ตอนที่แล้วตอนที่ 8-57 มีระดับเซียนอีกแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 8-59 พี่น้องพบกัน

ตอนที่ 8-58 คำขอของบลูเมอร์


กลุ่มของลินลี่ย์ลงเรือที่ท่าเรือและเริ่มออกเดินทางตรงสู่นครหลวง แต่เนื่องจากท่าเรือแห่งนี้อยู่ในใจกลางภูมิภาคมณฑลหรดีจากจุดนั้นไปยังมณฑลใจกลางของโอเบรียนต้องเดินทางสี่พันกิโลเมตรไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว

ระยะทางไกลขนาดนั้นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวันหรือครึ่งเดือน  ต่อให้คนผู้เดียวขับขี่ม้าและควบเต็มฝีเท้าตลอดเวลาก็ตาม

บนเส้นทางสู่นครหลวงของแชนน์หลายคนคุยกันเรื่องดาวรุ่งของจักรวรรดิ บลูเมอร์ อาเคอร์ลุนด์

“ข้าเคยได้ยินมาว่าคนที่กลายเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามมีความเป็นไปได้ที่จะได้เป็นนักสู้ระดับเซียนบลูเมอร์โชคดีมาก”

“เจ้าหมายความว่ายังไง ‘มีความเป็นไปได้’?  รับรองได้”

ในร้านอาหารทั่วไปหลายแห่งของเมืองหลวงผู้คนดื่มกินจะคุยกันเรื่องนี้เสียงเอ็ดอึง “วันนั้น เมื่อมีการประกาศว่าบลูเมอร์เป็นศิษย์ส่วนตัว  ข้าไปที่นั่นด้วยตัวเอง  ศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามมาเองและทั้งสามคนเป็นยอดฝีมือระดับเซียน”

“ไม่ใช่ว่าศิษย์ของเขาทุกคนจะต้องได้เป็นระดับเซียนหรอก  เทพสงครามรับศิษย์รวมแล้วยี่สิบเจ็ดคนและคนแรกที่รับอายุเกินห้าพันปีแล้ว ตอนนี้เขาอาจตายไปแล้ว และมีศิษย์ส่วนตัวคนอื่นๆ ที่ยังไม่ปรากฏตัวอีก ใครจะรู้ว่าพวกเขาทุกคนเป็นระดับเซียนหรือไม่?”  อีกคนหนึ่งโต้แย้ง

“เจ้าไม่เชื่อในอำนาจของเทพสงครามหรือ?”

“แน่นอนว่าข้าเชื่อในเทพสงคราม แต่ศิษย์ส่วนตัวของเขาจำเป็นด้วยหรือต้องน่ากลัวขนาดนั้น?”  คนผู้นั้นเบ้ปาก“การฝึกฝนจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ธรรมชาติ ดูแต่โอลิวิเยร์เซียนกระบี่อัจฉริยะเถอะ เขาฝึกฝนด้วยตนเองและยังกลายเป็นนักสู้ที่ทรงพลังมาก มีศิษย์ของเทพสงครามกี่คนที่ประสบความสำเร็จเทียบได้กับท่านโอลิวิเยร์?”

“เจ้าไม่ใช่โอลิวิเยร์  เจ้าไม่มีคุณสมบัติพูดไม่ดีถึงบลูเมอร์  นอกจากนี้ท่านโอลิวิเยร์และท่านบลูเมอร์เป็นพี่น้องกัน เจ้าก็รู้!”

ปีนั้นเมื่อโอลิวิเยร์เข้าสู่ระดับเซียน  เขาก็เอาชนะเซียนดาบดาราดิลลอนได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นทุกคนเชื่อว่าโอลิวิเยร์มีพลังของนักสู้ระดับเซียนชั้นสูงแล้ว

แม้แต่ดิลลอนเองจะเป็นเพียงนักสู้ระดับเซียนชั้นกลาง  ถ้าโอลิวิเยร์ไม่ได้เป็นเซียนชั้นสูง  เขาจะเอาชนะดิลลอนได้ง่ายๆ ยังไงกัน?

“ข้าได้ยินว่าพรุ่งนี้ ฝ่าบาทจะพบบลูเมอร์ด้วยพระองค์เองและพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เขา”  จู่ๆ ก็มีบางคนพูดขึ้น

“ข้าก็ได้ยินมาอย่างนี้เช่นกัน  พรุ่งนี้ขุนนางหลายคนในเมืองหลวงจะเข้าเมืองหลวงไปที่ตำหนักผู้กล้า

จักรวรรดิโอเบรียนก็คือจักรวรรดิซึ่งให้คุณค่ากับพลังรบและการทหารของพวกเขาเป็นอย่างสูง เนื่องจากจักรพรรดิผู้สถานปนาก็คือเทพสงคราม  จึงเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิของจักรวรรดิต้องการพบกับอำมาตย์มุขมนตรีของพระองค์ก็จะไปที่ตำหนักผู้กล้า

ตำหนักผู้กล้าเป็นชื่อที่เทพสงครามตั้งชื่อให้เอง

วันต่อมา

ขุนนางหลายคนในเมืองหลวงตื่นกันแต่เช้าตรู่ในวันนี้  พวกเขาแต่งชุดเครื่องแบบจากนั้นต่างคนต่างขึ้นรถม้าของพวกเขามุ่งหน้าสู่วังหลวง วันนี้จักรพรรดิจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้บลูเมอร์ นี่คือกิจกรรมสำคัญ

ศิษย์ส่วนตัวทุกคนของเทพสงครามจะได้รับบรรดาศักดิ์จากจักรวรรดิ

สำหรับจักรพรรดิพระองค์หนึ่งการได้มีโอกาสทำเช่นนี้สักครั้งนับว่าโชคดีมากแล้ว  ที่สำคัญในอดีตห้าพันปีมีจักรพรรดิเกินกว่าร้อยพระองค์ แต่ศิษย์ส่วนตัวมีเพียงยี่สิบเจ็ดคน

ยศบรรดาศักดิ์จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  ไม่เคยสูงเท่าชั้นดยุค โดยทั่วไปเป็นบรรดาศักดิ์มาร์ควิส

“หลังจากเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามแล้ว ยศขุนนางที่พระราชทานให้บลูเมอร์ยังสูงกว่าที่ข้าได้รับ”  วอร์ตันคิดตามปกติขณะที่นั่งรถม้า

ศิษย์ส่วนตัวมีฐานะที่ได้รับการยกย่องมาก  ที่สำคัญ ไม่ว่าใครที่มีคุณสมบัติกลายเป็นศิษย์ส่วนตัวก็แทบจะแน่นอนว่าสามารถเข้าถึงความเป็นนักรบระดับเซียนแน่

นอกจากนี้พวกเขายังมีเทพสงครามหนุนหลังด้วยตัวเอง โดยปกติไม่มีใครกล้ารุกรานเขาอยู่แล้ว และถ้าท่านรุกรานศิษย์ส่วนตัวสักคน ศิษย์ส่วนตัวที่เหลือทั้งหมดอาจปรากฏตัวขึ้นก็ได้

เมื่อถึงประตูตำหนักแล้ว วอร์ตันออกจากรถม้าและเข้าไปข้างในพร้อมกับขุนนางคนอื่น

ตำหนักผู้กล้าโดยปกติจะมีอำมาตย์มุขมนตรีอาวุโสราวๆร้อยคนปรากฏตัวเข้าเฝ้าในตอนเช้า แต่วันนี้เป็นโอกาสพิเศษ ขุนนางหลายคนไม่ต้องเข้าเฝ้า ดังนั้นจึงมีแต่สมาชิกระดับสูงอยู่ที่นั่น

ขุนนางในวังทั่วไปไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานฉลองนี้ พวกที่เข้าร่วมวันนี้จะเป็นขุนนางที่มีอำนาจและหน้าที่ทั้งหมด  สำหรับวอร์ตันเขาเป็นเคานท์ผู้ที่จักรพรรดิพระราชทานบรรดาศักดิ์ด้วยพระองค์เอง  ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติเข้าร่วม

ตำหนักผู้กล้าปกติดูเหมือนกว้างใหญ่และมีพื้นที่ว่างมาก  แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยขุนนางเกินกว่าแปดร้อยและมุขมนตรีอาวุโส  ทำให้ดูเหมือนไม่ใหญ่เลย  มีผู้คนเต็มไปหมด

“บลูเมอร์, ขอแสดงความยินดีด้วย”

ในมุมตำหนักมุมหนึ่งคนมากมายรายล้อมบลูเมอร์ร่วมแสดงความยินดีกับเขาอย่างเป็นกันเอง  พี่ชายของบลูเมอร์ก็คือยอดฝีมือระดับเซียน ขณะที่บลูเมอร์ในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นยอดฝีมือระดับเซียนเช่นกัน  แม้แต่ตระกูลที่ทรงอำนาจมากที่สุดก็คงไม่โง่พอหาเรื่องตอแยยอดฝีมือระดับเซียน

บลูเมอร์พยักหน้าเงียบๆตอบรับขุนนางแต่ละคน

“อำนาจโลกๆ น่ะหรือ?”  บลูเมอร์ไม่สนใจ

ในใจของเขาคนที่เขาเทิดทูนอย่างแท้จริงก็คือโอลิวิเยร์พี่ชายของเขา แม้แต่วิชากระบี่ที่เขาใช้ก็ได้รับการพัฒนาจากนั้นโอลิวิเยร์จึงนำมาสอนเขา

ตั้งแต่เขายังเล็กโอลิวิเยร์มักแสดงพรสวรรค์ที่น่าทึ่งออกมามากและเขามักจะปกป้องบลูเมอร์เช่นกัน ถ้ามีใครบังอาจรังแกบลูเมอร์ โอลิวิเยร์จะแก้แค้นให้น้องชายของเขาแน่นอน

“พี่ใหญ่กำลังฝึกอยู่บนยอดเขาตามลำพัง  ข้าสงสัยว่าตอนนี้เขาเข้าถึงระดับใดแล้ว”  บลูเมอร์ลอบประหลาดใจ

เกือบเก้าปีแล้วที่พี่ชายของเขาเข้าสู่ระดับเซียนและเอาชนะเซียนดาบดาราดิลลอนได้อย่างง่ายดาย เวลานั้นมีบางคนเชื่อแล้วว่าโอลิวิเยร์มีพลังระดับเซียนชั้นสูง

แต่โอลิวิเยร์ไม่ยอมรับของขวัญหรือบรรดาศักดิ์ใดๆ  เขาแค่ออกไปฝึกฝนต่อ

สามปีต่อมาโอลิวิเยร์เริ่มฝึกฝนตามลำพังในภูเขารกร้างนอกเมืองหลวง ไม่มีใครรู้ว่าโอลิวิเยร์ที่เมื่อเก้าปีที่แล้วเป็นระดับเซียนชั้นสูงจะทรงพลังมากขนาดไหนในตอนนี้

“บางทีสักวันหนึ่งพี่ชายของข้าจะต้องถึงระดับเทพแน่” ในหัวใจของบลูเมอร์ พี่ชายของเขาคืออัจฉริยะที่ไม่มีใครปฏิเสธได้  ไม่มีอะไรที่พี่ชายของเขาทำไม่สำเร็จ

และเรื่องนี้ย่อมแน่นอน

โอลิวิเยร์ก็คืออัจฉริยะที่แม้แต่เทพสงครามก็ยังยกย่องสรรเสริญต้องการเขาเป็นศิษย์

“ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้ว” ขุนนางหลายคนสังเกตว่าจักรพรรดิมาถึง พวกเขากลับไปประจำตำแหน่งที่กำหนดไว้ทันทีและตั้งแถวถวายความเคารพจักรพรรดิของพวกเขา

โจฮันน์โอเบรียนจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโอเบรียนถือว่าเป็นจักรพรรดิที่ทรงธรรมพระองค์หนึ่งนอกจากเรื่องลำเอียงเล็กๆ น้อยๆ

โจฮันน์สูงถึง 1.9เมตรนับว่าค่อนข้างสูง แม้ว่าจะกลายเป็นจักรพรรดิแล้วพระองค์ยังคงฝึกปราณยุทธอยู่ทำให้ร่างของพระองค์ดูแข็งแรงและทรงพลังทรงฉลองพระองค์ชุดยาว ประทับนั่งบนราชบัลลังก์ทอดพระเนตรมองดูทุกคน

“ฮ่าฮ่า, บลูเมอร์อยู่ไหน?”  จักรพรรดิโจฮันน์ทรงพระสรวลขณะมองหาเป้าหมาย  วันนี้โจฮันน์มีความสุขมากทั้งพระชนกและพระอัยกาของพระองค์ยังไม่มีโอกาสได้พระราชทานยศตำแหน่งแก่ศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม  แต่พระองค์มีโอกาส

โอกาสเช่นนี้จะเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต

กว่าแปดร้อยชีวิตที่อยู่ต่อหน้าเขาโจฮันนน์ไม่ทันเห็นว่าบลูเมอร์อยู่ที่ใด บลูเมอร์เดินออกมาจากกลุ่มคนยืนอยู่ในกลางตำหนัก เขาคำนับแสดงความเคารพ  “บลูเมอร์ขอถวายบังคมฝ่าบาท”

โจฮันนน์พินิจดูบลูเมอร์อย่างระมัดระวัง  “เจ้าช่างเหลือเชื่อจริงๆใครจะคาดคิดกันว่าตระกูลอาเคอร์ลุนด์ถึงกับสร้างอัจฉริยะออกมาได้ถึงสองคนเจ้าไม่ด้อยไปกว่าพี่ชายของเจ้าเลยแม้แต่น้อย”

รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของบลูเมอร์

เมื่อใดก็ตามที่คนอื่นเอาเขาไปเทียบในระดับเดียวกับพี่ชายของเขาบลูเมอร์รู้สึกภูมิใจมาก

“เรามีความสุขมากที่เจ้าสามารถได้เป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม ในวันนี้ เราจะให้เจ้ารับบรรดาศักดิ์ขุนนางชั้นมาควิสที่สามารถตกทอดได้มีคฤหาสน์หนึ่งหลังบนที่ถนนโบลเดอร์ ทหารประจำตัวร้อยนาย บ่าวสตรีรับใช้อีกร้อยคนและทองอีกแสนเหรียญ” โจฮันนน์ประกาศเสียงดัง

ทุกคนจ้องมองบลูเมอร์ด้วยสายตาริษยา

กล่าวโดยทั่วไปในแต่ละรุ่นคนยศขุนนางชั้นมาร์ควิสจะถูกลดหนึ่งขั้น ถ้าในอนาคตไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ หลังจากผ่านไปสองสามรุ่นคนพวกเขาจะกลายเป็นสามัญชนอีกครั้งและยศขุนนางจะหมดไป

แต่บรรดาศักดิ์ขุนนางที่ตกทอดได้นั้นแตกต่างกัน  พวกเขาไม่มีทางตกต่ำจากยศถาบรรดาศักดิ์ได้เลย ยศมาควิสที่ตกทอดได้นี้สำคัญยิ่งกว่าดยุคปกครองหัวเมืองธรรมดาเสียอีก  จักรวรรดิมีดยุคหลายคน เกินร้อยคน  แต่มีน้อยมากที่ตำแหน่งจะสืบทอดไปถึงลูกหลานได้

“เป็นมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก ฝ่าบาท”  บลูเมอร์คำนับแสดงความเคารพ

โจฮันน์พยักหน้าพอใจความจริงการปูนบำเหน็จนี้ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ศิษย์ส่วนบุคคลของเทพสงครามจะได้รับศักดินาบรรดาศักดิ์และเป็นตำแหน่งที่สืบทอดทางสายเลือดได้

ในท่ามกลางขุนนางและมุขมนตรีวอร์ตันมองดูบลูเมอร์ที่ยืนอยู่ในท่ามกลางผู้คนอย่างภูมิใจ

ก่อนนี้เขาแพ้บลูเมอร์เมื่อวิทยาลัยเทพสงครามเลือกศิษย์กิตติมศักดิ์ รางวัลที่จักรพรรดิพระราชทานให้วอร์ตันก็คือบรรดาศักดิ์เคานท์ที่ตกทอดให้ลูกหลานได้บุรุษห้าสิบนาย บ่าวสตรีห้าสิบนางและทองห้าหมื่นเหรียญเห็นได้ชัดว่ารางวัลของบลูเมอร์นั้นมีระดับที่สูงกว่า

วอร์ตันไม่สนใจเรื่องของโลกๆมากนัก

แต่ในใจเขาวอร์ตันถือว่าบลูเมอร์เป็นคู่แข่งคนหนึ่งไปแล้ว “แม้ว่าเขาแก่กว่าข้าเกือบสิบปีก็ตาม แต่เขาก็เป็นแค่คนธรรมดา ข้าคือนักรบเลือดมังกร  สองเรื่องนี้ยกไว้ก่อน  ไม่ว่ายังไงก็ตามข้าไม่ยอมให้ตัวเองอ่อนแอกว่าเขาแน่” วอร์ตันทั้งภูมิใจทั้งดื้อรั้นยืนกราน

แต่เขาซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในใจ

“บลูเมอร์ วันนี้ เราอารมณ์ดียิ่งนัก เจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัวคนแรกที่เราได้มอบบรรดาศักดิ์ให้หลังจากที่เราขึ้นครองราชย์  ฮะฮะ บอกข้ามา มีอะไรอื่นที่เจ้าต้องการ?ตราบใดที่สมเหตุผลพอ เราย่อมเห็นด้วยแน่นอน” เสียงของโจฮันน์ดังขึ้นได้ยินทั้งตำหนักผู้กล้า

สายตาทุกคนมองมาทางบลูเมอร์

ความจริงคำพูดเหล่านี้ของโจฮันน์เป็นเพียงการพูดตามมารยาทเท่านั้น  การพูดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาศิษย์ส่วนตัวโดยมากจะทูลแต่คำประเภทว่า “เป็นพระมหากรุณธิคุณยิ่งนัก ฝ่าบาท”และพวกเขาก็จะไม่ทูลขออะไรจริงจัง

“กราบทูลฝ่าบาท ข้าพระองค์ใคร่จะทูลขอพระองค์จริงๆพระเจ้าค่ะ”  บลูเมอร์ทูล

วอร์ตันจ้องมองบลูเมอร์ด้วยความสงสัยเล็กน้อย

“ว่าไป” โจฮันน์โบกพระหัตถ์อย่างไม่ถือสา

บลูถวายบังคมก่อนทูลต่อ“ฝ่าบาท, ข้าพระองค์ได้เห็นองค์หญิงเจ็ดแล้ว และทันทีที่ได้เห็นนางหัวใจของข้าพระองค์ก็ตราตรึงอยู่ที่นาง ข้าพระองค์น้อมทูลฝ่าบาทให้พระราชทานองค์หญิงเจ็ดแต่งงานกับข้าพระองค์พระเจ้าค่ะ”

หลังจากพูดคำนี้ออกไป  ทุกคนในตำหนักตะลึงกันหมด

ทูลขอแต่งงานกับองค์หญิง!

บลูเมอร์ผู้นี้ทูลขอแต่งงานกับองค์หญิงจริงๆ

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้วอร์ตันรู้สึกเวียนศีรษะยิ่งขึ้น  เขาส่ายศีรษะจ้องมองบลูเมอร์ที่อยู่กลางตำหนักเขม็ง

บลูเพียงแต่จ้องมองจักรพรรดิอย่างเงียบๆ

“ข้าพระองค์ขอน้อมทูลว่าฝ่าบาทพระราชทานให้ข้าพระองค์ทูลขอนะพระเจ้าค่ะ”บลูเมอร์พูดย้ำอีกครั้ง

ขุนนางที่อยู่ใกล้ๆทุกคนและมุขมนตรีอาวุโสหันไปมองวอร์ตัน ใครบ้างในนครหลวงไม่รู้เรื่องวอร์ตันกับนีน่า? เมื่อไม่นานนี้เคย์ลันบุตรของมหาเสนาบดีซ้ายได้ทูลแจ้งฝ่าบาทให้ทราบว่าเขาจะไม่ตามพัวพันองค์หญิงเจ็ดอีกต่อไป

หลายคนเชื่อว่าวอร์ตันและนีน่าจะได้ครองคู่กันในที่สุด

แม้แต่จักรพรรดิโยฮันน์ก็ตั้งใจจะเลือกวันมงคลให้วอร์ตันและนีน่าแต่งงานกัน  แต่คำขอของบลูเมอร์นี้ต้องไตร่ตรองใหม่ทันที

โจฮันน์ชำเลืองมองวอร์ตันที่ยืนเด่นอยู่ในกลุ่มคนเขาสูง 2.2 เมตร สูงที่สุดในกลุ่มของขุนนางและมุขอำมาตย์ท้องถิ่น

โจฮันน์หัวเราะกล่าว  “บลูเมอร์, เราปรารถนาจะให้เจ้าได้รับประโยชน์จริงๆ แต่เราต้องถามนีน่าว่านางคิดยังไง อย่าเพิ่งใจร้อน ฮ่าฮ่า...”

“พะย่ะค่ะ, ฝ่าบาท” บลูเมอร์ไม่พูดอะไรอีกต่อไป

หลังจากการตัดสินเลื่อนออกไปวอร์ตันหันไปจ้องบลูเมอร์ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกไปจากตำหนักผู้กล้า  สำหรับบลูเมอร์การกระทำเช่นนั้นทำให้วอร์ตันตั้งตัวไม่ติด

จักรพรรดิโจฮันน์กำลังเดินชมอุทยานดอกไม้  เขาอยู่ในอารมณ์ที่ดี

“โอลิวิเยร์ผู้นั้นไม่สนใจชื่อเสียงหรือยศถาบรรดาศักดิ์ ยากที่ข้าจะรับเขาเข้ามา ข้ากำลังคิดเรื่องว่าจะดึงตระกูลอาเคอร์ลุนด์เข้ามารับใช้ข้าได้อย่างไร  แต่ข้าคาดไม่ถึง... ข้าคาดไม่ถึง...”

สำหรับโจฮันน์โอลิวิเยร์เอาชนะเซียนดาบดาราดิลลอนได้แทบจะไม่นานหลังจากเป็นระดับเซียน เป็นผู้ที่ควรสร้างสัมพันธ์ที่ดีด้วย

และน้องชายของเขาเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม

ตระกูลอาเคอร์ลุนด์ในอนาคตอาจจะมีนักสู้ระดับเซียนได้ถึงสองคน

“โอลิวิเยร์แข็งแกร่งมากเมื่อตอนที่เข้าสู่ระดับเซียน ในอนาคตเขาอาจจะน่าทึ่งได้ยิ่งกว่านี้ ขณะเดียวกัน ข้าไม่สามารถปฏิเสธที่เผชิญหน้ากับศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามได้”  โจฮันน์ขมวดคิ้ว  “แต่วอร์ตันนั้น...”

นี่คือเหตุผลที่โจฮันน์ไม่ตอบตกลงทันทีในตำหนักผู้กล้า

วอร์ตันและนีน่าต่างก็รักกันจริงๆ

“วอร์ตันมีแต่เพียงการสนับสนุนของตระกูลนักรบเลือดมังกรที่ล่มสลายไปแล้ว  ขณะที่เบื้องหลังของบลูเมอร์ก็คือการสนับสนุนจากเทพสงครามและโอลิวิเยร์”

ความจริงโจฮันน์ให้น้ำหนักสถานะของบลูเมอร์ในฐานะของศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามมากกว่า

“ตอนนี้ข้าจะทอดเวลาต่อไปก่อน  ไม่เร่งร้อน” โจฮันน์ตัดสินใจใช้กลยุทธเดิมที่เขาเคยใช้กับวอร์ตันและเคย์ลันก่อนนั้นเมื่อเขาสะดุดเรื่องนีน่า เพียงแต่ในใจของโจฮันน์เอนเอียงไปทางบลูเมอร์

แต่สิ่งที่ในนครหลวงแชนน์ไม่รู้ก็คือขณะนี้คณะของลินลี่ย์มียอดฝีมือระดับเซียนถึงหกกำลังมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด