ตอนที่ 242 – ตอนที่ 223 หน้ายิ้มกับหน้าบึ้ง อันดับหนึ่งของโลก
“ข้าหวังว่าจะได้สู้กับเจ้า นี่คือความปรารถนาของข้า” คำพูดขององค์ชายเทียนหลัวทำให้ทุกคนตกใจ รวมทั้งเย่ว์หวี่และเย่ว์ปิง องค์ชายเทียนหลัวผู้นี้รู้จักเย่ว์หยางมาก่อนหรือ? ในการต่อสู้ครั้งก่อน เย่ว์หยางเพียงแต่สั่งให้เงาปีศาจจากหน้ากากต่อสู้แทนเขา ดังนั้นองค์ชายเทียนหลัวรู้ว่าเงาปีศาจ ความจริงแล้วก็คือรูปเงาของเย่ว์หยางงั้นหรือ?
เย่ว์หวี่ขมวดคิ้วของนางขณะที่นางเริ่มคิด
เย่ว์ปิง ตรงกันข้าม นางไม่คิดมากเกินไป นางรู้แต่ว่าพี่ของนางมีพลังแข็งแกร่งมาก ดังนั้นนางไม่รู้สึกกังวลห่วงใยเขาแม้แต่น้อย
เมื่อองค์ชายเทียนหลัวพูดจบ เขาหันไปทางกรรมการชุดแดงและพยักหน้าให้ “ข้าขอยอมแพ้ในการต่อสู้รอบนี้ ข้าต้องการสู้กับเขาอย่างสุดกำลังและไม่จำกัดกฎการแข่งขัน…” จากนั้นเขาหันไปทางกลุ่มแฟนคลับข้างล่างเวทีและโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาเงียบเสียง “ทุกคน! โปรดขยับถอยไปอีกร้อยเมตร พวกท่านจะได้ไม่พลอยเจ็บตัวไปด้วย ข้าไม่ต้องการให้ใครห้ามข้าไม่ให้สู้กับเขา ท่านทั้งหลาย! ถ้าพวกท่านต้องการสนับสนุนข้า โปรดปล่อยให้ข้าสู้กับเขาเต็มที่!”
พอเห็นนัยน์ตาเศร้าสร้อยขององค์ชายเทียนหลัวและฟังเสียงที่ไพเราะของเขา หัวใจของทุกคนแทบสลายเพราะเขา
สาวๆ แฟนคลับพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลขณะที่พวกนางค่อยๆ ถอยไปทีละก้าว
กรรมการชุดแดงก็ต้องการพูด แต่เขาเข้าใจความมุ่งมั่นในจิตใจขององค์ชายเทียนหลัว เขาถอนหายใจเบาๆ และโบกมือส่งสัญญาณให้กรรมการกำกับเส้นและองครักษ์เกราะเงินข้างล่างถอยออกไป
เย่ว์หยางยังคงมองเย่ว์หวี่และเย่ว์ปิงที่ยังยืนอยู่ข้างล่างเวทีและพยักหน้าให้พวกนางด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกท่านถอยไปอยู่ในระยะปลอดภัยก่อน จากนั้นไม่ว่าสถานการณ์ต่อสู้จะรุนแรงเพียงใด พวกเจ้าก็ไม่ควรเข้ามาใกล้!”
“ได้เลย!” เย่ว์ปิงไม่เคยเห็นพี่ชายนางจริงจังมากมาก่อน นางฉุดมือพี่สาวรองรีบออกไปจากเวทีประลองอย่างว่าง่าย
เมื่อทุกคนถอยออกไปร้อยเมตรแล้ว เย่ว์หยางและองค์ชายเทียนหลัวเรียกคัมภีร์ออกมาพร้อมกันทันที
เย่ว์หยางเรียกคัมภีร์เงิน ขณะที่องค์ชายเทียนหลัวเรียกคัมภีร์แพลตตินัมออกมา
พร้อมกับการเสริมพลังจากเงาปีศาจยักษ์สองตนและพลังใฟที่เขาเชี่ยวชาญทักษะขั้วหยาง ตอนแรกเย่ว์หยางปล่อยพลังที่ต่ำแต่ก็ใกล้เคียงกับพลังปราณก่อกำเนิด ไอปราณที่เหมือนกับจ้าวปีศาจระเบิดออกมาทันที พลังคลื่นอัดกระแทกจากพลังปราณของเขายังทำให้กรรมการชุดแดงที่อยู่ห่างออกไป เมตรสั่นสะท้านได้ กรรมการชุดแดงหน้าซีดทันที ยิ่งกรรมการกำกับเส้นทั้งสองคนยิ่งแย่ใหญ่ พวกเขากลิ้งถอยหลังไป 2-3 ตลบจากคลื่นกระแทกพลังปราณของเย่ว์หยาง
ขณะที่องครักษ์เกราะเงินเกินกว่าสิบคนถูกพลังไอปราณที่เหมือนพายุสลาตันของเย่ว์กวาดกระเด็นออกไป
กลุ่มแฟนคลับที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรหน้าซีดด้วยความกลัว หนุ่มๆ ผู้พิทักษ์บุปผา 2-3 คนที่ยืนป้องกันอยู่ข้างหน้าทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความตกใจกลัว
เย่ว์หยางกำลังถือดาบวิเศษฮุยจินยืนอย่างสงบเหมือนกับเป็นจ้าวปีศาจ เปลวเพลิงสีม่วงกระจายออกจากมือของเขาที่จับดาบอยู่
มืออีกข้างหนึ่งของเขามีสิ่งหนึ่งกำลังก่อรูปอยู่ ดูคล้ายกับวงจักรล้างโลก
ต่อหน้าเย่ว์หยาง องค์ชายเทียนหลัวเปลี่ยนสภาพตัวเองจนเป็นเหมือนตุ๊กตาแก้วผลึก ร่างของเขาโปร่งใสไปทั้งตัว เขาหลับตาภายใต้แสงเจิดจ้าใสสว่างของตัวเขา ขณะที่เขาเรียกแสงสีสันต่างๆ เข้ามาอยู่ในตัวเขาเพื่อเพิ่มพลังขึ้น ด้านหลังของเขามีปีกแก้วผลึกคู่หนึ่งดูเหมือนปีกผีเสื้อที่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น ปีกแก้วผลึกเหล่านั้นโปร่งแสงและสมบูรณ์แบบ ทุกครั้งที่ปีกคู่นั้นโบกกระพือ ทั่วทั้งเวทีดูเหมือนจะสั่นไหวไปด้วย
ภูตน้อยที่ตัวขนาดหัวแม่มือของคนถูกองค์ชายเทียนหลัวเรียกออกมา มันบินมาเกาะที่หน้าผากและซึมหายเข้าไปในร่างของเขา
ในทันใดนั้น ร่างขององค์ชายเทียนหลัวเริ่มมีรูปแปลกประหลาด อักษรรูนสีเงินที่มีทั้งความคล้ายและความต่างเล็กน้อยจากอักษรรูนสีทองเข้มที่เคยปรากฏบนร่างของเย่ว์หยางมาก่อน
จากนั้น องค์ชายเทียนหลัวค่อยๆ อ้าแขนของเขาพร้อมกับเปล่งแสงสว่างสดใสกระจายออกมาจากร่างกาย
แก้วผลึกนับไม่ถ้วนบีบรอบตัวเขาและคลุมร่างเขาทั้งตัวก่อเป็นรูปเกราะแก้วผลึกงดงามไร้ที่ติบนร่างกายเขงเขา ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า อักษรรูนบนร่างขององค์ชายเทียนหลัวได้ซึมผ่านเกราะ ก่อตัวเป็นวงเวทอักษรรูนที่ซับซ้อนและลึกซึ้งกว่าเดิม
ทุกคนมองอย่างตะลึงงัน
ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าไตตันบ้าเลือดจะแข็งแกร่งขนาดนี้จริงๆ พลังที่เขาปล่อยออกมาอย่างน้อยก็เท่ากับนักสู้ระดับ 7
สิ่งที่คนอื่นๆ พบยากจะเชื่อได้ก็คือ ยังมีความจริงที่ว่าองค์ชายเทียนหลัวก็แข็งแกร่งขนาดนี้จริงๆ
เขามีคัมภีร์แพลตตินัม มีปีกและเกราะแก้วผลึก สามารถเปลี่ยนอสูรของเขาเป็นเกราะได้ นี่เขาเป็นนักรบในขอบเขตใดกันแน่? มีคำกล่าวว่า แค่นักสู้ระดับ 7 (ยอดมนุษย์) ก็สามารถฝึกสัตว์อสูรจนสามารถแปลงเป็นเกราะได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้นักสู้ระดับ 8 (จักรพรรดิ) ก็สามารถใช้สัตว์อสูรที่เป็นเกราะคลุมร่างได้เพียง 30% คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเปลี่ยนสัตว์อสูรให้เป็นเกราะได้ตลอดชีวิตของพวกเขา ส่วนมากพวกเขาทำได้แค่แปลงอสูรของพวกเขาให้ดูเหมือนอาวุธเท่านั้น…
นอกจากอสูรพิเศษที่ถูกสร้างมาเพื่อให้เปลี่ยนเป็นเกราะ อสูรอื่นๆ ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นเกราะได้อย่างสิ้นเชิง
ถ้าเพียงผู้อัญเชิญเข้าใจแนวคิดการปลุกพลังของสัตว์อสูรที่ถูกพูดถึงในตำนาน เจ้านายของมันก็สามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเกราะได้
ตอนนี้ นอกจากใบหน้าที่ไม่มีตำหนิขององค์ชายเทียนหลัวแล้ว ตลอดทั้งตัวของเขาครอบคลุมไปด้วยเกราะแก้วผลึก
เขามีแม้กระทั่งปีกแก้วที่งดงามคู่หนึ่ง
ผู้ชมหลายคนไม่เคยได้ยินว่าสัตว์อสูรสามารถแปลงเป็นปีกได้มาก่อน ถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วยตาตนเอง ทุกคนบางทีคงไม่ยอมเชื่อ
“องค์ชาย!….” สมาชิกแฟนคลับทุกคนน้ำตาคลอและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกนางรักเขา เชียร์เขา เพราะเขาหล่อ ไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่ง รูปลักษณ์ของเขาทำให้คนอื่นมิอาจไม่รักเขาได้ เพราะตรงจุดนี้เอง ทุกคนจึงรู้สึกเหมือนกับจะเสียใจในตอนนี้ ความอัศจรรย์ที่องค์ชายเทียนหลัวสร้างขึ้นมานั้น มันกระทันเกินไป
กลับกลายเป็นว่า เขาแข็งแกร่งกว่าที่คนอื่นคิดเป็นร้อยเท่าพันเท่า
พอเห็นองค์ชายสวมเกราะแก้วผลึก ครอบครองปีกแก้วที่งดงาม พวกเขาจะไม่ร้องด้วยความปีติได้อย่างไร..
“เกราะแก้วของข้ายังไม่สมบูรณ์ดี น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลาทำให้มันสมบูรณ์” องค์ชายเทียนหลัวถอนหายใจด้วยความรู้สึกเสียใจพลางผลักคัมภีร์แพลตตินัมของเขาออกไป “มาเริ่มกันเถอะ, ข้าตั้งตาคอยจะสู้กับเจ้าจริงๆ”
“อย่างนั้นก็สู้กันให้เต็มที่เถอะ!” เย่ว์หยางผลักคัมภีร์เงินของเขาออกไปเช่นกัน เขายกดาบวิเศษฮุยจิน แล้วพุ่งเข้าโจมตีองค์ชายเทียนหลัวพลางตวาดลั่น
เปลวไฟลุกโชนขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไกลออกไป ผู้ชมสามารถเห็นได้ว่าเปลวเพลิงสีม่วงก่อตัวเป็นรูปดาบยักษ์ที่น่ากลัวในท้องฟ้า
แรงฟันที่ทรงพลัง ไม่สามารถหลบได้ โจมตีใส่อกขององค์ชายโล่วฮัว
แรงฟันฉับพลัน รังสีฆ่าฟัน ทักษะไฟและพลังดาบทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นแรงหมุนวนขนาดใหญ่เปล่งแสงที่รุนแรงพอๆ กับดวงอาทิตย์ระเบิดออกมาจากมือเย่ว์หยาง
กรรมการชุดแดงถึงกับสีหน้าเปลี่ยน เขาเพิ่มพลังต้านทานจากสัตว์อสูรของเขาและเขายังเป็นนักสู้ระดับ 6 ขั้นต้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้เมื่อยืนอยู่ห่างถึง 70 เมตร เขาก็ยังถูกพลังแรงอัดกระแทกจากพลังโจมตีของเย่ว์หยางดันจนถอยหลังไป 2-3 ก้าว เขาไม่อาจจินตนาการถึงระดับพลังและความแข็งแกร่งในดาบตรงจุดที่ต่อสู้กันได้ มันมีพลังทำลายล้างและโจมตีรุนแรง
พลังฟันที่สามารถผ่าภูเขาและแม่น้ำ – ท่าที่หนึ่ง ; ดาบผ่าภูผา กรรมการชุดแดงรู้ได้ทันทีว่าวิชาดาบที่มีชื่อเช่นนี้เป็นของผู้ใด
เย่ว์ชิว นี่คือนักรบอัจฉริยะของตระกูลเย่ว์ เป็นวิชาของเย่ว์ชิว
เนื่องจากเย่ว์ชิวตายไปแล้ว อย่างนั้นคนที่ใช้มันได้ก็ต้องเป็นลูกหลานของเขา…. กรรมการชุดแดงไม่รู้จักเย่ว์หยาง แต่เขารู้สึกว่าท่าดาบนี้ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเย่ว์ชิวเลย มันผสานเข้ากับทักษะไฟได้อย่างลงตัว
บึ้ม!
เสียงอัดกระแทกดังสนั่นแทบจะทำให้ฝูงชนหูอื้อไปตามๆ กัน ทุกคนรู้สึกเหมือนกับมีเสียงหึ่งๆ อยู่ในหูเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม ภาพที่ปรากฏอยู่บนเวทีทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึง
องค์ชายเทียนหลัวสามารถหยุดดาบแรก กระบวนท่าดาบผ่าภูผาของเย่ว์หยางด้วยมือเดียว
“พระเจ้า….” กรรมการชุดแดงเริ่มถามตัวเองว่าตัวเขาเองบ้าไปแล้วหรือเปล่า นี่มันเป็นไปได้อย่างไร? พลังดาบที่น่ากลัวอย่างนั้น องค์ชายเทียนหลัวไม่จำเป็นต้องหลบ เขาต้านรับพลังดาบทำลายล้างด้วยมือเพียงข้างเดียว พลังป้องกันของเกราะแก้วน่ากลัวจริงๆ เขารู้เรื่องอสูรที่แปลงเป็นเกราะและเคยเห็นพลังป้องกันระดับยอดเยี่ยมมาก่อน แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นพลังป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างที่องค์ชายเทียนหลัวมี
เกราะแก้วที่องค์ชายเทียนหลัวปลุกขึ้นมาเป็นอสูรชนิดใดกันแน่ จริงๆ แล้วระดับพลังของมันสูงส่งขนาดไหน?
กลุ่มแฟนคลับเริ่มกรีดร้องด้วยความกลัวและรู้สึกดีใจแทบคลั่งเมื่อองค์ชายที่เป็นที่รักของพวกเขาสามารถป้องกันแรงฟันที่หนักหน่วงนั้นได้
สีหน้าของเย่ว์หวี่และเย่ว์ปิงถึงกับเปลี่ยนไปขณะพวกนางรำพึงว่า “เป็นไปไม่ได้….”
“ลองดูอีกครั้ง ท่าที่สอง : ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย” เย่ว์หยางไม่ได้ใช้ดาบวิเศษฮุยจิน เขาสร้างกงจักรไฟขึ้นมาด้วยมือซ้ายและโจมตีใส่องค์ชายเทียนหลัว ขณะเดียวกัน เขาปลดปล่อยพลังดาบท่าที่สอง – ฟ้าถล่มแผ่นดินทลายผสานเข้ากับกงจักรไฟ พลังระเบิดจากกระบวนท่าที่สองของเขายังรุนแรงมากกว่ากระบวนท่าแรกเสียอีก
เวลานี้ทุกคน สามารถเห็นได้ชัดว่าองค์ชายเทียนหลัวยื่นมือออกหยุดกงจักรไฟที่กำลังหมุนอยู่ข้างหน้าเขาได้
องค์ชายเทียนหลัวหยุดกงจักรไฟเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม เขายังคงถูกผลักจนไปถึงขอบเวทีจากผลแรงกระแทกของจักรไฟ กลุ่มกองเชียร์กังวลขึ้นมาทันที เขาหยุดกงจักรได้แน่นอน แต่ทันทีที่เขากระเด็นออกจากเวที ว่ากันตามกฎก็ถือได้ว่าเขาแพ้แล้ว
ฮึบ!
กงจักรไฟยังคงหมุนอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ค่อยๆ จางหายไป
ขาขวาขององค์ชายเทียนหลัวถูกดันออกนอกเวที แต่ขาซ้ายของเขาหยุดอยู่ที่ขอบเวที
เขาเดินมาข้างหน้า และเริ่มก้าวเข้าหาเย่ว์หยางอีกครั้ง
เนื่องจากพลังป้องกันของเกราะแก้ว แทบจะไม่มีรอยขีดข่วนบนฝ่ามือของเขาเลย
เมื่อกรรมการชุดแดงเห็นเช่นนี้ เขารู้สึกเข่าอ่อน นี่มันเกินจินตนาการจริงๆ เกราะแก้วนั้นมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งจริงๆ บางทีแม้แต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดหรือนักสู้ระดับ 8 (จักรพรรดิ)ทีมีพลังที่แข็งแกร่งยังอาจได้รับความเสียหายบ้าง ไม่มีพลังโจมตีใดที่สร้างผลกระทบให้เกราะนั้นได้
กงจักรเพลิงที่โจมตีเข้ามานั้น อาจฆ่าเขาได้ทันที
อย่างไรก็ตาม พลังโจมตีขนาดนั้นก็ยังทำอันตรายองค์ชายไม่ได้แม้ปลายเส้นผม
“กระบวนท่าที่สาม : ผ่าวารีและภูผา!” มือของเย่ว์หยางเคลื่อนที่ช้าๆ ก่อตัวเป็นรูปวงกลมหยินหยางที่ลึกลับระดับ 2 เปลวเพลิงม่วงควบแน่นจนเปลี่ยนเป็นร่างมังกรยักษ์ ดาบนับพันๆ เล่มที่มีขนาดและพลังแข็งแกร่งผ่าฟ้าทลายดินรวมตัวเป็นรูปมังกรพุ่งเข้าใส่องค์ชายเทียนหลัวอย่างดุเดือด
“ผลึกฝัน!”
ปีกแก้วที่หลังขององค์ชายเทียนหลัวรวบคลุมตัวเพื่อปกป้องเจ้านายของมัน ร่างของเขายังคงกางม่านป้องกันสีรุ้งอีกด้วย
มังกรไฟม่วงพุ่งเข้าชนม่านแก้วผลึกอย่างโหดเหี้ยม
เปลวไฟลุกโหมท่วมทั้งเวที ไม่มีใครเห็นสถานการณ์การต่อสู้ท่ามกลางเปลวเพลิงและควันไฟได้ชัด
ประกายไฟแตกออกมาจากการปะทะกันทำให้กรรมการชุดแดงที่คอยป้องกันกลุ่มแฟนคลับต้องปะทะข้างหน้าและเหน็ดเหนื่อย สำหรับกรรมการกำกับเส้นสองคน พวกเขาเหนื่อยกว่ากรรมการบนเวทีเสียอีก ด้วยพลังของพวกเขาทั้งหมด พวกเขากันได้แต่ประกายไฟส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเย่ว์หวี่และเย่ว์ปิงกระโดดบังข้างหน้าไว้และเรียกคัมภีร์ออกมากางม่านพลังป้องกัน ประกายเพลิงม่วงไว้ วันนี้ผู้ชมอาจจะบาดเจ็บหนักก็ได้ ผลที่ตามมาจะน่ากลัวกว่าที่คิด
เมื่อควันไฟจากหายไป ทุกคนเห็นว่าองค์ชายเทียนหลัวปลอดภัยและยังแข็งแรงดี
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ในทางตรงกันข้าม เย่ว์หยางเริ่มหอบหายใจแล้ว สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความอ่อนล้าจากการต่อสู้ที่รุนแรง สามดาบที่เขาใช้ไป ได้ใช้พลังปราณและความแข็งแกร่งปราณก่อกำเนิดไปเกือบหมด
เขาเข้าใจว่าคู่ต่อสู้ของเขาคือคนที่มีพลังป้องกันสูง แต่เขาไม่รู้ว่าพลังป้องกันของเกราะแก้วจะผิดธรรมดามากมายขนาดนี้
“ข้าต้องการต่อสู้กับเจ้าในสภาวะที่เจ้าแข็งแกร่งที่สุด น่าเสียดายที่ข้ามีเวลาไม่มาก…” องค์ชายเทียนหลัวยกมือและแสดงให้เห็นว่ามีรูเล็กอยู่บนฝ่ามือรูหนึ่ง เริ่มเป็นสายเลือดหลั่งไหลออกมาผ่านแขนและศอกขององค์ชายเทียนหลัว
เลือดสดๆ และแก้วผลึกสีตัดกันและกันจนมองดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
นี่..นี่คือผลที่เย่ว์หยางใช้ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ผ่านลิ้นมังกรเพลิงม่วงที่เพิ่งยิงใส่องค์ชายเทียนหลัวไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา เพียงวิชานั้นก็สามารถทะลุผ่านผลึกฝันและเจาะเกราะเข้าไปทำร้ายฝ่ามือขององค์ชายเทียนหลัวได้
ใบหน้าที่ไม่มีตำหนิขององค์ชายเทียนหลัว จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นทันที รอยยิ้มที่กระจ่างเหมือนหิมะยามเช้าที่อาบไล้ด้วยแสงตะวัน ช่างสว่างสดใสจนส่องทะลุผ่านส่วนลึกของจิตใจของผู้คนจนจิตใจพลอยสว่างไปด้วย เย่ว์หยางเคยเห็นรอยยิ้มของสาวงามมามาก รวมทั้งเจ้าเมืองโล่วฮัวที่มีเสียงหัวเราะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยิ้มปนบึ้ง, อี้หนานยิ้มร่าเริงแต่มีแววเอียงอาย รอยยิ้มพวกนางทั้งหมดนั้นอาจเป็นรอยยิ้มล่มเมืองกระชากขวัญวิญญาณก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ยิ้มน้อยๆ นี้สามารถข่มรอยยิ้มดังว่าให้มัวหมองลงได้
เย่ว์หยางตะลึงมอง
“เจ้ายังมีพลังเหลืออีกหรือเปล่า?” องค์ชายเทียนหลัวแย้มยิ้มขณะถามอย่างสุภาพ เสียงของเขาเหมือนลมพัดผ่านทะเลสาบก่อให้เกิดระลอกคลื่นในหัวใจผู้คน
“ข้ายังสามารถใช้ดาบที่สี่ : จักรวาลย้อนกลับได้” เย่ว์หยางผงกหัวและพูดอย่างแน่วแน่ “ดาบนี้จะมีพลังมากกว่าเพลงดาบที่สามของข้าสิบเท่า ถ้าท่านรับได้ อย่างนั้นข้าคงได้แต่ยอมแพ้”
“ไม่เลว ข้ายังคงมีพลังเฮือกสุดท้ายเหลืออยู่ แม้ว่าข้าไม่ได้ต่อสู้กับเจ้าในสภาพที่ดีที่สุด แต่ข้าไม่มีความเสียใจ” ทันใดนั้นองค์ชายเทียนหลัวเรียกคัมภีร์แพลตตินัมของเขาออกมา จากนั้นเรียกแสงสีรุ้งออกมา ลูกบอลแสงสว่างสดใสพุ่งเข้าใส่ร่างเขาทีละลูกๆ รูในชุดเกราะแก้วขององค์ชายเทียนหลัวก็ค่อยๆ หายไป ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนกับว่ามีแก้วผลึกเพิ่มขึ้นมาในมือของเขา มันค่อยๆ ก่อตัวจนเป็นยักษ์ตนหนึ่งกลายเป็นโล่แก้ว องค์ชายเทียนหลัววางโล่ข้างๆ เขาขณะที่วงเวทอักษรรูนสีเงินปรากฏในดวงตาของเขา เกราะแก้วและโล่แก้วเปล่งแสงเป็นรูปวงเวทอักษรรูนด้วยเช่นกัน แม้แต่ปีกแก้วที่หลังของเขาก็ยังคลุมไปด้วยวงเวทอักษรรูนเงิน
ในพลังป้องกันที่แข็งแกร่งขนาดนั้น เย่ว์หยางรู้สึกว่าต่อให้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดอย่างถูเฉิงผู้มีพลังระเบิดที่รุนแรง ก็ยังไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้เกราะแก้วได้
เย่ว์หยางไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทำลายโล่แก้วนั้นได้ไหมหากว่าเขา ยกระดับพลังให้อยู่ในสภาวะปราณก่อกำเนิดและใช้พลังเพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลก
ความรู้สึกเสียใจซึมผ่านไปในใจเขา
ช่างน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถยกระดับพลังให้อยู่ในระดับปราณก่อกำเนิดในตอนนี้ได้
เย่ว์หยางไม่สามารถปลดปล่อยเพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลกต่อหน้าผู้ชมได้ มิฉะนั้นผู้ชมอาจจะไม่รอดชีวิต แม้แต่เย่ว์หวี่และเย่ว์ปิงก็จะพลอยได้รับอันตรายไปด้วย
“เป็นดาบสุดท้ายแล้วนะ” เย่ว์หยางต้องฝืนตนเองใช้ดาบที่สี่ : จักรวาลย้อนกลับในตอนนี้ เพราะเขา เพราะเขายังไม่ชำนาญวิชาดาบเต็มที่ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเย่ว์หยางรู้ว่าดาบที่สี่ ก็ยังไม่อาจทะลุผ่านโล่แก้วได้ สิ่งเดียวที่มีผลก็คือกระบี่ไร้ลักษณ์ปราณก่อกำเนิดของเขา ดาบที่สี่เป็นท่าบังหน้า แต่พลังที่เขาใช้ปะทะกับคู่ต่อสู้กลับเป็นปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ที่ตัดทะลุทุกอย่าง
“ก็ได้ นี่คือการสู้ครั้งสุดท้าย” นัยน์ตาขององค์ชายเทียนหลัวที่มีประกายวงเวทอักษรรูนฉายอยู่แฝงด้วยความเศร้า แม้ว่าความเศร้านี้จะไม่มีพลังอะไรเลย แต่มันน่ากลัวกว่าปราณกระบี่ไร้ลักษณ์เสียอีก
ยามเมื่อมันถูกปล่อยออกมา เย่ว์หยางรู้สึกว่าในใจของเขาปวดร้าวอย่างหนัก
รอยยิ้มและสีหน้าบึ้งตึงขององค์ชายเทียนหลัวเป็นอันดับหนึ่งในโลกจริงๆ เหมือนกับสาวงามอายุสั้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดเพลงเศร้ามากมายในอนาคต
ทันใดนั้นเย่ว์หยางคำรามดุร้ายเหมือนกับพยัคฆ์คลั่ง
เขากระโดดขึ้นสูง
เปลวเพลิงที่เปล่งออกมาจากเขาพุ่งตามเย่ว์หยางขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นทางยาว
ขณะที่เย่ว์หยางพุ่งไปในท้องฟ้าสูงเกือบสิบเมตร ทันใดนั้นเขากลับพุ่งกลับลงมาด้วยความเร็วสูงมาก
เปลวเพลิงม่วงและเย่ว์หยางเปลี่ยนสภาพเป็นมังกรเทพเจ้าที่มีพลังทำลายล้างจักรวาลได้พุ่งลงมาหาองค์ชายเทียนหลัวผู้กำลังถือโล่แก้วผลึกในสนามต่อสู้
“อ๊า! หน้าโง่.. หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เจ้าเมืองโล่วฮัวและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนปรากฏตัวทันที ทั้งสองนางห่วงกังวลมาก องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนปลดปล่อยพลังปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดนับไม่ถ้วนและยิงออกไปเหมือนกับดาวหาง ตั้งใจจะหยุดการต่อสู้แตกหักของคนทั้งสอง
****************