ตอนที่แล้ว892 - ภาษาสันสกฤต 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป894 - ดินแดนแห่งหยินและหยาง 

893 - เส้นทางโบราณ 


893 - เส้นทางโบราณ

“ทำไมต้องเป็นภาษาสันสกฤต!” ผังป๋อตั้งคำถาม

ในอดีตกาลอันไกลโพ้น มีพระพุทธเจ้ามากกว่าหนึ่งคนบนโลก อย่างน้อยในยุคเดียวกันก็ยังมีคนโบราณที่มีปัญญาอันล้ำเลิศ

เมื่อสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว ในประเทศจีนยุคโบราณ มีนักปราชญ์จำนวนมากถือกำเนิดขึ้น แต่ละคนล้วนแต่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง พวกเขามีชื่อเสียงและร่องรอยมาจนถึงยุคปัจจุบัน

โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นเพียงเล่าจื๊อคนเดียวก็มีความโด่งดังเทียบได้กับพระพุทธเจ้าแล้ว

ผู้คนที่ศรัทธาต่อพระศากยมุนีต่างยกให้ท่านกลายเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่และมีอิทธิฤทธิ์ไร้ขอบเขต ในขณะเดียวกันชาวจีนที่มีความศรัทธาต่อเล่าจื๊อก็ยกย่องท่านเป็นเทพเจ้าเช่นกัน

พวกเขาทั้งสองยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและแทบรอไม่ไหวที่จะตรวจสอบเครื่องหมายตราอื่นๆ

แน่นอนว่ายังมีอักขระแปลกๆ ที่แกะสลักและรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นวัวสีเขียวที่เป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นแนวทางสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต

คนโบราณสองคนนี้จะไม่ทิ้งร่องรอยไว้อย่างแน่นอนแต่ร่องรอยเหล่านี้น่าจะเป็นผู้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังของพวกเขาเป็นคนทิ้งไว้

“ดูสิ่งที่เขียนสิ” ผังป๋อเร่งเร้า เขาไม่รู้คำศัพท์ในนั่นแม้แต่คำเดียว

แม้ว่าเย่ฟ่านจะทำการค้นคว้าเกี่ยวกับภาษาโบราณบ้าง แต่ตัวอักษรเหล่านี้ไม่ต้องพูดถึงเขา แม้กระทั่งนักวิชาการเชี่ยวชาญอักษรโบราณมากที่สุดก็ยากที่จะอ่านพวกมันได้

“ทางตะวันตกของช่องเขาหังกู่..” เขาสามารถแยกแยะได้เพียงประโยคเดียวต่อเนื่องกัน และมีคำและวลีบางคำ แต่ถูกตัดออกไป เช่น “ทุ่งดวงดาว” “เส้นทางโบราณ” “หยู” “เสียนเฉียว”

“ชายชราคนนี้น่ากลัวเกินไป เขาออกจากช่องเขาหังกู่ทางทิศตะวันตกและเข้าสู่ทุ่งดวงดาว” ผังป๋อพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง

มีบันทึกในหนังสือโบราณว่า “เมื่อเล่าจื๊อเดินทางไปทางทิศตะวันตกผู้คนจะมองเห็นวัวสีเขียวเดินผ่านทุ่งดวงดาวพร้อมกับหมอกสีม่วง”

ครั้งสุดท้ายที่เขาปรากฏตัวในจีนโบราณคือช่องเขาหังกู่ นับแต่นั้นเกือบ 2000 ปี เล่าจื๊อก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย

เย่ฟ่านถอนหายใจชั่วขณะหนึ่ง ที่ปลายอีกด้านของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขาไม่เคยคิดว่าเล่าจื๊อเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แม้เพียงครั้งเดียว และความน่าจะเป็นคือชายชราคนนั้นควรเป็นผู้ที่มีสติปัญญาอันยิ่งใหญ่เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า

แต่ตอนนี้เขาต้องยอมรับแล้วว่าเล่าจื๊อและพระพุทธเจ้าล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะอย่างแน่นอน

พระพุทธเจ้าและเล่าจื๊อเกิดขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อน นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?

“พวกเขาเดินมาตามเส้นทางโบราณและปรากฏตัวขึ้นในโลกนี้…” เย่ฟ่านพูดกับตัวเอง

กว่าสองพันปีที่แล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกทั้งสองได้ปรากฏตัวขึ้นในยุคเดียวกัน นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือมีความลึกลับบางอย่าง?

มีศาสนาพุทธในโลกนี้แต่ไม่ใช่ศาสดาไม่ใช่พระศากยมุนี?

อย่างไรก็ตามในโลกนี้ก็ยังมีลัทธิเต๋าด้วย แต่มันไม่ใช่แนวทางของเล่าจื๊อดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะหาต้นกำเนิดได้

“ใครเป็นผู้สร้างลัทธิเต๋า?” เย่ฟ่านอดไม่ได้ที่จะถาม

“มันซับซ้อนเกินไป ปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋าเปรียบเสมือนเมฆที่ไม่หยุดนิ่งและนกกระเรียนป่า พวกเขาทิ้งคำสอนและทักษะลับไว้ แต่ก็เพียงเท่านั้นเราไม่สามารถค้นหาต้นกำเนิดของพวกเขา” จี้ฮ่าวเยว่ส่ายหน้า

เกี่ยวกับลัทธิเต๋า นับประสาโลกนี้ แม้แต่ที่ปลายอีกด้านของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวก็ยากยิ่งที่จะรู้ว่ามันกำหนดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด

หากจะพูดเรื่องลัทธิเต๋าก็ต้องย้อนกลับไปในยุคของ “หวงเหล่า” เป็นลำดับแรก

เล่าจื๊อเป็นบุคคลรเมื่อสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว ในขณะที่ “หวงเหล่า” (จักรพรรดิเหลือง) เป็นบุคคลเมื่อกว่าสี่พันปีที่แล้วเกือบจะห้าพันปีด้วยซ้ำ

ลัทธิเต๋าได้รับการตั้งชื่อโดยคนรุ่นหลังแต่ในความเป็นจริงพวกเขามีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ยุคแห่งการสร้างโลก

เล่าจื๊อไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้มากมายนักในโลกนี้ แล้วถ้าเขาเดินทางมาตามถนนโบราณจริงๆเขาอยู่ที่ไหน?

เส้นทางที่ทิ้งไว้โดยคนโบราณนำไปสู่สถานที่ไม่รู้จักและไม่มีที่สิ้นสุด

จุดหมายของถนนอยู่ที่ไหน? เย่ฟ่านไม่รู้ อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่ใช่จุดจบ และบางทีหลังจากดวงดาวดวงนี้อาจมีโลกอีกมากมายซุกซ่อนอยู่

มีภาพสลักอยู่ในโลงศพทองแดงขนาดใหญ่ ขณะนั้นเขาและผังป๋อมองเห็นด้วยตาตนเอง มันเป็นท้องฟ้าที่พร่างพรายไปด้วยดวงดาว โลกและดาวไถอยู่เพียงมุมเดียว และเส้นทางข้างหน้ายังคงมุ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

“เมื่อสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นยุคที่รุ่งเรืองมากและมีเทพมากมายปรากฏตัวขึ้น…”  เย่ฟ่านคิดกับตัวเอง

“เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว ปราชญ์โบราณกลุ่มสุดท้ายบนโลกได้ตัดสินใจออกจากบ้านเกิดพร้อมกับออกเดินทางร่วมกันในเส้นทางโบราณนี้…”

ในประเทศจีนยุคโบราณ ดาวอังคาร ดาวไถ ทุ่งดาวแปดดวงและอื่นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันเป็นเส้นทางโบราณคดีกว้างใหญ่ไพศาลในจักรวาลนี้ และจุดสิ้นสุดอยู่ที่ไหน?

ผู้คนที่แก่กว่าเล่าจื๊ออย่างราชาทั้งเจ็ดสิบสองคนในสมัยโบราณซึ่งมารวมตัวกันบนภูเขาไท่ซาน พวกเขาได้เข้าสู่ทุ่งดวงดาวก่อนหน้านี้หรือไม่ และได้ไปถึงจุดสิ้นสุดหรือเปล่า?

“ว่ากันว่าผู้คนในสมัยโบราณมีอายุยืนยาวนับหมื่นปี แล้วจักรพรรดิเหลืองมีอายุยืนยาวเท่าไหร่?”

สำหรับผู้คนแล้ว จักรพรรดิเหลืองเป็นคนโบราณเมื่อสี่หรือห้าพันปีก่อน หรือในความเป็นจริงแล้วเขาก็เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณเช่นกัน?

เย่ฟ่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขามีความใฝ่ฝันไม่รู้จบ มีดาวโบราณกี่ดวงในทุ่งดาวอันกว้างใหญ่นี้?

ถนนสายโบราณนี้มีความสำคัญอย่างไร นำไปสู่ที่ใด และเป็นสถานที่ประเภทใด?

พวกเขาจะตายไปแล้วหรือตอนนี้กำลังอยู่ในบ้านเกิดของตัวเอง หรือพวกเขากำลังเดินทางอย่างไร้จุดหมาย?

แท่นบูชาห้าสีเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลที่ใช้ข้ามผ่านท้องฟ้าอันมืดมิดและเหน็บหนาว ผู้ใดมีอำนาจในการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบนี้?

แต่ไม่ว่าจุดหมายปลายทางจะเป็นเช่นไรมันจะต้องมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่รออยู่อย่างแน่นอน?

เขากับผังป๋อมองหน้ากัน ต่างคนต่างครุ่นคิด เส้นทางดวงดาวโบราณดวงนี้ไม่มีวันสิ้นสุด บางทีดวงดาวที่พวกเขาอยู่อาจจะเป็นเพียงจุดแวะพักเล็กๆในเส้นทางอันยิ่งใหญ่นี้ก็ได้

“อย่าคิดมาก ไม่ว่าเส้นทางนี้จะนำไปสู่ที่ใดเราก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปกับปราชญ์โบราณเหล่านั้น สิ่งที่พวกเราตามหาคือเส้นทางกลับบ้านต่างหาก” ผังป๋อถอนหายใจ

ตอนนี้แม้ว่าพวกเขาจะมีความปรารถนาต่อเส้นทางโบราณก็ไม่มีทางที่จะกลับถึงบ้านได้

หากพวกเขาต้องการเข้าสู่ถนนแห่งดวงดาว อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกับปราชญ์โบราณเท่านั้น

“บางทีอาจมีประตูดวงดาวอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงแค่แท่นบูชาในพื้นที่ต้องห้ามโบราณ เราจำเป็นต้องรู้อีกมากเกี่ยวกับโลกนี้หากต้องการกลับบ้าน” เย่ฟ่านส่งเสียงอย่างลับๆ

จี้ฮ่าวเยว่คำนวณด้วยทักษะสวรรค์แม้ว่าจะดูที่ตราประทับทั้งสองแล้ว เขาก็ไม่พบอะไร นี่คือความสามารถพิเศษของร่างศักดิ์สิทธิ์และมีประโยชน์มากในการต่อสู้

ในที่สุดพวกเขาก็ออกจากที่นี่และเดินต่อไปข้างหน้า ทะเลสาบแห้งๆ ถูกปกคลุมด้วยหมอกและดูเหมือนอยู่ไม่ไกลแต่ยากที่จะเข้าไปใกล้

“มีภาพลวงตา!” เย่ฟ่านแสดงความประหลาดใจ

“เราเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่เราไม่สามารถไปที่นั่นได้ ในครั้งนี้เราเตรียมตัวมาเป็นพิเศษโดยคิดว่าต้องสามารถทำลายภาพลวงตานี้ได้อย่างแน่นอน” หลี่เหอซุยกล่าว

เจียงฮ่วยเหริน อู๋จงเทียน จักรพรรดิดำ และคนอื่นๆ ได้เคลื่อนไหว โดยหยิบเอาแท่นบูชาเล็กๆที่ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปแบบเฉพาะเจาะจงก่อนจะโยนลงไปในบ่อน้ำที่แห้งเหือดในทันที

“วาบ”

หมอกที่ปกคลุมบ่อน้ำไม่เพียงแต่จะไม่ลดลงเท่านั้นมันยังทวีความเข้มข้นมากขึ้นอีกด้วย

“เราผ่านไปไม่ได้แล้ว” ผังป๋อเลิกคิ้ว

หลังจากนั้นไม่นานหมอกหนาก็เริ่มไหลซึมออกมาจากบริเวณบ่อน้ำและกระจายเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างต้องถอยหลังกลับด้วยความไม่เต็มใจ

หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดพวกเขาจับหมาป่ามาตัวหนึ่งและโยนมันเข้าไปในหมอก อย่างไรก็ตามหมาป่าตัวนั้นส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนและร่างกายของมันก็กลายเป็นเพียงหมอกเลือดในพริบตา

“ที่นี่แปลกจริงๆ …”

แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะใช้ในการเปิดหมอกบริเวณนี้ขึ้นกลับถูกทำลายอย่างง่ายดาย นี่ช่างเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าอย่างแท้จริง

“มันจะเป็นบ่อน้ำฮั่วเซียนจริงๆหรือ?” หัวใจของเย่ฟ่านเต้นไม่เป็นจังหวะ ถ้ามันเป็นบ่อเซียนจริงๆ รับรองว่าต้องมีโอกาสที่ดีอย่างแน่นอน!

“ตั้งแต่สมัยโบราณไม่รู้ว่ามีผู้ยิ่งใหญ่มากมายเท่าไหร่ที่ตามหาบ่อเซียนนี้ ตามตำนานกล่าวไว้ว่ามีสมบัติระดับผู้อมตมากมายซุกซ่อนอยู่ภายใน”

จี้จื่อเยว่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดวงตาของนางมีความกระจ่างสดใสงดงามอย่างถึงที่สุด

“อย่าทำอะไรผลีผลาม ให้ข้าดูให้แน่ชัดก่อน”  เย่ฟ่านขอตัวกลับไปและเฝ้ามองบ่อน้ำจากท้องฟ้า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด