต่เพราะไม่เกี่ยวกับงานวิจัย ก็เลยไม่มีใครสนใจจะตีความ”
“มาทำกันดีกว่า”
“หา? แล้วงานวิจัยวันนี้ล่ะ? มันเยอะมากเลยนะ”
“…พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ”
“พูดจาโหดร้ายชะมัด”
เทลาเทอรีเปลี่ยนกำหนดการจากห้องวิจัยใต้ดินไปเป็นหอสมุดบนชั้นสอง
* * *
หลังจากเดินระยะสั้น ฉันหันหลังกลับไปมอง หอคอยที่อยู่ไม่ห่างยังคงปรากฏในทัศนวิสัย
ดวงตาเวทมนตร์ที่ลุกโชนด้านบนสุดของหอคอย ยังคงจ้องมาทางพวกเรา
“มันคืออะไรกันแน่”
“คงเหมือนกับหอเฝ้าระวัง ไม่ว่าจอมเวทของที่นี่จะใกล้เคียงกับนักวิชาการมากแค่ไหน แต่ก็สถานที่อย่างหอคอยมักตกเป็นเป้าการโจมตี”
“เรื่องนั้นข้ารู้ แต่ว่า… ดวงตานั่นสร้างมาจากอะไร?”
ก็คงเวทมนตร์ล่ะมั้ง?
เวทมนตร์แตกต่างจากรูน
รูนไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังเวท ดูได้จากมนุษย์ธรรมดาอย่างฉันที่ห่างไกลจากการมีพลังเวท
สำหรับกฎของต่างโลก รูนกับพลังเวทแทบไม่เกี่ยวข้องกันเลย หากจะให้เปรียบก็คงประมาณว่า ถ้าโลกคือคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ รูนจะเป็นโปรแกรมที่คอยออกคำสั่งกับคอมพิวเตอร์ ส่วนพลังเวทใกล้เคียงกับแสงไฟหรือเสียงขณะคอมพิวเตอร์ทำงาน
รูนคือคำสั่ง ส่วนพลังเวทคือผลผลิตจากกิจกรรมของธรรมชาติ
ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่ แต่อย่างน้อยตัวเองก็เชื่อแบบนั้น
แน่นอนว่าฉันปิดปากเงียบเพราะลิลี่กับคนอื่นคงไม่เข้าใจการเปรียบเปรยข้างต้น
ดูเหมือนว่าชาวต่างโลกส่วนใหญ่จะยังไม่รู้หลักการนี้
ระหว่างทาง สมองของฉันเต็มไปด้วยความคิดเล็กๆ น้อยๆ
พอดีเป็นพวกชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
พวกเราย่ำลงบนพื้นดินสีดำ ทุกครั้งที่เท้าของเรลิกซิน่าเหยียบลงไปจะเกิดเสียงประหลาด ช่วยยืนยันว่ามันไม่ใช่พื้นธรรมดา
ลิลี่ที่กำลังจับบังเหียนอยู่ข้างๆ เงยหน้ามองฟ้า พระอาทิตย์ดวงแรกลอยสูงแล้ว ส่วนดวงที่สองเพิ่งขึ้น
สีหน้าลิลี่เผยความกังวลเล็กน้อย ฉันเดาความรู้สึกไม่ออก
นักบุญหญิงคอยลูบผมลิลี่จากด้านหลัง
แวมไพร์สาวหันไปมองนักบุญหญิงก่อนจะหันกลับ
“ถ้ากลัวก็บอกกับฉันตรงๆ”
“ข้าไม่ได้กลัวการไปปราสาทเก่า”
ลิลี่มองหน้าฉัน
“แวมไพร์คือเผ่าพันธุ์ที่ได้รับความคุ้มครองจากอุนเดรา”
“เธอเคยเล่าแล้ว”
“…แต่การคุ้มครองของอุนเดรามาไม่ถึงที่นี่”
ฉันหันไปมองลิลี่
เรามองข้ามอะไรไป?
เนื่องจากไม่ค่อยได้เดินทางกับใคร ฉันจึงไม่เคยรับรู้ปัญหาของผู้อื่น
“ถ้ามีอะไรก็บอกฉันได้ อย่าเก็บไปคิดคนเดียว”
“ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่…”
ฉันสัมผัสถึงความลังเลจากลิลี่
“ช่างมันเถอะ”
“…?”
ฉันไม่รู้ความนัยแฝง แต่ในเมื่อลิลี่ไม่อธิบาย จึงตัดสินใจปล่อยผ่าน
ในคืนนั้น พวกเราตั้งแคมป์กันเร็วกว่าปกติ
* * *
นักบุญหญิงวีว่าซิสซิโม่คอยหยิบยื่นความช่วยเหลือขณะพวกเราตั้งแคมป์ ถึงจะอยู่ด้วยกันมาเกือบสัปดาห์ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ตั้งแคมป์อย่างจริงจัง
“ความผิดปกติจะเกิดตอนกลางคืนสินะ”
คังซอนฮูคอยพูดเสมอว่า หากยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ ก็ควรเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเข้าไว้
การสำรวจครั้งนี้ไม่มีกรอบด้านเวลา พวกเราจึงไม่บุ่มบ่าม ยอมสละเวลาเพื่อมองหาซอกหินใหญ่ที่กว้างพอจะซ่อนตัวและตั้งแคมป์
พวกเราก่อกองไฟ ตั้งเต็นท์ ต้มน้ำ และกินจนอิ่ม
ลิลี่นั่งกอดเข่ามองกองไฟ
วีว่าซิสซิโม่นั่งข้างลิลี่และมองเธอเป็นเวลานาน
ระหว่างนั้น ชายหนุ่มกำลังสำรวจรอบๆ ซอกหิน
“…เจอแล้ว!”
วีว่าซิสซิโม่มองไปทางคังซอนฮู เป็นเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายยื่นมือออกมา
“กรี๊ด!”
ลิลี่ที่กำลังเหม่อมองกองไฟ สะดุ้งตัวลอยด้วยความตกใจ
“อะไร!? แมลง!?”
“ลิลี่ ไหนเธอบอกว่าโตแล้ว”
“ไม่เกี่ยวกับอายุ ใครจะไม่ตกใจถ้าเห็นแมลงอยู่ต่อหน้า!”
“นักบุญหญิงไม่ตกใจใช่ไหม”
วีว่าซิสซิโม่นั่งจ้องแมลงปีกแข็ง ส่วนท้องของมันดูคล้ายกับคริสตัลแหลม
“แมลงประเภทนี้มักพบได้ตามซอกหิน พวกมันชอบความชื้นมาก ดูน่ากินใช่ไหม?”
“เจ้ากินของแบบนี้ด้วยหรือ… อุก”
“ลิลี่อิ่มแล้วสินะ”
“…ถึงจะหิวข้าก็ไม่กิน”
“ถ้าหิวมากๆ อาจเปลี่ยนใจก็ได้นะ… จริงสิ แวมไพร์กินไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นา”
ลิลี่นั่งบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว วีว่าซิสซิโม่ลุกขึ้นยืนและหยิบแมลงที่ชายหนุ่มยื่นให้
เมื่อสะท้อนแสงจากกองไฟ มันระยิบระยับจนดูไม่เหมือนกับแมลง
“เป็นแมลงที่หาได้ทั่วไป แต่เธอน่าจะไม่รู้จัก”
วีว่าซิสซิโม่ก้มมองสักพักก่อนจะพยักหน้า
ชายหนุ่มคิดในใจ
เธอคงอยู่ในวิหารมาทั้งชีวิต แค่แมลงธรรมดายังเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
คังซอนฮูมองหน้านักบุญหญิงเป็นเวลานาน ตามด้วยกล่าว
“การที่แถวนี้มีแมลง หมายความว่ามันไม่ใช่ดินแดนแห่งความตาย เรื่องที่น่าสนุกก็คือ เดิมทีแมลงชนิดนี้จะมีสีเหลือง แต่พออยู่ที่นี่กลับมีสีน้ำเงิน เพราะอะไรกันนะ?”
จากนั้น ชายหนุ่มทำการขุดดิน ยิ่งขุดลึกลงไปก็ยิ่งพบดินเปียก
“ข้างล่างคงมีตาน้ำ ตามปกติแล้วตาน้ำจะมีพลังเวทเจือปนอยู่เสมอ และแมลงพวกนี้ก็ดูดซับพลังเวทมาไว้ในตัว น่าอัศจรรย์มาก”
วีว่าซิสซิโม่เงยหน้ามองคังซอนฮู
อีกฝ่ายกำลังอธิบายอย่างมีความสุข
“กล่าวคือ ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีแต่ความตาย”
เธอยังไม่ลืมเมื่อครั้งได้พบกับชายหนุ่มครั้งแรก วีว่าซิสซิโม่เคยถามผ่านอัศวินผู้พิทักษ์ว่า
‘ทำไมเจ้าต้องใช้ชีวิตบนความเสี่ยง?’
คำตอบของคังซอนฮูก็คือ
‘อิสรภาพ’
เมื่อได้ยินคำตอบ วีว่าซิสซิโม่รู้สึกแปลกประหลาด
ความยากลำบากคือส่วนหนึ่งของชีวิตนักบวช วีว่าซิสซิโม่ชินกับมันแล้ว
แต่สำหรับเธอ ความยากลำบากมีไว้เพื่อสรรเสริญทวยเทพ เป็นวิถีชีวิตติดตัวตั้งแต่เกิดโดยไม่เคยตั้งคำถาม
แต่เมื่อได้พบกับคังซอนฮู เป็นครั้งแรกที่วีว่าซิสซิโม่ย้อนถามกับตัวเอง
สำหรับชายคนนี้ ความเสี่ยงและความยากลำบากคือส่วนหนึ่งของอิสรภาพ
เขายินดีพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ลำบากโดยไม่คิดอะไรมาก และยังค้นพบความสุขจากสิ่งนั้น
วีว่าซิสซิโม่เคยสาบานว่า เธอจะตายเมื่อสิ้นสุดเดินทางครั้งนี้
แต่หลังจากผจญภัยร่วมกับมนุษย์มาได้สองสัปดาห์ เธอเริ่มโหยหาการมีชีวิต
ตนควรทำยังไง?
ทันใดนั้น
“หือ?”
ท้องฟ้าสว่างไสวพร้อมกับการร่วงหล่นของดวงดาว
ครืน—!
จากจุดห่างไกล ดวงดาวตกใส่พายุสีดำที่รายล้อมยอดเขาจนผืนดินสั่นสะเทือน
แสงวาบอันเจิดจ้าช่วยให้มองเห็นเค้าโครงของสิ่งที่อยู่ด้านใน
ปีศาจ — มังกรผู้ปลิดชีพตัวเอง
วีว่าซิสซิโม่คือนักพยากรณ์ และนี่คือคำพยากรณ์สุดท้ายที่เธอได้รับ
มังกรผู้ปลิดชีพตัวเองเพื่อติดตามบิดา ยังคงอาลัยอาวรณ์กับโลก
มันจะแผ่ลมหายใจเพื่อปกคลุมโลกด้วยความตาย
นักบุญหญิงสัมผัสได้ วิญญาณอันโสมมของปีศาจกำลังลืมตาตื่นทีละนิด
เธอตระหนักถึงเจตจำนงอันแรงกล้าของตัวเองอีกครั้ง
จากนั้นก็ลุกขึ้นและมองคังซอนฮู
คังซอนฮูพยายามอ่านสารจากดวงตา
“จะไปแล้วหรือ”
วีว่าซิสซิโม่พยักหน้า
ลิลี่มองแผ่นหลังของนักบุญหญิงที่เดินจากไป
“กะทันหันจังเลยนะ”
ได้ยินลิลี่พูดแบบนั้น คังซอนฮูส่ายหัว
“เธอมาที่นี่โดยมีเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยในการสำรวจ หากมีปลายทางเดียวกัน พวกเราจะร่วมทางกันสักพักและแยกย้ายไปบรรลุเป้าหมายของตัวเอง ถ้าต้องนั่งเสียใจทุกครั้งคงได้สติแตกกันพอดี”
“…แต่จะเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ”
“นี่ก็ครั้งที่สองแล้วใช่ไหม? ที่เราได้พบนักบุญหญิง”
“…ใช่”
“จากสถิติในการสำรวจของฉัน ถ้ามีครั้งที่สอง ก็จะมีครั้งที่สามตามมาด้วย… ฮึ้บ!”
ระหว่างนั้น คังซอนฮูทิ้งตัวนอนมองท้องฟ้า
“พักผ่อนกันเถอะ พวกเราจะเดินทางทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น”
ลิลี่จ้องชายหนุ่มสักพักก่อนจะพูด
“อื้อ”
เธอไม่มีอะไรจะพูดเป็นพิเศษ
* * *
เทลาเทอรีคิดอยู่เสมอว่า กระบวนการไล่ตามความรู้ มักเกิดความขัดแย้งในตัวเองบ่อยครั้ง
ค่อยๆ ก้าวไปทีละนิดทุกๆ สิบปีจนกระทั่งปีนป่ายไปถึงจุดสูงสุด
เธอเชื่อว่านั่นคือกระบวนการเดียวที่จะไขปริศนาความลับของโลก
แต่กลับมีหลายครั้งที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จนสร้างความขัดแย้งในกระบวนการดังกล่าว
ในบางกรณี สูตรคำนวณง่ายๆ ก็ช่วยฉุดงานวิจัยที่จมปลักมาเนิ่นนานให้ผงาดขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตอนนี้ก็เช่นกัน
“ทำไมก่อนหน้านี้ถึงคิดไม่ได้!”
บรรดารุ่นน้องที่มองอยู่ข้างๆ ต่างสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกน
พวกเขาไม่อยากเชื่อว่ารูนพี่ของตนที่แค่หายใจยังลำบาก จะส่งเสียงดังได้ขนาดนี้
เทลาเทอรีมือไม้สั่นขณะจ้องสมการรูนที่เสร็จสมบูรณ์
กฎบางอย่างของรูน ‘ทัล’ ที่คังซอนฮูช่วยวิเคราะห์
“ในกลุ่มคำ ‘ทัล’ ที่เราเคยคิดว่าไม่จุดร่วม ความจริงแล้วมีชุดของกฎซ่อนอยู่… ทำไมถึงมองไม่ออก? ทำไมเพิ่งมาคิดได้เอาป่านนี้!”
“ร…รุ่นพี่?”
“ถ้าจะพิสูจน์สมมติฐาน… เราต้องตีความสูตรภาษารูนโบราณที่ยังเป็นปริศนาทั้งหมด! ใช่แล้ว! ชาวี!”
“ครับ!”
เทลาเทอรีกระชากคอเสื้อชาวี อีกฝ่ายไม่อยากเชื่อว่ามือไม้ที่สั่นเทาตลอดเวลาจะมีเรี่ยวแรงมากขนาดนี้
“เด็กใหม่คนนั้น… ไม่สิ เขาไม่ใช่เด็กใหม่!”
“ครับ…?”
“เขาคือเอลเดอร์ลิช!”
“หา?”
“ดูนี่!”
เทลาเทอรีวางมือลงบนสมการและเปล่งเสียง
“ทัลคานูอาน Tallekanuan”
ชาวีตกตะลึงกับภาษาทัลที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
หลังจากเทลาเทอรีได้รับแรงบันดาลใจจากกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่มนุษย์ยื่นให้ ความรู้ของเธอถูกยกระดับขึ้นหลายขั้น
ภาษารูนที่ก่อตัวเป็นสมการเริ่มส่องแสง กลายเป็นภาพโฮโลแกรมลอยในอากาศ
นี่คือปลายทางที่แท้จริง ของพิกัดที่ภาษาทัลทั้งหมดมุ่งไป
ภาษาทัลไม่ได้มุ่งไปยังปราสาทเก่าแก่ นั่นเป็นความเข้าใจผิดของเทลาเทอรี
พิกัดดังกล่าวมุ่งไปยังไม้เท้าซึ่งน่าจะอยู่ในปราสาท
ไม้เท้าที่เอลเดอร์ลิชใช้คืนชีพมนุษย์สองคน
ผู้คืนชีพรุ่นแรก ‘อดามา’ และ ‘ฮาวา’
ตำนานเอลเดอร์ลิชมิได้เผยแพร่โดยตัวเอลเดอร์ลิช แต่เป็นบันทึกของสองอันเดดที่ถูกเขาคืนชีพ
ในส่วนท้ายของบันทึกมีเนื้อหาว่า
“…แล้วสักวัน คำทำนายที่ระบุว่าเอลเดอร์ลิชจะหวนกลับมา จะกลายเป็นความจริง”
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (3/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel