ตอนที่ 25 : ตามหาโรงเตี๊ยม
หลินมู่กำลังยืนอยู่หน้าร้านจิงเหว่ย เขายืนมองหน้าร้าน
ก่อนที่จะเข้าไป เขาเรียกของทั้งหมดที่จะขายออกมาเช่นเดียวกับเรียกเอาาเงินจำนวนพอดีที่จะเก็บไว้ในกระเป๋าเงิน
ตอนนี้เขามีวัตถุดิบสี่อย่างที่อยากจะขาย พวกมันเป็นหนังและเขี้ยวของหมูป่าจมูกแดง หนังกิ้งก่าไม้สองหาง และขนหงส์ปีกตะขอ
เงินที่ได้จากการขายวัตถุดิบเหล่านี้มิอาจเทียบกับจำนวนเงินที่เขาได้จากการซื้อขายในวันนี้เลย แต่มันก็น่าจะให้เขาได้เหรียญเงินมาบ้าง เพราะสำหรับหลินมู่แล้วเงินทุกเหรียญย่อมมีค่า
เมื่อหลินมู่แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อม เขาหายใจเข้าลึกและดันประตูร้านเข้าไป ประตูยังคงฝืดที่จะผลักและส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังลั่นเมื่อเปิดออก
ร้านยังคงเหมือนเดิมจากที่เขาจากไปครั้งก่อน เว้นเสียแต่ว่าโต๊ะขายนั้นสะอาดไร้ฝุ่นเพราะนางต๋วนเค่อที่รออยู่ในโต๊ะขายาแล้ว
ต๋วนเค่อนั่งที่โต๊ะขายขณะอ่านตำรา นางสวมชุดสีเขียวอ่อนยาวและเส้นผมมัดเป็นซาลาเปาปักด้วยปิ่นหรูหราในรูปใบไม้
ต๋วนเค่อละสายตาจากตำราและมองมาทางหลินมู่ที่เพิ่งจะเดินเข้ามา แต่เมื่อนางมองเขาใกล้ ๆ ก็รู้สึกว่าเขาดูต่างจากแต่ก่อน จนกระทั่งเขาเดินมาถึงหน้านางจึงได้รู้ว่าเหตุผลคือสิ่งใด
‘ทะลวงพลังจนมีร่างกายขั้น 6 แล้วรึ? ยังไม่ถึงสัปดาห์เดียวด้วยซ้ำที่เขามีร่างกายขั้น 4’
ต๋วนเค่อคิดด้วยใบหน้าตกใจเล็กน้อย
หลินมู่กำลังคิดว่าเขาจะพูดอะไรกับนางต๋วนเค่อจึงไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าตกใจเล็กน้อยของนาง เขายืนอยู่หน้านางและพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ข้าเอาของมาขายน่ะ”
“เอาออกมาให้ข้าดูสิ”
ต๋วนเค่อพูดสั้น ๆ
หลินมู่เปิดถุงและหยิบวัตถุดิบออกมาทีละชิ้น ทีแรกเขาหยิบเอามัดขนหงส์ปีกตะขอมาวางก่อน ตามด้วยเขี้ยวหมูป่าจมูกแดง จากนั้นจึงนำม้วนหนังหมูป่าจมูกแดงและกิ้งก่าไม้สองหางออกมา
ต๋วนเค่อคลี่หนังสัตว์ออกมาตรวจดู เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดบกพร่องจึงวางลงและดูเขี้ยวหมูป่าหารอยแตก จากนั้นจึงนับจำนวนขนนก
หลังจากตรวจดูวัตถุดิบทั้งหมดแล้ว ต๋วนเค่อหันมามองหลินมู่
“ข้าให้ 1 เงินค่าหนังกิ้งก่าไม้สองหาง 5 เงินค่าหนังหมูป่าจมูกแดง 2 เงิน 50 ทองแดงค่าขนหงส์ปีกตะขอ 2 เงินค่าเขี้ยวหมูป่าจมูกแดง”
“ย่อมได้ ข้าขาย”
หลินมู่พูด
“เจ้าอยากจะซื้ออะไรหรือไม่?”
ต๋วนเค่อถามด้วยเสียงสูงราวกับว่าไม่พอใจที่หลินมู่เอาแต่มาขายของและไม่ซื้ออะไรเลย
“ตอนนี้ข้ายังไม่ซื้อ”
หลินมู่ด้วยน้ำเสียงเดียวกับนาง
เมื่อเห็นว่าหลินมู่ไม่ได้คิดจะซื้ออะไร ต๋วนเค่อหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากโต๊ะขายและนับ 10 เงิน 50 ทองแดงก่อนจะส่งให้หลินมู่
หลินมู่กำลังจะหันกลับ แต่ต๋วนเค่อก็พูดออกมาก่อน
“การใช้ดาบของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินมู่หยุดเมื่อได้ยิน เขาพูด
“ดาบมันยอดเยี่ยมแล้วก็ช่วยข้าได้มากเลย มันไม่เคยทื่อเลยซักครั้งแม้ว่าข้าจะเอามันไปตัดต้นไม้ก็ตาม”
หลินมู่พูดด้วยความประทับใจ
มุมปากต๋วนเค่อกระตุกเมื่อได้ยินว่าหลินมู่ใช้ดาบสั้นไปตัดไม้
‘ถ้าท่านปู่อยู่ที่นี่จะต้องสั่งสอนไอ้เด็กนี่แน่ ใช้ดาบของท่านปู่ตัดไม้งั้นเรอะ ดูถูกกันนัก’
ต๋วนเค่อคิด
“เจ้าก็ซื้อขวานไปตัดไม้สิ ใช้ดาบแบบนั้นมันไม่ถูกนะ”
ต๋วนเค่อแนะนำ
“แล้วก็ถ้าจะถลกหนังสัตว์ เจ้าต้องหามีดที่ใช้งานโดยเฉพาะ เจ้าจะทำงานง่ายขึ้นอีกเยอะ”
ต๋วนเค่อพูดต่อเมื่อเห็นว่าหลินมู่ครุ่นคิดจากคำแนะนำของนาง
หลินมู่คิดว่าคำแนะนำของต๋วนเค่อนั้นดี และเขาควรจะมีขวานตัดไม้และมีดถลกหนัง ถึงไม่คิดจะใช้มันเป็นเครื่องมือ มันก็ยังเป็นอาวุธสำรองในยามคับขันได้
“จริงด้วย ข้าอยากได้ทั้งสองอย่างเลย ขอข้าเลือกได้ไหม?”
หลินมู่ถาม
ต๋วนเค่อพยักหน้าและออกมาจากหลังโต๊ะขายและเดินไปที่ชั้นวางของด้านขวา นางมองด้านบนชั้นและหยิบมีดสั้นที่เก็บในฝักหนังออกมา มีดนั้นยาว 10 เซนติเมตรและมีใบมีดโค้ง
หลังจากหยิบมีดออกมาแล้วนางก็ดูอีกมุมหนึ่งของชั้นและหยิบเอาขวานที่แขวนอยู่ด้านข้างออกมา ขวานนี้ดูธรรมดามาก
นางนำของทั้งสองชิ้นมาวางบนโต๊ะขายให้หลินมู่ที่กำลังมองพวกมันดู เมื่อเห็นว่าของดูใช้ได้ เขาก็พูด
“ราคาล่ะ?”
“ทั้งหมด 5 เงิน ขวาน 2 เงิน มีด 3 เงิน”
ต๋วนเค่อตอบ
หลินมู่ตกใจเล็กน้อยที่ราคามีดนั้นแพงกว่าขวาน แต่จากนั้นก็เข้าใจว่ามีดนั้นมีคุณภาพที่เหนือกว่าขวานมาก
หลินมู่นำ 5 เงินออกมาจากกระเป๋ายื่นให้ต๋วนเค่อที่เก็บเหรียญเข้าโต๊ะขาย หลินมู่รับเครื่องมือสองชิ้นและเก็บไว้ในถุงเปล่า
เมื่อเดินออกจากร้าน เขาเดินไปที่ถนนสายหลัก
เมื่อหลินมู่ออกไปแล้ว ต๋วนเค่อยังคงมองประตูอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งประตูด้านหลังนางเปิดพร้อมกับชายชราจิงเหว่ยที่เดินออกมา
“เด็กคนนั้นรึ?”
จิงเหว่ยถามต๋วนเค่อ
“ใช่ เจ้าเด็กหลินมู่คนนั้น เขามาขายของอีกแล้ว”
ต๋วนเค่อตอบ
จิงเหว่ยมองดูสีหน้าหลานสาวอย่างละเอียดและถาม
“เด็กคนนั้นต่างไปจากเดิมรึ?”
“ตอนนั้นท่านปู่พูดถูกแล้ว”
ต๋วนเค่อพูด
จิงเหว่ยเลิกคิ้วสงสัย
“เด็กคนนั้นมีร่างกายขั้น 6 แล้ว”
ต๋วนเค่ออธิบายต่อเมื่อเห็นใบหน้าสงสัยของปู่
จิงเหว่ยเองก็ตกใจเล็กน้อย เหมือนกับต๋วนเค่อที่เพิ่งรู้เรื่องนี้
“เด็กคนนี้จะต้องมีความลับไม่ผิดแน่ ไม่มีทางใดเลยที่จะเป็นขั้น 6 ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ข้าถึงกับคิดว่ามีคนคอยช่วยเหลือเขาอยู่”
จิงเหว่ยพูดหลังจากคิดไม่นาน
“ท่านปู่ ถ้ามีคนช่วยเหลือเขาและยังปกปิดตัวเองจากท่านได้ เขาก็ต้องเป็นคนที่มีพลังบ่มเพาะสูงมาก เราต้องหาและยืนยันให้ได้ ไม่อย่างนั้นเรามีปัญหาแน่”
ต๋วนเค่อกล่าว
“ไม่ รออีกหน่อยเถอะ เราซ่อนตัวที่นี่มานานหลายปีแล้ว ถ้าเราเผยตัวไปเสียก่อน แผนทั้งหมดของเราจะเสียเปล่า”
จิงเหว่ยพูดด้วยความหนักแน่น
ต๋วนเค่อผงะเล็กน้อยจากคำตอบของปู่แต่ก็ไม่ถามต่อ
ย้อนมาที่ถนนสายหลัก หลินมู่กำลังมองหาโรงเตี๊ยม เขาอยากจะหาห้องสักห้องในโรงเตี๊ยมในเมือง เขารู้ว่ามันจะยากสักหน่อยเพราะนายพรานคนอื่นที่ไม่มีบ้านในเมืองจะต้องจองโรงเตี๊ยมล่วงหน้ารับหน้าหนาวแล้ว
เขาไปที่โรงเตี๊ยมแรกและเดินผ่านประตูเข้าไป มีอยู่หลายคนที่ยืนอยู่รอบจุดรับรอง พวกเขาส่วนใหญ่ดูเหมือนพ่อค้ากับนายพรานและคนทั่วไปปะปนกัน
หลิอมู่เดินไปยังคนที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าและถาม
“ที่นี่มีห้องว่างหรือไม่?”
“ไม่เหลือห้องเลย พวกเราโดนจองทุกห้องเป็นเวลาสามวัน ถ้าเจ้าจะมาหาที่อยู่ช่วงหน้าหนาว เจ้าค่อยกลับมาดูในอีกสามวันนะ”
คนที่นั่งโต๊ะหน้าพูดตามมารยาทราวกับว่าเขาพูดประโยคนี้ซ้ำมาหลายครั้งมากแล้ว
เมื่อได้ฟังคำตอบ หลินมู่เดินออกจากโรงเตี๊ยมและไปดูโรงเตี๊ยมอื่นตามถนน
สุดท้ายเขาก็ได้ไปดูทุกโรงเตี๊ยมและก็ได้รับคำตอบที่คล้ายกัน คนเหล่านั้นบอกให้เขากลับมาในอีกสามวันเพราะเวลานี้พวกพ่อค้าจองโรงเตี๊ยมเต็มหมดแล้ว หรือไม่ก็มีคนจองเผื่อหน้าหนาวไว้เต็มแล้ว
‘อีกสามวันข้าต้องกลับมาใหม่สินะ อย่างเลวที่สุดคือข้าหาห้องไม่ได้และต้องไปเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ แทน อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็มีเงินเหลือเฟือแล้ว’
หลินมู่คิด
เมื่อล้มเหลวในการหาโรงเตี๊ยม หลินมู่กลับไปที่กลางเมืองที่มีเหล่าพ่อค้าตั้งร้านค้าเปิดของขาย เขาทิ้งเลื่อนที่ทำไว้กับพ่อค้าที่ซื้อซากสัตว์สองตัวจากเขาไป
เขาไม่อยากจะลากเลื่อนไปรอบเมือง เขาจึงคิดว่าจะมาเก็บมันคืนทีหลังถ้าเขาหาห้องไม่ได้ในวันนี้ เขามาถึงกลางเมืองใน 10 นาทีและคุยกับชายหนุ่มที่รับซากสัตว์ของเขาไป
ชายหนุ่มชี้ไปทางกรง ที่ข้างกรงมีเลื่อนทำมือของหลินมู่เก็บไว้อยู่ หลินมู่ขอบคุณชายหนุ่มและเริ่มลากเลื่อนออกจากเมือง เมื่อไร้น้ำหนักบนเลื่อน มันก็ง่ายกว่าเดิมมากที่หลินมู่จะลากมัน
เขาออกจากเมืองหลังจาก 15 นาทีโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีชายสองคนตามเขามาโดยตลอด พวกมันอยู่ห่างจากหลินมู่จนหลินมู่ไม่ทันสังเกตเห็นเลย
เขาเดินทางมาถึงครึ่งทางก่อนถึงกระท่อมก่อนจะเก็บเลื่อนไว้ในแหวนได้ เพราะนักเดินทางและนายทรานที่เข้าเมืองในตอนนี้นั้นมีจำนวนมากกว่าตอนเช้า
เมื่อเขามาถึงที่ที่ร้างผู้คนมากพอ เขาเก็บเลื่อนไว้ในแหวน แต่ครั้งนี้มีชายสองคนซ่อนอยู่หลังเนินดิน ทั้งคู่ได้เห็นเลื่อนหายไป
ชายทั้งสองตกใจแต่ก็นึกถึงเรื่องที่เจอมาก่อนในตอนเช้าและเข้าใจว่าหลินมู่มีสมบัติเก็บของเช่นกัน
ความโลภในดวงตาพวกเขาเพิ่มมากขึ้น พวกเขาคิดไปไกลแล้วว่าพวกเขาจะร่ำรวยเพียงใดหลังจากฆ่าหลินมู่และชิงของทั้งหมดมา
ชายทั้งสองเตรียมอาวุธของตัวเองไว้ในมือก่อนจะเข้าใกล้หลินมู่
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ชายคนหนึ่งพูด
“ให้ตายเถอะ อีกแล้วเรอะ”
นี่คือความคิดเดียวของหลินมู่เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง