ตอนที่ 27 : ก้าวหน้าในวิชาต่อสู้
หลังจากหลินมู่กินเสร็จเขาก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเขากินหมูป่าครึ่งตัวไปด้วยตัวเอง แมงก้มลงมองท้องที่แน่นจนอึดอัด แต่มันก็ไม่มีทางที่เนื้อทั้งหมดที่เขากินจะอัดแน่นในท้องนี้ได้
เมื่อไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร เขาก็เพียงแค่หยุดคิด เขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำในตอนนี้ หลินมู่รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่ดูดซับมาจากเนื้อในกระเพาะ
เขานั่งสมาธิและท่องบทสงบใจ เขารู้สึกว่าพลังถูกดูดซับในกล้ามเนื้อมาสู่ผิวหนัง ครั้งนี้เขาเพ่งสมาธิให้ลึกล้ำขึ้นและสัมผัสได้ว่ามีพลังเล็กน้อยซึมเข้ามาในกระแสโลหิต
‘นี่คือขั้นต่อไปของขอบเขตฝึกกายรึ? ต้องหลังจากขั้น 8 ที่จะปรับสายโลหิตไม่ใช่หรอกหรือ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย?’
หลินมู่คิด
สมมติฐานที่หลินมู่มีในตอนเช้าเกี่ยวกับการดูดซับพลังชีวิตได้มากขึ้นน่าจะเป็นจริง แม้ว่าเขาจะยังเหลือพลังสี่ในสิบส่วนที่กักเอาไว้ในร่างกาย เขาก็ยังดูดซับพลังชีวิตได้มากกว่าเดิม
ต้องใช้เวลาถึง 45 นาทีกว่าที่เขาจะถุงท่องบทสงบใจและมิอาจดูดซับพลังชีวิตต่อไปได้อีก เขาเงยหน้ามองพระอาทิตย์และเดาว่าคงเป็นเวลา 5 โมงเย็น
ในตอนนี้เขากินหมูป่าจมูกแดงหมดไปทั้งตัวแล้ว เขาต้องหาเนื้อเพิ่ม หลินมู่คิดว่าถ้าเขาไม่ขายเนื้อสัตว์สองตัววันนี้ไป และพวกมันแข็งแกร่งกว่าหมูป่าจมูกแดงเป็นอย่างมากนั้น พลังชีวิตที่มันมีก็คงจะเหนือกว่าหมูป่าอย่างมากถ้าเขาได้กินมัน
หลินมู่เลือกที่จะไปดูกับดักก่อนและเดินทางต่อในป่าเพื่อดูว่าดักอะไรได้หรือไม่ และเขาต้องเอาศพชายสองคนไปทิ้งด้วย และคงไม่มีวิธีใดดีไปกว่าทิ้งศพไว้ในป่าและปล่อยให้สัตว์ป่ามาจัดการ
เขามาถึงร่องรอยที่วางกับดักหลังจาก 10 นาที เขาดูกับดักสามชุดแรกและไม่พบสิ่งใด ต่อมาเขาก็ได้เจอหนูหางหนามซึ่งเขากินไม่ได้ เขาหักคอหนูหางหนามและเก็บในแหวนเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อ
จากนั้นเขาจึงไปดูกับดักอีกสองชุดที่เหลือและพบแต่ความว่างเปล่า เมื่อได้ผลลัพธ์จากกับดักอันไม่น่าพอใจ หลินมู่จึงตัดสินใจทิ้งมันและจะมาดูเมื่อต้องการเหยื่อล่อในอนาคตเท่านั้น
หลินมู่เปลี่ยนเส้นทางเดินลึกเข้าไปในป่า เขาเจอร่องรอยที่ใหญ่กว่าที่น่าจะเป็นเส้นทางของสัตว์ใหญ่และทิ้งศพชายสองคนไว้ใกล้เพื่อให้ถูกกิน
เมื่อตรวจดูของมีค่าจากศพก็พบ 22 เหรียญเงินจากทั้งสองคนรวมกัน จากนั้นเขาก็ถอดชุดเกราะหนังเบาจากชายกำยำ แต่ชุดก็ใหญ่เกินไปสำหรับเขา เขาทำได้แค่รัดมันให้แน่นถ้าหากจะใส่มัน เพราะเขาต้องการเกราะป้องกัน มีอยู่ย่อมดีกว่าไม่มี
หลินมู่ค้นหาเส้นทางสัตว์ป่าใหม่เพื่อล่า เขาใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าจะเจอรอยกีบเท้า เขาเดาว่าน่าจะเป็นกวางหกง่ามที่อาจจะพลัดหลงจากฝูง
หลินมู่ตามรอยเท้าไปไม่กี่ร้อยเมตรก็ได้เจอกับกวางหกง่ามที่กำลังเล็มหญ้าหลังพุ่มไม้ เขาย่องเข้าใกล้มันอย่างเงียบเชียบระวังไม่ให้เหยียบกิ่งไม้ส่งเสียงดัง และเป็นโชคดีของหลินมู่ด้วยที่เขาอยู่ใต้ลม ทำให้กวางดมกลิ่นไม่เจอเขา
เมื่อหลินมู่เข้าใกล้มันเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ส่งพลังไปที่เท้าและพุ่งใส่กวางที่ไม่ทันรู้ตัว ดาบชั้นฟันคอมันได้สำเร็จ โลหิตไหลทะลักออกมามาก
เพราะความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นเองที่ทำให้กวางล้มลงกับพื้นมิอาจวิ่งหนี หลินมู่รีบแตะตัวมันและเก็บใส่แหวนเพราะเขาไม่อยากให้เสียงร้องของมันและกลิ่นโลหิตล่อสัตว์อื่นเข้ามา
เมื่อล่าเสร็จ หลินมู่เตรียมกลับเมื่ออาทิตย์อัสดง เขาไปถึงกระท่อมหลังจาก 50 นาทีและไปต่อที่ลำธารเพื่อถลกหนังเตรียมเนื้อมัน
เขารินเลือดที่เหลือออกและเริ่มถลกหนังกวางหกง่าม ขณะที่เขากำลังถลกหนังมันด้วยมีดถลกหนังเล่มใหม่ที่ซื้อมา ความคิดก็แล่นเข้ามาในหัว
ตอนที่เขาปามีดใส่ชายตัวสูงนั้น มีเพียงแค่มีดที่ปรากฏออกมาโดยไม่มีฝัก แต่ตอนที่เขาเรียกมีดออกมาถลกหนังกวางนั้นมันปรากฏออกมาพร้อมกับฝัก
เขาสงสัยและอยากจะทดสอบให้รู้ เขาจึงเก็บมีดกลับเข้าแหวนและเรียกออกมา มีดปรากฏออกมาพร้อมกับฝักมีด จากนั้นเขาก็ลองอีกรอบ ครั้งนี้เขาอยากจะเรียกออกมาแค่มีดไม่ใช่ฝัก จากนั้นเขาก็ทำสำเร็จ มีเพียงมีดที่ปรากฏออกมา
‘ข้าควรคุมสิ่งที่ข้าอยากจะเอาออกมาได้สินะ ต่อให้เป็นของสองชิ้นที่อยู่ติดกัน’
หลินมู่สรุปผล
เมื่อทึ่งกับการค้นพบใหม่ หลินมู่ถลกหนังกวางต่อไป เมื่อเสร็จงาน เขาเก็บเนื้อและวัตถุดิบอื่นไว้ในแหวน
จากลูกกวางหกง่ามตัวนี้ เขาได้หนังและเขาที่ยังไม่ทันโตเต็มที่ แม้ว่ามันจะเป็นกวางที่โตไม่เต็มที่ มันก็มีร่างกายขั้น 4 แล้ว
‘มนุษย์กับสัตว์ป่าเทียบกันไม่ได้เลย แม้จะยังโตไม่เต็มที่ก็แข็งแกร่งพอที่จะเทียบกับมนุษย์ผู้ใหญ่’
หลินมู่คิด
หลังจากจัดการกับกวางเสร็จ หลินมู่เริ่มฝึกหมัดทลายศิลา เขามีประสบการณ์และความสำเร็จที่ใช้ในการต่อสู้มาแล้ว หลินมู่เริ่มอยากจะก้าวหน้าไปมากกว่าเดิม
หลินมู่ยืนตั้งท่า ปรับลมหายใจตามวิชาปราณ จากนั้นจึงเริ่มฝึกหมัดตามตำรา เขารู้สึกว่าการเชื่อมโยงกันมันดีขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำแบบเดียวกันในระหว่างการต่อสู้ พลังชีวิตในร่างกายเขาก็พุ่งพล่าน แต่มันยังคงติดขัดและหาเส้นทางไปต่อของพลังไม่ถูกต้อง
เขาเพ่งกับความรู้สึกที่ได้ระหว่างการต่อสู้ในตอนที่พลังก่อตัวในมือเขา หลินมู่ฝึกต่อไปจนกระทั่งเที่ยงคืนและดวงดาราวาดท้องนภาเป็นประกายงดงาม สุดท้ายหลังจากพยายามมานับครั้งไม่ถ้วน เขาก็รู้สึกว่าพลังวายุแบบเดียวกันได้ก่อตัวขึ้นในมือ ทันทีที่วายุก่อตัวขึ้น มันคงอยู่มั่นคงไม่กี่ลมหายใจก่อนจะสลายไป
หลินมู่ใช้วิชาซัดหมัดออกไปเมื่อสัมผัสได้ว่าพลังวายุเริ่มไม่มั่นคง ครั้งนี้เขาได้เห็นชัดเจนกับตาตัวเองถึงผลของวิชา หมัดของเขาซัดออกไปปะทะกับอากาศจนเกิดเป็นลมแรงที่ทำให้ใบไม้บนต้นไม้ที่ห่างออกไปสี่เมตรสั่นไหวและร่วงลงมา
หลินมู่ล้มลงกับพื้นหลังจากใช้วิชาเพราะเขารู้สึกว่าพลังทั้งหมดที่ได้จากอาหารมื้อก่อนหน้าหมดไป เขาพยายามนั่งสมาธิและท่องบทสงบใจ
หลินมู่รู้สึกถึงพลังชีวิตที่เหลืออยู่ในกายในที่สุด เขาดูดซับมันสู่กล้ามเนื้อและผิวหนัง หลังจากผ่านไปสามสิบนาทีเขาก็ดูดซับพลังทั้งหมดและรู้สึกหิวอีกครั้ง
เากลับไปที่กระท่อมเพื่อเตรียมมื้อค่ำ หลินมู่กินด้วยความหิวโหยเพื่อฟื้นฟูพลังที่หายไป เมื่อกินเสร็จเขาก็นอนลงบนเตียงไม้และหลับใหลในไม่นาน หลินมู่ปรากฏตัวในห้วงหลับใหลและฝึกวิชาต่อ
ฝึกไปสักระยะ เขารู้สึกว่าเขาไม่ก้าวหน้าอีกแล้วและต้องการที่จะสัมผัสพลังชีวิตในร่างกายเพื่อใช้วิชา หลินมู่จึงนั่งลงนึกถึงความทรงจำที่เขาต่อสู้ หลินมู่ไม่เข้าใจบางจังหวะของการต่อสู้ เขาอยากจะวิเคราะห์ทุกส่วนให้ได้
ในห้วงหลับใหลนั้น หลินมู่เรียกความทรงจนทั้งหมดได้อย่างชัดเจน เขานึกถึงมันราวกับเล่นซ้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิเคราะห์ความผิดพลาดและหาทางแก้ไขที่เป็นไปได้ จนสุดท้ายเขาก็เข้าใจในทุกด้านของการต่อสู้ยกเว้นแต่หนึ่งเรื่องใหญ่ที่ประหลาด
หลินมู่มิอาจเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดเขาจึงหลบการโจมตีประสานของชายทั้งสองได้ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดการโจมตีนั้นถึงทะลุผ่านร่างกายเขาราวกับว่าตัวเขาเป็นอากาศธาตุ
สิ่งต่อมาที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือเขารู้สึกหมดแรงอย่างมหาศาล พลังราวครึ่งส่วนที่เขามีได้หมดไป เขาไม่รู้เลยว่าเหตุผลเกิดจากสิ่งใด และสุดท้ายเขาก็สรุปว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับแหวนลึกลับในมือเขา แหวนจะต้องมีวิธีการบางอย่างในการทำให้เขาหลบการโจมตีเหล่านั้น
‘ข้าจะทำแบบนั้นได้อีกหรือไหม ถ้าทำได้ มันจะเป็นพลังหลักที่ข้าจะใช้ในการต่อสู้ในอนาคต’
หลินมู่คิดก่อนจะออกจากห้วงหลับใหลและตื่นนอน
หลินมู่ลุกขึ้นและสิ่งแรกที่เขาทำคือเตรียมเนื้อทำอาหารบนเตา เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดถึงเรื่องอาหารบ่อยครั้งขึ้นเรื่อย ๆ ในการฝึกฝนทุกวัน หลังจากเสร็๗แล้วจึงออกมาข้างนอกเพื่อฝึกหมัดทลายศิลา
จากความสำเร็จเล็ก ๆ ของเมื่อคืน เขาสามารถอาศัยประสบการณ์นั้นในการไปต่อ เขาฝึกต่อไปจนกระทั่งเหงื่อโทรมกาย อาหารเช้าพร้อมให้เขาได้รับประทานเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเสร็จมื้ออาหาร เขาก็ทำตามเคยและนั่งท่องบทสงบใจเพื่อดูดซับพลังชีวิต
เขารู้สึกว่าเขาก้าวหน้าขึ้นมาเล็กน้อยในการฝึกฝนและกำลังจะมีร่างกายขั้น 7 ในตอนนั้นเองหลินมู่รู้สึกเหมือนกับว่าลืมบางอย่างและจำเหตุผลที่เขาต้องตกอยู่ในอันตรายสองวันก่อนได้
เขาเรียกผลไม้สีม่วงขนาดเท่าผลองุ่นออกมาและจ้องมองขณะคิด
“ข้ากินมันได้ไหมนะ?”