ตอนที่ 8-58 คำขอของบลูเมอร์
กลุ่มของลินลี่ย์ลงเรือที่ท่าเรือและเริ่มออกเดินทางตรงสู่นครหลวง แต่เนื่องจากท่าเรือแห่งนี้อยู่ในใจกลางภูมิภาคมณฑลหรดีจากจุดนั้นไปยังมณฑลใจกลางของโอเบรียนต้องเดินทางสี่พันกิโลเมตรไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว
ระยะทางไกลขนาดนั้นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวันหรือครึ่งเดือน ต่อให้คนผู้เดียวขับขี่ม้าและควบเต็มฝีเท้าตลอดเวลาก็ตาม
บนเส้นทางสู่นครหลวงของแชนน์หลายคนคุยกันเรื่องดาวรุ่งของจักรวรรดิ บลูเมอร์ อาเคอร์ลุนด์
“ข้าเคยได้ยินมาว่าคนที่กลายเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามมีความเป็นไปได้ที่จะได้เป็นนักสู้ระดับเซียนบลูเมอร์โชคดีมาก”
“เจ้าหมายความว่ายังไง ‘มีความเป็นไปได้’? รับรองได้”
ในร้านอาหารทั่วไปหลายแห่งของเมืองหลวงผู้คนดื่มกินจะคุยกันเรื่องนี้เสียงเอ็ดอึง “วันนั้น เมื่อมีการประกาศว่าบลูเมอร์เป็นศิษย์ส่วนตัว ข้าไปที่นั่นด้วยตัวเอง ศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามมาเองและทั้งสามคนเป็นยอดฝีมือระดับเซียน”
“ไม่ใช่ว่าศิษย์ของเขาทุกคนจะต้องได้เป็นระดับเซียนหรอก เทพสงครามรับศิษย์รวมแล้วยี่สิบเจ็ดคนและคนแรกที่รับอายุเกินห้าพันปีแล้ว ตอนนี้เขาอาจตายไปแล้ว และมีศิษย์ส่วนตัวคนอื่นๆ ที่ยังไม่ปรากฏตัวอีก ใครจะรู้ว่าพวกเขาทุกคนเป็นระดับเซียนหรือไม่?” อีกคนหนึ่งโต้แย้ง
“เจ้าไม่เชื่อในอำนาจของเทพสงครามหรือ?”
“แน่นอนว่าข้าเชื่อในเทพสงคราม แต่ศิษย์ส่วนตัวของเขาจำเป็นด้วยหรือต้องน่ากลัวขนาดนั้น?” คนผู้นั้นเบ้ปาก“การฝึกฝนจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ธรรมชาติ ดูแต่โอลิวิเยร์เซียนกระบี่อัจฉริยะเถอะ เขาฝึกฝนด้วยตนเองและยังกลายเป็นนักสู้ที่ทรงพลังมาก มีศิษย์ของเทพสงครามกี่คนที่ประสบความสำเร็จเทียบได้กับท่านโอลิวิเยร์?”
“เจ้าไม่ใช่โอลิวิเยร์ เจ้าไม่มีคุณสมบัติพูดไม่ดีถึงบลูเมอร์ นอกจากนี้ท่านโอลิวิเยร์และท่านบลูเมอร์เป็นพี่น้องกัน เจ้าก็รู้!”
ปีนั้นเมื่อโอลิวิเยร์เข้าสู่ระดับเซียน เขาก็เอาชนะเซียนดาบดาราดิลลอนได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นทุกคนเชื่อว่าโอลิวิเยร์มีพลังของนักสู้ระดับเซียนชั้นสูงแล้ว
แม้แต่ดิลลอนเองจะเป็นเพียงนักสู้ระดับเซียนชั้นกลาง ถ้าโอลิวิเยร์ไม่ได้เป็นเซียนชั้นสูง เขาจะเอาชนะดิลลอนได้ง่ายๆ ยังไงกัน?
“ข้าได้ยินว่าพรุ่งนี้ ฝ่าบาทจะพบบลูเมอร์ด้วยพระองค์เองและพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เขา” จู่ๆ ก็มีบางคนพูดขึ้น
“ข้าก็ได้ยินมาอย่างนี้เช่นกัน พรุ่งนี้ขุนนางหลายคนในเมืองหลวงจะเข้าเมืองหลวงไปที่ตำหนักผู้กล้า
จักรวรรดิโอเบรียนก็คือจักรวรรดิซึ่งให้คุณค่ากับพลังรบและการทหารของพวกเขาเป็นอย่างสูง เนื่องจากจักรพรรดิผู้สถานปนาก็คือเทพสงคราม จึงเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิของจักรวรรดิต้องการพบกับอำมาตย์มุขมนตรีของพระองค์ก็จะไปที่ตำหนักผู้กล้า
ตำหนักผู้กล้าเป็นชื่อที่เทพสงครามตั้งชื่อให้เอง
วันต่อมา
ขุนนางหลายคนในเมืองหลวงตื่นกันแต่เช้าตรู่ในวันนี้ พวกเขาแต่งชุดเครื่องแบบจากนั้นต่างคนต่างขึ้นรถม้าของพวกเขามุ่งหน้าสู่วังหลวง วันนี้จักรพรรดิจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้บลูเมอร์ นี่คือกิจกรรมสำคัญ
ศิษย์ส่วนตัวทุกคนของเทพสงครามจะได้รับบรรดาศักดิ์จากจักรวรรดิ
สำหรับจักรพรรดิพระองค์หนึ่งการได้มีโอกาสทำเช่นนี้สักครั้งนับว่าโชคดีมากแล้ว ที่สำคัญในอดีตห้าพันปีมีจักรพรรดิเกินกว่าร้อยพระองค์ แต่ศิษย์ส่วนตัวมีเพียงยี่สิบเจ็ดคน
ยศบรรดาศักดิ์จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เคยสูงเท่าชั้นดยุค โดยทั่วไปเป็นบรรดาศักดิ์มาร์ควิส
“หลังจากเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามแล้ว ยศขุนนางที่พระราชทานให้บลูเมอร์ยังสูงกว่าที่ข้าได้รับ” วอร์ตันคิดตามปกติขณะที่นั่งรถม้า
ศิษย์ส่วนตัวมีฐานะที่ได้รับการยกย่องมาก ที่สำคัญ ไม่ว่าใครที่มีคุณสมบัติกลายเป็นศิษย์ส่วนตัวก็แทบจะแน่นอนว่าสามารถเข้าถึงความเป็นนักรบระดับเซียนแน่
นอกจากนี้พวกเขายังมีเทพสงครามหนุนหลังด้วยตัวเอง โดยปกติไม่มีใครกล้ารุกรานเขาอยู่แล้ว และถ้าท่านรุกรานศิษย์ส่วนตัวสักคน ศิษย์ส่วนตัวที่เหลือทั้งหมดอาจปรากฏตัวขึ้นก็ได้
เมื่อถึงประตูตำหนักแล้ว วอร์ตันออกจากรถม้าและเข้าไปข้างในพร้อมกับขุนนางคนอื่น
ตำหนักผู้กล้าโดยปกติจะมีอำมาตย์มุขมนตรีอาวุโสราวๆร้อยคนปรากฏตัวเข้าเฝ้าในตอนเช้า แต่วันนี้เป็นโอกาสพิเศษ ขุนนางหลายคนไม่ต้องเข้าเฝ้า ดังนั้นจึงมีแต่สมาชิกระดับสูงอยู่ที่นั่น
ขุนนางในวังทั่วไปไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานฉลองนี้ พวกที่เข้าร่วมวันนี้จะเป็นขุนนางที่มีอำนาจและหน้าที่ทั้งหมด สำหรับวอร์ตันเขาเป็นเคานท์ผู้ที่จักรพรรดิพระราชทานบรรดาศักดิ์ด้วยพระองค์เอง ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติเข้าร่วม
ตำหนักผู้กล้าปกติดูเหมือนกว้างใหญ่และมีพื้นที่ว่างมาก แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยขุนนางเกินกว่าแปดร้อยและมุขมนตรีอาวุโส ทำให้ดูเหมือนไม่ใหญ่เลย มีผู้คนเต็มไปหมด
“บลูเมอร์, ขอแสดงความยินดีด้วย”
ในมุมตำหนักมุมหนึ่งคนมากมายรายล้อมบลูเมอร์ร่วมแสดงความยินดีกับเขาอย่างเป็นกันเอง พี่ชายของบลูเมอร์ก็คือยอดฝีมือระดับเซียน ขณะที่บลูเมอร์ในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นยอดฝีมือระดับเซียนเช่นกัน แม้แต่ตระกูลที่ทรงอำนาจมากที่สุดก็คงไม่โง่พอหาเรื่องตอแยยอดฝีมือระดับเซียน
บลูเมอร์พยักหน้าเงียบๆตอบรับขุนนางแต่ละคน
“อำนาจโลกๆ น่ะหรือ?” บลูเมอร์ไม่สนใจ
ในใจของเขาคนที่เขาเทิดทูนอย่างแท้จริงก็คือโอลิวิเยร์พี่ชายของเขา แม้แต่วิชากระบี่ที่เขาใช้ก็ได้รับการพัฒนาจากนั้นโอลิวิเยร์จึงนำมาสอนเขา
ตั้งแต่เขายังเล็กโอลิวิเยร์มักแสดงพรสวรรค์ที่น่าทึ่งออกมามากและเขามักจะปกป้องบลูเมอร์เช่นกัน ถ้ามีใครบังอาจรังแกบลูเมอร์ โอลิวิเยร์จะแก้แค้นให้น้องชายของเขาแน่นอน
“พี่ใหญ่กำลังฝึกอยู่บนยอดเขาตามลำพัง ข้าสงสัยว่าตอนนี้เขาเข้าถึงระดับใดแล้ว” บลูเมอร์ลอบประหลาดใจ
เกือบเก้าปีแล้วที่พี่ชายของเขาเข้าสู่ระดับเซียนและเอาชนะเซียนดาบดาราดิลลอนได้อย่างง่ายดาย เวลานั้นมีบางคนเชื่อแล้วว่าโอลิวิเยร์มีพลังระดับเซียนชั้นสูง
แต่โอลิวิเยร์ไม่ยอมรับของขวัญหรือบรรดาศักดิ์ใดๆ เขาแค่ออกไปฝึกฝนต่อ
สามปีต่อมาโอลิวิเยร์เริ่มฝึกฝนตามลำพังในภูเขารกร้างนอกเมืองหลวง ไม่มีใครรู้ว่าโอลิวิเยร์ที่เมื่อเก้าปีที่แล้วเป็นระดับเซียนชั้นสูงจะทรงพลังมากขนาดไหนในตอนนี้
“บางทีสักวันหนึ่งพี่ชายของข้าจะต้องถึงระดับเทพแน่” ในหัวใจของบลูเมอร์ พี่ชายของเขาคืออัจฉริยะที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ไม่มีอะไรที่พี่ชายของเขาทำไม่สำเร็จ
และเรื่องนี้ย่อมแน่นอน
โอลิวิเยร์ก็คืออัจฉริยะที่แม้แต่เทพสงครามก็ยังยกย่องสรรเสริญต้องการเขาเป็นศิษย์
“ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้ว” ขุนนางหลายคนสังเกตว่าจักรพรรดิมาถึง พวกเขากลับไปประจำตำแหน่งที่กำหนดไว้ทันทีและตั้งแถวถวายความเคารพจักรพรรดิของพวกเขา
โจฮันน์โอเบรียนจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโอเบรียนถือว่าเป็นจักรพรรดิที่ทรงธรรมพระองค์หนึ่งนอกจากเรื่องลำเอียงเล็กๆ น้อยๆ
โจฮันน์สูงถึง 1.9เมตรนับว่าค่อนข้างสูง แม้ว่าจะกลายเป็นจักรพรรดิแล้วพระองค์ยังคงฝึกปราณยุทธอยู่ทำให้ร่างของพระองค์ดูแข็งแรงและทรงพลังทรงฉลองพระองค์ชุดยาว ประทับนั่งบนราชบัลลังก์ทอดพระเนตรมองดูทุกคน
“ฮ่าฮ่า, บลูเมอร์อยู่ไหน?” จักรพรรดิโจฮันน์ทรงพระสรวลขณะมองหาเป้าหมาย วันนี้โจฮันน์มีความสุขมากทั้งพระชนกและพระอัยกาของพระองค์ยังไม่มีโอกาสได้พระราชทานยศตำแหน่งแก่ศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม แต่พระองค์มีโอกาส
โอกาสเช่นนี้จะเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต
กว่าแปดร้อยชีวิตที่อยู่ต่อหน้าเขาโจฮันนน์ไม่ทันเห็นว่าบลูเมอร์อยู่ที่ใด บลูเมอร์เดินออกมาจากกลุ่มคนยืนอยู่ในกลางตำหนัก เขาคำนับแสดงความเคารพ “บลูเมอร์ขอถวายบังคมฝ่าบาท”
โจฮันนน์พินิจดูบลูเมอร์อย่างระมัดระวัง “เจ้าช่างเหลือเชื่อจริงๆใครจะคาดคิดกันว่าตระกูลอาเคอร์ลุนด์ถึงกับสร้างอัจฉริยะออกมาได้ถึงสองคนเจ้าไม่ด้อยไปกว่าพี่ชายของเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของบลูเมอร์
เมื่อใดก็ตามที่คนอื่นเอาเขาไปเทียบในระดับเดียวกับพี่ชายของเขาบลูเมอร์รู้สึกภูมิใจมาก
“เรามีความสุขมากที่เจ้าสามารถได้เป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม ในวันนี้ เราจะให้เจ้ารับบรรดาศักดิ์ขุนนางชั้นมาควิสที่สามารถตกทอดได้มีคฤหาสน์หนึ่งหลังบนที่ถนนโบลเดอร์ ทหารประจำตัวร้อยนาย บ่าวสตรีรับใช้อีกร้อยคนและทองอีกแสนเหรียญ” โจฮันนน์ประกาศเสียงดัง
ทุกคนจ้องมองบลูเมอร์ด้วยสายตาริษยา
กล่าวโดยทั่วไปในแต่ละรุ่นคนยศขุนนางชั้นมาร์ควิสจะถูกลดหนึ่งขั้น ถ้าในอนาคตไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ หลังจากผ่านไปสองสามรุ่นคนพวกเขาจะกลายเป็นสามัญชนอีกครั้งและยศขุนนางจะหมดไป
แต่บรรดาศักดิ์ขุนนางที่ตกทอดได้นั้นแตกต่างกัน พวกเขาไม่มีทางตกต่ำจากยศถาบรรดาศักดิ์ได้เลย ยศมาควิสที่ตกทอดได้นี้สำคัญยิ่งกว่าดยุคปกครองหัวเมืองธรรมดาเสียอีก จักรวรรดิมีดยุคหลายคน เกินร้อยคน แต่มีน้อยมากที่ตำแหน่งจะสืบทอดไปถึงลูกหลานได้
“เป็นมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก ฝ่าบาท” บลูเมอร์คำนับแสดงความเคารพ
โจฮันน์พยักหน้าพอใจความจริงการปูนบำเหน็จนี้ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ศิษย์ส่วนบุคคลของเทพสงครามจะได้รับศักดินาบรรดาศักดิ์และเป็นตำแหน่งที่สืบทอดทางสายเลือดได้
ในท่ามกลางขุนนางและมุขมนตรีวอร์ตันมองดูบลูเมอร์ที่ยืนอยู่ในท่ามกลางผู้คนอย่างภูมิใจ
ก่อนนี้เขาแพ้บลูเมอร์เมื่อวิทยาลัยเทพสงครามเลือกศิษย์กิตติมศักดิ์ รางวัลที่จักรพรรดิพระราชทานให้วอร์ตันก็คือบรรดาศักดิ์เคานท์ที่ตกทอดให้ลูกหลานได้บุรุษห้าสิบนาย บ่าวสตรีห้าสิบนางและทองห้าหมื่นเหรียญเห็นได้ชัดว่ารางวัลของบลูเมอร์นั้นมีระดับที่สูงกว่า
วอร์ตันไม่สนใจเรื่องของโลกๆมากนัก
แต่ในใจเขาวอร์ตันถือว่าบลูเมอร์เป็นคู่แข่งคนหนึ่งไปแล้ว “แม้ว่าเขาแก่กว่าข้าเกือบสิบปีก็ตาม แต่เขาก็เป็นแค่คนธรรมดา ข้าคือนักรบเลือดมังกร สองเรื่องนี้ยกไว้ก่อน ไม่ว่ายังไงก็ตามข้าไม่ยอมให้ตัวเองอ่อนแอกว่าเขาแน่” วอร์ตันทั้งภูมิใจทั้งดื้อรั้นยืนกราน
แต่เขาซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในใจ
“บลูเมอร์ วันนี้ เราอารมณ์ดียิ่งนัก เจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัวคนแรกที่เราได้มอบบรรดาศักดิ์ให้หลังจากที่เราขึ้นครองราชย์ ฮะฮะ บอกข้ามา มีอะไรอื่นที่เจ้าต้องการ?ตราบใดที่สมเหตุผลพอ เราย่อมเห็นด้วยแน่นอน” เสียงของโจฮันน์ดังขึ้นได้ยินทั้งตำหนักผู้กล้า
สายตาทุกคนมองมาทางบลูเมอร์
ความจริงคำพูดเหล่านี้ของโจฮันน์เป็นเพียงการพูดตามมารยาทเท่านั้น การพูดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาศิษย์ส่วนตัวโดยมากจะทูลแต่คำประเภทว่า “เป็นพระมหากรุณธิคุณยิ่งนัก ฝ่าบาท”และพวกเขาก็จะไม่ทูลขออะไรจริงจัง
“กราบทูลฝ่าบาท ข้าพระองค์ใคร่จะทูลขอพระองค์จริงๆพระเจ้าค่ะ” บลูเมอร์ทูล
วอร์ตันจ้องมองบลูเมอร์ด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ว่าไป” โจฮันน์โบกพระหัตถ์อย่างไม่ถือสา
บลูถวายบังคมก่อนทูลต่อ“ฝ่าบาท, ข้าพระองค์ได้เห็นองค์หญิงเจ็ดแล้ว และทันทีที่ได้เห็นนางหัวใจของข้าพระองค์ก็ตราตรึงอยู่ที่นาง ข้าพระองค์น้อมทูลฝ่าบาทให้พระราชทานองค์หญิงเจ็ดแต่งงานกับข้าพระองค์พระเจ้าค่ะ”
หลังจากพูดคำนี้ออกไป ทุกคนในตำหนักตะลึงกันหมด
ทูลขอแต่งงานกับองค์หญิง!
บลูเมอร์ผู้นี้ทูลขอแต่งงานกับองค์หญิงจริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้วอร์ตันรู้สึกเวียนศีรษะยิ่งขึ้น เขาส่ายศีรษะจ้องมองบลูเมอร์ที่อยู่กลางตำหนักเขม็ง
บลูเพียงแต่จ้องมองจักรพรรดิอย่างเงียบๆ
“ข้าพระองค์ขอน้อมทูลว่าฝ่าบาทพระราชทานให้ข้าพระองค์ทูลขอนะพระเจ้าค่ะ”บลูเมอร์พูดย้ำอีกครั้ง
ขุนนางที่อยู่ใกล้ๆทุกคนและมุขมนตรีอาวุโสหันไปมองวอร์ตัน ใครบ้างในนครหลวงไม่รู้เรื่องวอร์ตันกับนีน่า? เมื่อไม่นานนี้เคย์ลันบุตรของมหาเสนาบดีซ้ายได้ทูลแจ้งฝ่าบาทให้ทราบว่าเขาจะไม่ตามพัวพันองค์หญิงเจ็ดอีกต่อไป
หลายคนเชื่อว่าวอร์ตันและนีน่าจะได้ครองคู่กันในที่สุด
แม้แต่จักรพรรดิโยฮันน์ก็ตั้งใจจะเลือกวันมงคลให้วอร์ตันและนีน่าแต่งงานกัน แต่คำขอของบลูเมอร์นี้ต้องไตร่ตรองใหม่ทันที
โจฮันน์ชำเลืองมองวอร์ตันที่ยืนเด่นอยู่ในกลุ่มคนเขาสูง 2.2 เมตร สูงที่สุดในกลุ่มของขุนนางและมุขอำมาตย์ท้องถิ่น
โจฮันน์หัวเราะกล่าว “บลูเมอร์, เราปรารถนาจะให้เจ้าได้รับประโยชน์จริงๆ แต่เราต้องถามนีน่าว่านางคิดยังไง อย่าเพิ่งใจร้อน ฮ่าฮ่า...”
“พะย่ะค่ะ, ฝ่าบาท” บลูเมอร์ไม่พูดอะไรอีกต่อไป
หลังจากการตัดสินเลื่อนออกไปวอร์ตันหันไปจ้องบลูเมอร์ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกไปจากตำหนักผู้กล้า สำหรับบลูเมอร์การกระทำเช่นนั้นทำให้วอร์ตันตั้งตัวไม่ติด
จักรพรรดิโจฮันน์กำลังเดินชมอุทยานดอกไม้ เขาอยู่ในอารมณ์ที่ดี
“โอลิวิเยร์ผู้นั้นไม่สนใจชื่อเสียงหรือยศถาบรรดาศักดิ์ ยากที่ข้าจะรับเขาเข้ามา ข้ากำลังคิดเรื่องว่าจะดึงตระกูลอาเคอร์ลุนด์เข้ามารับใช้ข้าได้อย่างไร แต่ข้าคาดไม่ถึง... ข้าคาดไม่ถึง...”
สำหรับโจฮันน์โอลิวิเยร์เอาชนะเซียนดาบดาราดิลลอนได้แทบจะไม่นานหลังจากเป็นระดับเซียน เป็นผู้ที่ควรสร้างสัมพันธ์ที่ดีด้วย
และน้องชายของเขาเป็นศิษย์ส่วนตัวของเทพสงคราม
ตระกูลอาเคอร์ลุนด์ในอนาคตอาจจะมีนักสู้ระดับเซียนได้ถึงสองคน
“โอลิวิเยร์แข็งแกร่งมากเมื่อตอนที่เข้าสู่ระดับเซียน ในอนาคตเขาอาจจะน่าทึ่งได้ยิ่งกว่านี้ ขณะเดียวกัน ข้าไม่สามารถปฏิเสธที่เผชิญหน้ากับศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามได้” โจฮันน์ขมวดคิ้ว “แต่วอร์ตันนั้น...”
นี่คือเหตุผลที่โจฮันน์ไม่ตอบตกลงทันทีในตำหนักผู้กล้า
วอร์ตันและนีน่าต่างก็รักกันจริงๆ
“วอร์ตันมีแต่เพียงการสนับสนุนของตระกูลนักรบเลือดมังกรที่ล่มสลายไปแล้ว ขณะที่เบื้องหลังของบลูเมอร์ก็คือการสนับสนุนจากเทพสงครามและโอลิวิเยร์”
ความจริงโจฮันน์ให้น้ำหนักสถานะของบลูเมอร์ในฐานะของศิษย์ส่วนตัวของเทพสงครามมากกว่า
“ตอนนี้ข้าจะทอดเวลาต่อไปก่อน ไม่เร่งร้อน” โจฮันน์ตัดสินใจใช้กลยุทธเดิมที่เขาเคยใช้กับวอร์ตันและเคย์ลันก่อนนั้นเมื่อเขาสะดุดเรื่องนีน่า เพียงแต่ในใจของโจฮันน์เอนเอียงไปทางบลูเมอร์
แต่สิ่งที่ในนครหลวงแชนน์ไม่รู้ก็คือขณะนี้คณะของลินลี่ย์มียอดฝีมือระดับเซียนถึงหกกำลังมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง