ตอนที่ 8-57 มีระดับเซียนอีกแล้ว
แก่นอสูรเวทระดับเซียนบรรจุแกนพลังเวทของอสูรเวทระดับเซียนไว้ แก่นเวทอสูรระดับเซียนคือสิ่งที่ยากจะบริโภคได้และต้องใช้เวลามากในการทำเช่นนั้น ในอดีตเป็นเพราะลินลี่ย์มีสายเลือดนักรบเลือดมังกรในตำนานอยู่แล้วสายเลือดพิเศษของเขาจึงสลายและดูดซึมแก่นอสูรเวทของมังกรเกราะหนามระดับเก้าได้
แต่แม้ว่าหลังจากเขาจะละลายและดูดซึมแก่นอสูรเวทระดับเก้าไปแล้วก็ตามพลังงานที่ยังเหลืออยู่ของแก่นเวทยังคงเหลือค้างในตัวลินลี่ย์คู่กับเลือดมังกรเดิมของเขามันยังไม่ถูกลินลี่ย์ควบคุมใช้งานได้อย่างสิ้นเชิง
“ขณะที่เรายังล่องลงใต้ต่อไปนี้ จากตรงนี้ไปจนถึงมณฑลหรดีจะต้องเดินทางมากกว่าสามพันกิโลเมตร ระยะทางไกลขนาดนั้นจะต้องใช้เวลาอีกหลายวัน แม้ว่าเราจะล่องไปตามกระแสน้ำก็ตาม”
ขณะมองดูเกลียวคลื่น ลินลี่ย์พูดกับตัวเอง
ใครจะรู้ว่าสองสามวันนี้จะเพียงพอให้แฮรุย่อยสลายและซึมซับแก่นอสูรเวทระดับเซียนเสร็จหรือไม่ ลินลี่ย์ไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยตนเองแน่นอนว่าในเมื่อเป็นเรื่องการดูดซึมแก่นอสูรเวทของอสูรเวทระดับเก้าชั้นสูง
“เกทส์, ทำไมเจ้าถึงกลับเข้าไปข้างในเล่า? วิวภาพรอบๆ แม่น้ำยูลานก็งดงามดี” พี่สามเฮเซอร์พูดเสียงดัง
ในพี่น้องบาร์เกอร์ สี่คนกำลังยืนอยู่หน้าราวกั้นเพลิดเพลินกับภาพงดงามของแม่น้ำยูลาน มีแต่เกทส์ที่กลับไปที่ห้องพัก
“พี่ใหญ่กับพี่รองบรรลุระดับของเขาไปได้แล้ว พี่สาม, พวกท่านสามารถดูได้ แต่ข้าไม่มีอารมณ์ ข้าไม่อยากเสียเวลา ข้าจะกลับไปฝึก” เกทส์ตอบกลับเสียงดัง
เฮเซอร์รู้สึกตัวว่าเลินเล่อ
ลินลี่ย์หันไปมองเกทส์อย่างประหลาดใจ ตอนนี้มีเพียงสองในห้าคนที่เชี่ยวชาญถึงระดับเคล็ด‘กวัดแกว่งของหนักเสมือนของเบา’คนหนึ่งคือบาร์เกอร์ ขณะที่อีกคนก็คือเกทส์ เกทส์คือคนที่มากไปด้วยความภูมิใจ ลินลี่ย์รู้จักคนผู้นี้ดีเช่นกัน
“เกทส์พูดถูก” บูนพี่คนที่สี่พยักหน้าเหมือนกัน “ข้าจะกลับไปฝึกเหมือนกัน”
พี่สามเฮเซอร์เดินตามบูนเข้าไปในห้องเช่นกันเหลืออยู่แต่บาร์เกอร์และอังเก้ ทั้งสองคนมองดูกันเองแล้วเริ่มหัวเราะ
“น้องรอง, เจ้าก็ต้องพยายามให้หนักนะ ถ้าเกทส์ยกระดับได้เขาจะแข็งแกร่งมากกว่าเจ้า” บาร์เกอร์หัวเราะพลางพูดกับอังเก้
อังเก้พยักหน้าแบกขวานยักษ์กลับไปห้องพัก “ข้าจะไปฝึกอาวุธที่ดาดฟ้าท้ายเรือ”
“ข้าจะไปกับเจ้า” บาร์เกอร์แบกขวานยักษ์ด้ามยาวของตนเองไปด้วยเช่นกัน
ขวานยักษ์ด้ามยาวของบาร์เกอร์และน้องๆของเขาเป็นอาวุธที่ประหลาด และขวานเหล่านี้อาจเป็นอาวุธที่หนักที่สุดในโลกก็ได้แต่ละเล่มหนัก 5300 ปอนด์เหมาะเป็นอาวุธคู่มือของนักรบอมตะผู้มีชื่อเสียงในเรื่องพลังความแข็งแรงในบรรดาสี่สุดยอดนักรบ
ซาสเลอร์หัวเราะขณะที่เขาลูบเคราเขา “ห้าพี่น้องนี่พยายามกันอย่างหนักจริงๆพวกเขาทำให้ตาแก่อย่างข้าละอายใจบ้างแล้ว”
แต่แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ซาสเลอร์ก็ยังชื่นชมทัศนียภาพท้องถิ่น
ระดับของซาสเลอร์ในปัจจุบัน สิ่งที่เขาต้องการก็คือการรู้แจ้งชั่วประกายหนึ่ง แค่ฝึกเพียงอย่างเดียวยังไม่อาจรับรองได้
ลินลี่ย์ยิ้มยืนอยู่กราบหน้าของเรือ เขาค่อยๆ หลับตาลงสายลมที่พัดเหนือแม่น้ำยูลานค่อนข้างแรง และกระโชกใส่ชุดยาวของลินลี่ย์ ทำให้ลินลี่ย์โอนเอนไปมาเล็กน้อย
ลินลี่ย์กลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายลมโดยสิ้นเชิงและสามารถรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวของแก่นแท้ของลม
…..
เวลาเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลผ่าน ในพริบตาเดียวผ่านไปสี่วันและเรือเข้าสู่ดินแดนมณฑลหรดี อีกราวๆสองวันพวกเขาจะไปถึงท่าเรือที่หมาย
“พี่ลินลี่ย์กำลังฝึกอยู่หรือ?” เจนน์เอ่ยขึ้นเบาๆ
รีเบ็คกาและลีนาส่ายศีรษะทั้งคู่แสดงว่าพวกนางก็ไม่รู้เหมือนกัน
ตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้วแต่ลินลี่ย์ยังคงยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เขาหลับตา ถ้าบางคนคิดว่าลินลี่ย์หลับพวกเขาคิดผิด เพราะลินลี่ย์มีบ่อยครั้งที่มีประกายแสงม่วงผ่านไปมารอบตัวลินลี่ย์
ข้อแตกต่างก็คือครั้งนี้ลินลี่ย์ไม่ได้เน้นที่ความเร็ว
เมื่อเขากำลังฝึกวิชาระลอกสายลม ร่างของลินลี่ย์จะถูกล้อมไปด้วยประกายกระบี่หนาแน่น แต่ตอนนี้มีแค่ประกายกระบี่ม่วงปรากฏครั้งละเล่ม
ไม่มีใครรู้ว่าลินลี่ย์กำลังฝึกอะไร
“กวัดแกว่งของหนักเสมือนของเบา กวัดแกว่งของเบาราวกับว่าเป็นของหนัก อาจเป็นลมพายุที่รุนแรงหรืออาจเป็นสายลมเอื่อยในฤดูใบไม้ผลิ” หลังจากฝึกเป็นเวลานาน ในที่สุดลินลี่ย์ก็จับเคล็ดความรู้บางอย่างเกี่ยวกับระดับที่สองของสัจธรรมแห่งธาตุลม
สัจธรรมแห่งธาตุลมขั้นที่หนึ่ง– ระลอกสายลม นี่ต้องอาศัยแรงกดดันของความเร็วระดับสูงสุด
ความจริงเมื่อความเร็วของวิชาต่อสู้ถึงระดับหนึ่งพลังโจมตีก็จะรุนแรงทรงพลังมาก นี่คือเหตุผลที่ลินลี่ย์สามารถทำลายพลังป้องกันของแม็คเคนซีได้ในทันที
แต่ขั้นที่สองของสัจธรรมแห่งธาตุลมซึ่งลินลี่ย์กำลังพัฒนาเป็นพลังโจมตีรูปแบบพิเศษ
เมื่อเขาตวัดกระบี่ บางครั้งกระบี่จะเป็นประกายเหมือนสายฟ้า ขณะที่บางครั้งก็หนักหน่วงเหมือนภูผา ความจริงพลังโจมตีของกระบี่นี้รวดเร็วมาก แต่ก็ยังให้ระลอกและความผันผวนที่เร็วและช้าได้อย่างน่าประทับใจ
นั่นคือเจตนารมณ์ของวิชานี้
“สัจธรรมแห่งธาตุลมขั้นที่สอง –จังหวะแห่งสายลม”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของลินลี่ย์ เขาใช้กระบี่เลือดม่วงฟันอากาศและเมื่อลงมือแล้วเขาแสดงผลออกมาได้สองแบบแตกต่างกันหนึ่งนั้นคือพลังโจมตีที่ดุร้ายระเบิดรุนแรงเหมือนกับพายุสลาตัน ขณะที่อีกผลหนึ่งคือนุ่มนวลสงบเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิยามพัดผ่านต้นหลิว
วิชาเดียวแต่มีจังหวะที่ตรงข้ามกันสองอย่าง
“จังหวะที่ตรงกันข้ามทั้งสองนี้เมื่อผสานเข้าด้วยกัน สามารถให้กำเนิดดาบสายลมได้” ลินลี่ย์ยังคงไล่ตามเป้าหมายการใช้กระบี่สร้างการโจมตีรูปแบบเดียวกับคมมีดมิติ
จังหวะแห่งสายลมนี้คือการโจมตีเป้าหมายเดียว
แม้ว่าพลังของมันยังด้อยมากกว่าเวทคมมีดมิติซึ่งทรงพลังน่ากลัวสามารถตัดผ่านกำแพงด้วยพลังมันเอง พลังของจังหวะแห่งสายลมเหนือล้ำกว่าวิชาระลอกลมไปมาก
นี่คือพลังรูปแบบสู้กันตัวต่อตัว
“นี่คือขั้นที่สองของสัจธรรมแห่งธาตุลมวิชาจังหวะแห่งสายลมน่าจะสามารถใช้คุกคามยอดฝีมือชั้นเซียนระดับสูงได้” เมื่อลินลี่ย์ซ้อมฝีมือกับแม็คเคนซี เขาได้รับทราบว่าความเข้าใจของนักสู้ระดับเซียนชั้นสูงนั้นเป็นยังไง “อย่างไรก็ตาม วิชาจังหวะแห่งสายลมนี้มีแนวโน้มว่าเป็นหนึ่งในความลึกลับพื้นฐานของกฎแห่งธาตุลมซึ่งข้าเพิ่งได้รู้แจ้งไปบางส่วน
ลินลี่ย์ต้องยอมรับว่าจังหวะแห่งสายลมนั้นเป็นวิชาที่ทรงพลังมาก
แต่จังหวะแห่งสายลมอาจถือได้ว่าเป็นระดับเรียบง่ายพื้นฐานสุดของเวทคมมีดมิติ มันยังมีพลังโจมตีทางกายภาพวัตถุซึ่งฝ่ายตรงข้ามสามารถใช้เกราะป้องกันได้
แต่คลื่นสั่นสะเทือนที่สร้างขึ้นโดยสัจธรรมแห่งธาตุดินมีระดับพลังโจมตีที่สูงมากกว่าอย่างชัดเจน คลื่นสั่นสะเทือนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องทำลายเกราะของคู่ต่อสู้มันสามารถผ่านเข้าไปทำร้ายอวัยวะภายในโดยตรงได้
“สำหรับยอดฝีมือระดับเซียนธรรมดา แค่ใช้กระบี่เลือดม่วงก็เพียงพอ” ลินลี่ย์หัวเราะ “แน่นอน เว้นแต่ข้าเผชิญกับยอดฝีมือระดับเซียนชั้นสูง”
ยอดฝีมือระดับเซียนชั้นสูงก็ยังมีระดับพลังที่แตกต่างเช่นกัน
ตัวอย่างเช่นสเตลห์กับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เป็นยอดฝีมือระดับเซียนชั้นสูงทั้งคู่ แต่สเตลห์อ่อนแอกว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อยู่มาก ที่สำคัญ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ฝึกเวทศักดิ์สิทธิ์
หรืออีกตัวอย่างกระบี่จ้าวภูผาเฮนด์เซนมีชื่อเสียงในหมู่เซียนที่ทรงพลังจนถึงทุกวันนี้ไม่มียอดฝีมือแม้แต่คนเดียวที่สามารถเอาชนะเฮนด์เซนได้
(ขอแก้ฉายากระบี่เลิศปฐพีเป็นกระบี่จ้าวภูผานะครับ)
แน่นอนว่ายังไม่เคยมีใครต่อสู้กับเฮนด์เซนไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หรือประมุขลัทธิมืด พวกเขาไม่กล้าต้านทานเขาเพราะสถานะที่สูงส่งของพวกเขามีความหมาย พวกเขาไม่อาจพ่ายแพ้ได้ เว้นแต่พวกเขามั่นใจว่าจะชนะแน่ พวกเขาก็จะไม่ต่อสู้
………..
วันที่ห้าของการอยู่บนเรือ เวลาราวๆ ตอนบ่ายขณะที่ลินลี่ย์และคนอื่นกินอาหารกลางวันและสนทนากันตามปกติ ทันใดนั้น...
“พี่ใหญ่, รีบมาเร็ว!” เสียงตื่นเต้นของบีบีดังขึ้นมาในใจของลินลี่ย์
ลินลี่ย์ไม่ลังเลแม้แต่น้อยเริ่มวิ่งตรงไปที่ห้องส่วนตัวของแฮรุ “พวกเจ้ากินกันไปก่อน” เขาสั่งขณะที่รีบเข้าไปที่ห้องของแฮรุ
พอปิดประตูได้ลินลี่ย์จ้องมองอย่างประหลาดใจ
“ครืนนน” ดูเหมือนกับว่าภายใต้ผิวของเสือดำเมฆา เหมือนมีหนูตัวเล็กๆวิ่งไปมาขณะที่กล้ามเนื้อและเลือดของเขาบิดกระตุกอย่างต่อเนื่องมีรัศมีสีดำล้อมรอบตัวแฮรุ ตาของเขาปิดเสือดำเมฆาส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวดต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันลายบนตัวของเสือดำเมฆาเริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน บางครั้งขาทั้งสี่ของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวราวหิมะ ขณะที่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นสีดำ บางครั้งตลอดทั้งตัวของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวหิมะ...
แปลกประหลาด
สิ่งที่ประหลาดที่สุดก็คือหัวของเสือดำเมฆามีพลังลมหมุนอยู่สองลูกสีฟ้าหนึ่งกับสีดำ
“พี่ใหญ่, แฮรุเป็นอย่างนั้นมาพักหนึ่งแล้วข้าไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี” บีบีกล่าวอย่างกังวล
ลินลี่ย์มองดูแฮรุ
“แฮรุ” ลินลี่ย์พูดกับเขาทางใจ
“นะ...นายท่าน ข้าไม่เป็นไร!” แฮรุส่งเสียงครางจนลินลี่ย์ได้ยินในใจ ลินลี่ย์บังคับตนเองให้หักห้ามความกังวลขณะมองดูและรอ
ลินลี่ย์ให้ความสนใจอยู่ที่ศีรษะของแฮรุ ส่วนที่สำคัญที่สุดของอสูรเวทก็คือศีรษะของมัน แก่นเวทของพวกมันอยู่ที่นั่น
ในอากาศเหนือบริเวณศีรษะของเสือดำเมฆากระแสพลังงานสีฟ้าและสีดำยังคงปั่นหมุนต่อเนื่องด้วยความเร็วสูง บางครั้งพลังงานสีดำจะขยาย แต่จากนั้นต่อมา ปริมาณพลังงานสีดำก็ลดลงและพลังงานสีฟ้าก็เพิ่มปริมาณ
เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
จากนั้นกระแสพลังหมุนวนทั้งสองปลดปล่อยพลังงานในปริมาณที่น่ากลัว แม้แต่ลินลี่ย์ก็ยังตกใจ ถ้ากระแสพลังทั้งสองสายระเบิดขึ้นมามีทางเป็นไปได้ว่าเรือคงจะเหลือแต่ซาก
“ครืนนน” ร่างของลินลี่ย์มีเกล็ดดำครอบคลุมทันที ลินลี่ย์แปลงเป็นร่างมังกรทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ถ้าเขาไม่อยู่ในร่างของนักรบเลือดมังกร ถ้าพลังงานทั้งสองสายระเบิดขึ้นมาลินลี่ย์คงไม่สามารถทนรับได้ นัยน์ตาสีทองเข้มของลินลี่ย์จ้องมองเสือดำเมฆา สายตาของเขาแหลมคมประดุจมีด
ทันใดนั้น พลังงานหมุนวนสีฟ้าและสีดำกลับคืนสู่สภาพสงบเหมือนก่อนหน้านั้นมันกลับเข้าไปในกะโหลกศีรษะของเสือดำเมฆา แล้วจากนั้นร่างของเสือดำเมฆาค่อยสงบขึ้นเช่นกันและลวดลายบนร่างของเขาก็หยุดการเปลี่ยนแปลง
ลินลี่ย์ระบายลมหายใจ
ตอนนี้ร่างของเสือดำเมฆาเต็มไปด้วยหยดเลือดการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นได้เปลี่ยนแปลงทั้งกายและวิญญาณทั้งสอง
เสือดำเมฆาลืมตาดีใจแสดงความสำนึกคุณของลินลี่ย์
“สำเร็จไหม?” ริมฝีปากของลินลี่ย์มีรอยยิ้มขณะที่เขาคืนสภาพเป็นร่างมนุษย์ เพียงแต่ชุดท่อนบนขาดเสียหายอีกครั้ง
“ขอรับ นายท่าน” เสียงที่ออกมานี้เป็นคำพูดภาษามนุษย์ที่เย็นชาดังออกมาจากปากของเสือดำเมฆา
รัศมีสีฟ้าจางปรากฏอยู่บนร่างของเสือดำเมฆามันเลียหยดเลือดทั่วตัวรักษาตัวจนอยู่ในสภาพปกติอีกครั้ง กลายเป็นสีดำที่เงางาม
“ไม่เลว”บีบีลอยอยู่เหนือเสือดำเมฆาหัวเราะเบาๆ “ดีแล้วที่เจ้าไม่ทำให้เสียแก่นเวทอสูรชั้นเซียนไปเปล่าๆ ไม่อย่างนั้น...”
แฮรุเบือนหน้า
เขาเดาว่าถ้าเขาล้มเหลวบีบีคงได้ทุบตีเขาแน่
“พอเถอะ ออกไปข้างนอกกันเถอะ” ลินลี่ย์พูดหลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ
เพราะการแปลงเป็นร่างมังกรทำให้เสื้อผ้าของเขาเสียหายลินลี่ย์จึงต้องสำรองเสื้อผ้าเป็นร้อยชุดเก็บไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติ แต่แน่นอน ฐานะลินลี่ย์ในปัจจุบันนี้เรื่องจับจ่ายซื้อเสื้อผ้าเป็นเรื่องเล็ก
….
เช้าวันที่หกพวกเขาใช้เวลาอยู่บนเรือ ในที่สุดเรือก็มาถึงท่าที่หมายของพวกเขา
“ในที่สุดก็ถึงเสียที” รีเบ็คกา ลีนาและเจนน์ ทั้งสามสาวตื่นเต้นตาเป็นประกายแต่ในเวลานี้ มีเสียงหัวเราะดังลั่นจากดาดฟ้าเรือด้านหลังเสียงหัวเราะที่ตื่นเต้นได้ยินชัดเจน
“หืม?”
ลินลี่ย์ซาสเลอร์และคนอื่นๆ หันไปมองดูที่ดาดฟ้าด้านหลังซึ่งบาร์เกอร์และน้องๆใช้เป็นที่ฝึกมาตลอด
“บาร์เกอร์ พวกท่านทั้งห้าคนรีบๆ ด้วย เราเตรียมจะเทียบฝั่งแล้ว” รีเบ็คกาส่งเสียงเรียกดังๆ
“มาเถอะ มาเถอะ” บาร์เกอร์และน้องๆ เดินมาหา พลางหัวเราะลั่นทุกคนมองดูลินลี่ย์ และมีรอยปีติยินดีอยู่บนใบหน้า
เมื่อเห็นท่าทางนั้นบนใบหน้าของบาร์เกอร์และน้องๆของเขา ลินลี่ย์เริ่มไตร่ตรอง “พี่น้องทั้งห้าคนนี้...เป็นไปได้ไหมว่า.. เป็นไปได้ไหมว่ามีคนบรรลุระดับใหม่?”
ตอนนี้ในบรรดาห้าพี่น้องมีพี่ใหญ่บาร์เกอร์และพี่รองอังเก้ที่เข้าถึงพลังระดับเซียน คนอื่นๆเมื่อยังอยู่ในร่างมนุษย์ยังเป็นนักสู้ระดับแปดชั้นสูง
“ใต้เท้า”หน้าของบาร์เกอร์เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เกทส์บรรลุระดับพลังใหม่ได้แล้ว!”
“เกทส์บรรลุพลังระดับใหม่หรือ?”
แม้ว่าเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วแต่ลินลี่ย์ก็ยังตื่นเต้นและยินดี เขาอดหันไปมองเกทส์ไม่ได้ เกทส์ที่มักจะเอะอะเสียงดังตามปกติตอนนี้ได้แต่เกาหัวยิ้มอย่างมีความสุข
เมื่อพวกเขาออกจากเมืองเบซิลและขึ้นเรือกองกำลังของลินลี่ย์มีนักสู้ระดับเซียนสี่คนคือ ลินลี่ย์ บีบีบาร์เกอร์และอังเก้ แต่เมื่อขึ้นฝั่งกำลังพลของลินลี่ย์ตอนนี้มีระดับเซียนถึงหก
ไม่มีแม้แต่จักรวรรดิเดียวที่กล้าเสียมารยาทต่อกองกำลังที่น่ากลัวนั้น
เมื่อหันไปดูข้างหลังมีเสือดำเมฆาแฮรุ จากนั้นเกทส์ที่กำลังยิ้ม ลินลี่ย์ตะโกนอย่างห้าวหาญ “ฮ่าฮ่า ทุกคนลงเรือได้ ไปกันเถอะเราจะมุ่งหน้าสู่นครหลวง!”
“ไปกันเถอะ!” ห้าพี่น้องโห่ร้องอย่างมีความสุข