(ฟรี)ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 100 บรรลุขอบเขตยอดยุทธ
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 100 บรรลุขอบเขตยอดยุทธ
ในขณะนี้ ทะเลเลือดเริ่มปั่นป่วนขึ้นมา
ปรมาจารย์ยุทธกำลังต่อสู้แย่งชิงผลไม้วิญญาณ…
“ฮึ่ม ผู้อาวุโสเจียง ผู้อาวุโสเทียนทง ข้าเป็นคนแรกที่ค้นพบผลไม้วิญญาณนี้ พวกเจ้าต้องการที่จะแย่งชิงมันเช่นนั้นหรือ” เทียนจีซือกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวในขณะที่เขากวาดกระบี่ไปมา บังคับให้เจียงเจียจือและนักพรตเทียนทงถอยไป
“ฮ่าฮ่า ไร้สาระ ช่างไร้สาระยิ่งนัก…” นักพรตเทียนทงหัวเราะและกล่าวต่อ “มันเป็นสมบัติจากฟ้าดิน หากผู้ใดมีความสามารถก็จะตกเป็นของคนผู้นั้น ทว่าเจ้ากลับบอกว่า เจ้าเจอมันก่อน มันจึงกลายเป็นของเจ้า ช่างน่าขันยิ่งนัก”
สีหน้าของเจียงจีซือเริ่มคล้ำขึ้นมาเมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยของนักพรตเทียนทง เขามองดูผลไม้วิญญาณที่ส่องประกายระยิบระยับบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างตะกละตะกลาม
ผลไม้วิญญาณนี้ไม่ใช่ผลไม้ระดับเซียน ทว่ามันเติบโตมานับหมื่นปีและเปี่ยมไปดื้วยพลังชีวิตที่น่าอัศจรรย์ เป็นสมบัติที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้
เจียงเจียจือลูบเคราของเขาและยิ้ม “นักพรตเทียนจีซือ ข้าเกรงว่าเจ้าคงยังไม่หายดีหลังจากเผชิญหน้ากับเย่ชิวมาใช่หรือไม่ ในตอนนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังมีโอกาสชนะเราทั้งสองคนเช่นนั้นหรือ”
“เพียงแค่ชายชราสองคน แม้ว่าพวกเจ้าจะโจมตีข้าพร้อมกันข้าก็ไม่กลัว”
ชั่วขณะหนึ่ง การต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง และทะเลเลือดทั้งหมดก็ปั่นป่วน
พลังข้างในสุสานได้ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์เนื่องจากสุสานจักรพรรดิเพิ่งเปิดออกและสมบัติที่ซ่อนอยู่ในสุสานจักรพรรดิก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา
สมบัติบินบางอย่างได้บินทะยานผ่านขอบฟ้า ปรมาจารย์ยุทธหลายคนต่างรีบวิ่งออกไปอย่างตื่นเต้น ต้องการแย่งชิงสมบัติมาเป็นของตนเองในทันที
ในอีกด้านหนึ่ง มีคนค้นพบหยดโลหิตที่กำลังเติบโตอยู่ในหุบเหวใต้ดิน
ตอนนี้สุสานของกษัตริย์มีชีวิตชีวาอย่าวมาก เกือบครึ่งหนึ่งของปรมาจารย์ยุทธและยอดฝีมือในดินแดนรกร้างตะวันต่างอยู่ที่นี่
สิ่งนี้ทำให้สวรรค์และปฐพีต่างตกอยู่ในความโกลาหล ในหมู่พวกเขา การต่อสู้ระหว่างเทียนจีซือ เจียงเจียจือและนักพรตเทียนทงนั้นรุนแรงที่สุด
ขณะที่พวกเขากำลังแย่งชิงผลไม้วิญญาณ ทั่วบริเวณก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นมา และร่างที่สว่างไสวก็ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางเวหาเหนือทะเลเลือด
“หืม นี่คือเขตแดนพลังยุทธ์” ทันทีที่นางเข้ามาในสุสาน หมิงเยว่รู้สึกว่ามีพลังงานบางอย่างตรวจสอบระดับพลังยุทธ์ในร่างกายของนาง เป็นความรู้สึกเดียวกับเย่ชิวในตอนนั้น นางเข้าใจในทันทีว่านี่คือเขตแดนของปรมาจารย์ยุทธ
ทันทีที่นางเข้ามา หมิงเยว่ก็เห็นคนทั้งสามกำลังต่อสู้กันอยู่ไม่ไกล พยายามแย่งชิงผลไม้วิญญาณ
เมื่อนางเห็นผลไม้วิญญาณดวงตาของหมิงเยว่ก็เป็นประกายขึ้นมา อย่างไรก็ตาม หลังจากครุ่นคิดนางยอมแพ้ นางไม่มีโอกาสเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายชราทั้งสามคน นางควรหาที่อยู่ของเย่ชิวเป็นอย่างแรก หากนางโชคดี นางอาจมีโอกาสแย่งชิงไปเช่นกัน
ในขณะนี้ สามคนที่กำลังต่อสู้รู้สึกว่ามีใครบางคนได้เข้ามาในเขตแดนนี้จึงได้หยุดการต่อสู้ชั่วคราว หลังจากค้นพบหมิงเยว่ นักพรตเทียนทงก็ได้หัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “นั่นคือนักพรตหมิงเยว่ นักพรตข้าคิดว่ากองกำลังเสริมของภูเขาสวรรค์มาถึงแล้ว”
“หืม… สำนักเยียวยาสวรรค์ อีกแล้วหรือ” ใบหน้าของเทียนจีซือมืดมนขณะที่เขาจ้องมองหมิงเยว่อย่างเย็นชา เจตนาสังหารของเขาพุ่งสูงขึ้นทันที
เขารู้สึกเกลียดชังเย่ชิวอย่างมากที่ทำให้เขาบาดเจ็บ หากไม่ใช่เพราะเย่ชิวเขาคงไม่ลงเอยในสภาพเช่นนี้ ต้องทนโดนกัดดันจากนักพรตเทียนทงและเจียงเจียจือ
หมิงเยว่รับรู้ได้ถึงเจตนาสังหารของเทียนจีซือเช่นกัน หัวใจของนางสั่นไหวขึ้นมาจนสีหน้าของนางแปลกไป “เหตุใดชายคนนี้ถึงตั้งตนเป็นศัตรูกับข้า ข้าไปยั่วยุเขาเมื่อใดกัน”
หมิงเยว่ไม่เข้าใจ ทว่านางก็ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด นางสอบถามนักพรตเทียนทง “นักพรตเทียนทง ท่านเห็นศิษย์น้องของข้าหรือไม่”
นักพรตเทียนทงและเจียงเจียจือมองหน้ากันและส่ายหัว “ไม่เลย”
“ก่อนหน้านี้ สุสานจักรพรรดิเพิ่งเปิดขึ้น ทุกอย่างวุ่นวายเกินไป นักพรตเย่ชิวได้ติดตามนกกระจอกกลืนสวรรค์ไป พอเราเข้ามา เขาก็หายไปแล้ว เหลือเพียงซากของฉลามฟันยักษ์เท่านั้น ดูจากลักษณะแล้ว ฉลามฟันยักษ์น่าจะตายไปนานแล้ว มันคงตายไปด้วยน้ำมือของนักพรตเย่ชิว”
หมิงเยว่ครุ่นคิด นางมองไปยังโกลาหลในทะเลเลือดและร่องรอยของความผิดหวังก็ฉายแววผ่านดวงตาของนาง
“ฮึ่ม เย่ชิวหรือ ชายคนนั้นคงจะโดนสังหารไปแล้วกระมัง” ในขณะนี้ เทียนจีซือก็ได้กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เขาได้เข้ามาในสถานที่นี้ในช่วงที่ปลดปล่อยพลังงานระลอกแรก แม้ว่าจะผ่านไปหลายวัน ทว่ากลับไม่มีใครเห็นเขา คงตายไปในที่ลับ ไม่มีแม้แต่หลุมฝังศพ”
หมิงเยว่ขมวดคิ้ว นางรู้คร่าว ๆ ว่าเหตุใด เทียนจีซือจึงตั้งตนศัตรูกับนาง แน่นอนว่าเป็นเพราะเย่ชิว
หมิงเยว่เคยได้ยินว่าเย่ชิวทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส
เมื่อได้ยินนางก็ตกใจเช่นกัน ไม่คาดคิดว่าความแข็งแกร่งของเย่ชิวจะมาถึงระดับนี้แล้ว
นางรู้สึกผิดหวังมากเช่นกัน นางรู้สึกได้ว่าช่องว่างระหว่างตนเองกับเย่ชิวนั้นกำลังห่างไกลขึ้นเรื่อย ๆ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เย่ชิวถูกกำหนดให้กลายเป็นผู้ที่นางทำได้เพียงแหงนหน้ามองขึ้นไป และระยะห่างระหว่างนางกับเขาก็จะยิ่งไกลออกไป เมื่อถึงเวลานั้น นางจะยังสามารถปฏิบัติกับเย่ชิวได้เหมือนเดิมหรือไม่
ทุกครั้งที่นางนึกถึงเรื่องนี้ หมิงเยว่ก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก
ดวงตาของหมิงเยว่เปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่เงยหน้าขึ้นมองเทียนจีซือ “อย่ากังวล ไปดลย แม้ว่าเจ้าจะตายกลายเป็นผี ศิษย์น้องของข้าก็ยังอยู่ดี”
ในใจของนาง ดูเหมือนว่านางจะไม่ยอมให้ใครกล่าวให้ร้ายเย่ชิวแม้แต่น้อย
“สาวน้อย เจ้ากำลังแส่หาความตาย…” เทียนจีซือโมโหทันที ทำการตบฝ่ามือไปทางหมิงเยว่ทันใด ทว่านางก็เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แล้วเช่นกัน
ในขณะนี้ นักพรตเทียนทงได้เข้ามาแทรกแซง ทำการตอบโต้เทียนจีซือกลับไป เขาหันกลับมาและกล่าวกับหมิงเยว่ว่า “นักพรตหมิงเยว่ หากเจ้าต้องการพบนักพรตเย่ชิว ท่านควรไปทางทิศตะวันออก หากข้าจำไม่ผิด เขาน่าจะมุ่งหน้าไปยังทางตะวันออก”
ศพของฉลามฟันยักษ์ถูกพบทางทิศตะวันออก นักพรตเทียนทงจึงสามารถระบุที่อยู่ของเย่ชิวได้ไม่ยากนัก ท้ายที่สุดเย่ชิวเป็นคนแรกที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถสังหารฉลามฟันยักษ์ได้
หมิงเยว่มองไปยังนักพรตเทียนทงอย่างซาบซึ้งและกล่าวว่า “ขอบคุณนักพรตเทียนทง ข้าขอลา ไม่รบกวนพวกท่านอีกต่อไป…”
นางมาในครั้งนี้เพื่อตามหาเย่ชิว ไม่มีเวลามาเสียเวลากับเทียนจีซือ หลังจากบอกลาทั้งสองคน หมิงเยว่ก็ไล่ตามกลิ่นอายของเย่ชิวและบินไปทางตะวันออก
ในไม่ช้านางก็พบศพของฉลามฟันยักษ์ที่เกยตื้นอยู่ชายฝั่ง นางยิ่งมั่นใจในพูดของนักพรตเทียนทงและบินต่อไปยังภูเขาที่ห่างไกล
ในขณะนี้ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เย่ชิวกำลังควบแน่นกายาชั้นยอดขึ้นมาอย่างสงบ
โลกภายนอกได้ผ่านไปสามวัน ทว่าด้านในกลับผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
ร่างกายของเย่ชิวค่อย ๆ เปลี่ยนไปหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน อักขระสีทองได้ปรากฏขึ้นมาบนร่างกายของเขา พวกมันคืออักขระจากกระดูกมังกรที่แท้จริงนั่นเอง
ในขณะนี้ เขากำลังหยิบยืมพลังของอักขระจากกระดูกสมบัติเพื่อควบแน่นกายาชั้นยอดขึ้นมา หากเขาทำสำเร็จ ร่างกายของเขาก็จะเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะมีผลการฟื้นฟูที่น่าอัศจรรย์ ทว่าการป้องกันของเขาก็จะยังมาถึงจุดสูงสุดอีกด้วย
“ได้เวลาแล้ว…” เย่ชิวรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยหลังจากที่ได้ควบแน่นกายาชั้นยอดมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ร่างกายของเขาใกล้จะเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์แล้ว ขอบเขตของเขาก็เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ในไม่ช้าเขาก็ก้าวผ่านด่านสุดท้าย
ในส่วนลึกของทะเลแห่งจิตใต้สำนึก บุปผาเต๋าอีกดอกก็ค่อย ๆ เบ่งบานอยู่เคียงข้างบุปผาเต๋าอันเดิมที่บานสะพรั่งพร้อมเปล่งแสงพราวออกมา
เย่ชิวรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณจากน้ำพุวิญญาณกำลังดำดิ่งลงไปในร่างกายอย่างต่อเนื่อง
เขารู้สึกราวกับวิญญาณของเขากำลังสลายหายไป
“อ่า… ความรู้สึกนี้ ช่างสุดยอดยิ่งนัก…”
ราวกับว่าสิ่งที่เก็บกดมานานหลายปีได้ถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุด
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถ้ำสวรรค์ได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเมื่อพลังอันน่าตกตะลึงได้ปะทุขึ้นมา
ปัง…
เสื้อผ้าของเย่ชิวระเบิดเสียงดังโครมครามทันที เผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันสมบูรณ์แบบ
อารมณ์ทั้งหมดของเย่ชิวได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังจากประสบความสำเร็จในการควบแน่นกายาชั้นยอด
บุปผาเต๋ากำลังเบ่งบานอย่างอิสระในทะเลแห่งจิตใต้สำนึก พลังวิญญาณในร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกดูดหายไปก็ว่าได้
เย่ชิวออกแรงทันที ในชั่วพริบตา พลังวิญญาณทั้งหมดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถ้ำสวรรค์ก็ได้หลั่งไหลเข้ามา ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่เหนือหัวของเขา ไหลเข้าสู่ร่างกายของเย่ชิวอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของเย่ชิวสั่นสะท้านเมื่อเขารู้สึกถึงพละกำลังของขอบเขตยอดยุทธที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา
ความรู้สึกนี้ช่างยอดเยี่ยมเกินไป…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดพลังวิญญาณที่สะสมอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถ้ำสวรรค์เป็นเวลาหลายหมื่นปีก็ถูกเย่ชิวดูดกลืนไปจนหมด
ในที่สุดการฝึกฝนของเขาก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดยุทธขั้นต้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขตแดนพลังยุทธ์นี้เป็นเขตแดนของผู้ที่อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ยุทธ เย่ชิวจึงทำได้เพียงระงับการฝึกฝนของเขาชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองถูกเคลื่อนย้ายออกไป
เย่ชิวลืมตาอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มีความสุขออกมา ทำการมองไปรอบ ๆ และเห็นว่าน้ำพุวิญญาณด้านล่างถูกดูดจนแห้งเหือด
ชั่วครู่ เขาก็มองลงไปยังเสื้อผ้า เห็นได้ว่าถูกทำลายไปจนสมบูรณ์ ราวกับเป็นมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ก็ว่าได้
หัวใจของเย่ชิวรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
“นี่คือเงิน เงินทั้งนั้น! ข้ายังไม่ได้ใส่ชุดที่ตัดใหม่เลยแม้แต่น้อย ทว่าชุดเก่ามันกลับถูกทำลายไปเสียแล้ว โชคดีที่ข้าเตรียมเสื้อผ้ามาอีกสองสามชุดก่อนจะลงจากภูเขาเผื่อมีเหตุฉุกเฉิน ไม่เช่นนั้นการที่เปลือยเปล่าเช่นนี้คงจะทำให้ชื่อเสียงของข้าป่นปี้อย่างสมบูรณ์…”
เขาหยิบเสื้อผ้าออกมาจากจี้หยกและเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อผ้าที่สะอาดเอี่ยม
เขายกมือขวาขึ้นช้า ๆ รู้สึกถึงแขนขวาที่ทรงพลังอย่างมาก รวมถึงพลังอันไรที่สิ้นสุดที่อยู่ภายในร่างกาย สิ่งนี้ทำให้ความมั่นใจของเย่ชิวพุ่งสูงขึ้นทันที หากเขาเจอนกกระจอกกลืนสวรรค์อีกครั้ง เขาสามารถสังหารมันได้อย่างแน่นอน
ขณะที่เขาดื่มด่ำกับความสุขจากการทะลวงผ่าน ทันใดนั้นทางเข้าถ้ำก็สั่นไหวราวกับว่ามีคนบุกรุกเข้ามา
เย่ชิวขมวดคิ้ว เขาตระหนักได้ว่าหมิงเยว่กำลังดันกำแพงหินอย่างระมัดระวังในขณะที่ก้มศีรษะลงและเดินเข้ามาพร้อมสังเกตอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่เย่ชิวค้นพบนาง เขาก็มีความคิดใหม่ผุดขึ้นมาทันที เขารีบปิดกั้นกลิ่นอายของเขาและซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่
หลังจากปกปิดกลิ่นอายเสร็จ สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของหมิงเยว่ก็ไม่สามารถตรวจจับการมีอยู่ของเย่ชิวได้แม้แต่น้อย นางสนใจแต่เพียงการเดินเข้าไปเท่านั้น
ขณะที่เดิน นางก็สบถออกมา “บัดซบ กลิ่นอายเขาหายไปเมื่อมาถึงที่นี่ แล้วเหตุใดเขาถึงไม่อยู่ที่นี่กัน…”
หมิงเยว่รู้สึกโมโหเล็กน้อย นางติดตามกลิ่นอายของเย่ชิวมาตลอดทางจนมาถึงที่นี่ ทว่ามันสิ้นสุดลงที่ตรงนี้เช่นกัน
ร่างกายของหมิงเยว่สั่นเทาขณะที่นางมองไปรอบ ๆ ถ้ำ
“มีค่ายกลเขตแดนเวลาอยู่ที่นี่เช่นนั้นหรือ” หมิงเยว่ตกใจอย่างมาก นางมองไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เบื้องหน้าและเดินไปยังน้ำพุวิญญาณที่เย่ชิวเพิ่งฝึกฝนไป
ไม่นานนางก็จมลงสู่ห้วงความคิดทันที
ในขณะนี้ในถ้ำเงียบสงบอย่างมาก กระทั่งได้ยินเสียงน้ำหยดดังมาแต่ไกล
ฉับพลัน…
“อ๊าก…”
เสียงกรีดร้องได้ดังมาจากด้านหลัง ภายใต้แสงจันทร์ ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างถึงที่สุด แม้แต่ชายชาตรีก็ไม่สามารถทนต่อความตกใจอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้ นับประสาอะไรกับนาง
หมิงเยว่หันกลับมาด้วยใบหน้าซีดและตระหนักว่าผู้ที่กรีดร้องคือเย่ชิว นางกระทืบเท้าด้วยความโกรธเกรี้ยวทันที
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” หมิงเยว่ยังคงตกใจไม่หาย ใบหน้าของนางซีดเซียวขึ้นมา ความตกใจที่เกิดขึ้นทำให้ขาของนางรู้สึกอ่อนปวกเปียกขึ้นมาทันที
“ฮ่าฮ่า…” เย่ชิวหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เย่ชิวต้องการแกล้งศิษย์พี่หญิงคนนี้ เดิมทีเขาคิดว่าด้วยจิตใจของนาง นางคงจะยังคงสงบ
ทว่าใครจะคิดไปว่าหมิงเยว่จะตกใจจนหน้าซีดเซียว เมื่อมองผ่านแวบแรกก็ทำให้รู้สึกสงสารนางโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาที่เปียกชุ่มของนางเต็มไปด้วยน้ำตาจาง ๆ นัยน์ตาที่งดงามของนางสามารถทำให้คนที่มองโดนสะกดจิตได้อย่างง่ายได้ น่าเสียดายที่เย่ชิวไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมามีเวลาชื่นชมมัน เขายิ้มออกมาอย่างไร้ความปรานี
“บัดซบ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงหัวเราะข้า… ช่างน่าโมโหยิ่งนัก” หมิงเยว่กัดฟันด้วยความโกรธ นางกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเย่ชิวอย่างยิ่ง ทำการตามหามาตลอดทาง
ตอนนี้นางพบเขาแล้ว ไม่เพียงแต่นางจะไม่มีความสุขเท่านั้น ทว่ากลับรู้สึกโมโหขึ้นมา
ขณะที่เอ่ย นางได้ประเคนหมัดออกไปเพื่อระบายความโกรธของนาง อย่างไรก็ตาม กำปั้นเล็ก ๆ ของนางนั้นดูอ่อนแรงอย่างมาก ดูราวกับว่ากำลังทุบตีด้วยความเขินอายก็ว่าได้ ไม่มีวี่แววของการแค้นแม้แต่น้อย
เย่ชิวไม่ขัดขืน เขายืนเงียบ ๆ และปล่อยให้นางระบายความโกรธออกมา หลังจากนั้นไม่นาน หมิงเยว่ก็ถอนหายใจออกมา ทว่าความโกรธยังคงไม่หายไป
เย่ชิวมองนางด้วยความสนุกสนานและกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง เหตุใดท่านถึงมาที่นี่”
“ฮึ่ม! เจ้ายังกล้าเอ่ยเช่นนี้อีกหรือ เจ้าไล่ตามนกกระจอกกลืนสวรรค์มาที่นี่โดยไม่กล่าวอะไรสักคำหรือแม้แต่ส่งข้อความกลับมา” หมิงเยว่กล่าวด้วยความโกรธ
เย่ชิวรู้สึกขบขันเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทันใดนั้นเขาก็ก้มลงกระซิบข้างหูของหมิงเยว่ “ศิษย์พี่หญิง ท่านเป็นห่วงข้าหรือ”
“ไปนรกซะ ใครกันเป็นห่วงเจ้า ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาทางนี้เท่านั้น” หมิงเยว่ปฏิเสธออกไป ราวกับว่าความคิดของนางถูกมองทะลุก็ว่าได้ ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับมะเขือเทศ นางรับรู้ถึงลมหายใจของเย่ชิวที่ข้างหู ทำให้รู้สึกอ่อนไหวอย่างมาก
เย่ชิวยิ้มและแสร้งทำเป็นผิดหวัง “ข้าคิดว่าศิษย์พี่คงเป็นห่วงข้า ท่านจึงมาที่นี่เพื่อตามหาข้า เฮ้อ… ดูเหมือนข้าจะคิดมากไปเอง”
“ไม่ใช่…” หัวใจของหมิงเยว่สั่นสะท้านเมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของเย่ชิว นางคิดว่าคำพูดของนางคงทำให้เย่ชิวรู้สึกเจ็บปวด
อันที่จริง นางเป็นห่วงเย่ชิวไม่น้อย นางจึงได้ออกตามหาเขา
หมิงเยว่ไม่สามารถทนได้และกำลังจะอธิบาย ทว่าเมื่อนางตระหนักถึงความเจ้าเล่ห์ในแววตาของเย่ชิว นางก็เข้าใจทันทีว่าชายคนนี้ได้หลอกลวงนางอีกแล้ว
“มารดามันเถอะ” หมิงเยว่กระทืบเท้าด้วยความโกรธ นางคิดว่าคำพูดเมื่อครู่คงเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่าย ไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นกับดัก
หมิงเยว่ชกหน้าอกของเย่ชิวอีกสองสามครั้งด้วยความโมโห ทันใดนั้นเอง หินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางก็ลื่นตกลงสู่น้ำพุวิญญาณขึ้นมา
หมิงเยว่เสียการทรงตัวและกำลังจะล้มลงทันที ในช่วงเวลาสำคัญ เย่ชิวได้เอื้อมมือออกไปดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ทำการฉวยโอกาสทันที นี่จะต้องเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้ คงจะเสียเปล่าหากเขาไม่รับมัน
เย่ชิวสูดหายใจเข้าในขณะที่เขาได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากร่างกายที่อ่อนนุ่มในอ้อมแขนของเขา
เขาก้มลงมา
“ฟู่…”
ปรากฏเป็นทิวทัศน์ที่ยากจะดึงสติกลับคืนมา
ข้าเคยบอกไปแล้วหลายครั้งว่า มีเพียงคนอย่างข้าที่เคยดูหนังมานับไม่ถ้วนเท่านั้นที่สามารถต้านทานเหตุการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ได้
ในขณะนี้ หัวใจของหมิงเยว่กำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกประหม่าอย่างมาก นางรู้สึกปลอดภัยอย่างสมบูรณ์เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเย่ชิว
นางรู้สึกเขินอายจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องผลักเย่ชิวออกไป สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของนางแดงขึ้นมาอีกครั้ง
“บัดซบ เขาเอาเปรียบข้าอีกแล้ว” หมิงเยว่สาปแช่งเบา ๆ
นางไม่รู้ว่านางเป็นอะไรเช่นกัน ในตอนนี้หัวใจของนางกำลังเต้นแรงอย่างมาก นางรู้สึกคาดหวังและไม่เต็มใจเล็กน้อย หมิงเยว่เอ๋ยหมิงเยว่ แม้จะบ่มเพาะมาหลายปี ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะมีจิตใจอ่อนแอเพียงนี้
นางพึมพำดูถูกตนเองไปหลายครั้ง แต่เมื่อนางได้สบตาเย่ชิว หัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด ในที่สุดนางก็ฟื้นสติ แสร้งทำเป็นสงบและกลับสู่สภาพปกติทันที
“เฮ้อ…” นางถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกเพื่อบรรเทาบรรยากาศที่น่าอึดอัด
ขณะที่นางกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง เย่ชิวก็กล่าวตัดทันทีว่า “ช่างมีกลิ่นที่หอมยิ่งนัก ศิษย์พี่หญิง… ท่านกินอะไรเมื่อโตหรือ เหตุใดท่านถึงมีกลิ่นหอมยิ่งนัก กลิ่นหอมนี้มีเสน่ห์และพิเศษอย่างมาก ได้กลิ่นครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้คนเคลิบเคลิ้มได้…”
“อืม… ขอข้าสูดอีกครั้ง…”
“บัดซบ ไปลงนรกซะ!” หมิงเยว่หน้าแดงขึ้นมา นางเพิ่งฟื้นสติได้ไม่นาน ไม่คาดคิดว่าเย่ชิวจะทำการจี้จุดอ่อนนางอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่า…” เย่ชิวหัวเราะอย่างไร้ความปรานี ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าการแกล้ง หมิงเยว่ก็เป็นเรื่องที่มีความสุขไม่น้อย
หมิงเยว่รู้สึกโมโหจนขบฟันแน่น อย่างไรก็ตาม เมื่อนางได้ยินเย่ชิวบอกว่ากลิ่นหอมของนางมีเสน่ห์อย่างมาก นางก็รู้สึกยินดีขึ้นมา ดูเหมือนว่านางจะไม่ไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์ นางคิดเสมอว่าความงามของนางไม่สามารถดึงดูดเย่ชิวได้ ดังนั้นนางจึงผิดหวังอยู่นานเช่นกัน เมื่อดูจากเหตุการณ์นี้แล้ว เหมือนว่านางก็ยังพอมีจุดน่าสนใจอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม สหายคนนี้ช่างน่ารังเกียจเกินไป
กลิ่นหอมที่เย่ชิวกล่าวถึงก็คือกลิ่นหอมเฉพาะตัวของนาง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่นางฝึกฝน หรือบางทีนางอาจจะเกิดมาพร้อมกับมัน นางไม่แน่ใจเช่นกัน นางรู้เพียงว่ากลิ่นหอมนี้สามารถดึงดูดใจผู้ชายได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่ามันน่าดึงดูดเพียงใด
เย่ชิวหัวเราะอยู่นานก่อนที่จะสงบลงในที่สุด เขากล่าวว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะไม่แกล้งท่านแล้ว”
เย่ชิวมองไปรอบ ๆ และกล่าวว่า “ศิษย์พี่ นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีเขตแดนเวลา เหมาะแก่การบ่มเพาะเป็นอย่างยิ่ง ท่านต้องการเข้าปิดด่านอยู่ที่นี่หรือไม่”
หมิงเยว่ตกตะลึง นางสังเกตได้นานแล้วเช่นกัน นางเพิ่งทะลวงผ่านไปยังขอบเขตปรมาจารย์ยุทธและตอนนี้ยังไม่มีโอกาสที่จะทะลวงได้ แม้ว่าการบ่มเพาะของนางสามารถเพิ่มขึ้นได้ในระหว่างการปิดด่าน ทว่าผลประโยชน์ที่ได้ก็ไม่ได้ดีมากนัก
ตอนนี้มีสมบัติมากมายปรากฏขึ้นในสุสานจักรพรรดิ แทนที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่ นางอาจสามารถตามหาสมบัติอื่นแทนก็ได้
“ลืมมันไปเถอะ มีสมบัติมากมายอยู่ภายในสุสานนี้ แทนที่จะมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ การตามหาสมบัติคงจะเป็นการดีกว่า ข้าเห็นว่านักพรตเทียนทง เจียงเจียจือและเทียนจีซืออจากภูเขาสวรรค์กำลังต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลไม้วิญญาณ”
เย่ชิวตกตะลึง
“เป็นชายชราคนนี้แล้ว อืม…” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่ชิวก็เผยรอยยิ้มและถามอย่างคลุมเครือว่า “ศิษย์พี่ ท่านต้องการผลไม้วิญญาณนี้หรือไม่ ข้าจะไปเอามันมาให้ท่านเอง…”
หัวใจของหมิงเยว่สั่นสะท้าน นางเริ่มรู้สึกถูกล่อลวงขึ้นมา
นี่คือคำสารภาพในตำนานหรือไม่ ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก…
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงออกว่าต้องการมอบของขวัญกับข้า
อย่างไรก็ตาม หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้วหมิงเยว่ส่ายหัวและกล่าวว่า “ลืมมันไปเถอะ ผลไม้นั้นไม่มีประโยชน์สำหรับข้า เจ้าควรเก็บแรงเอาไว้ดีกว่า”
[TL: แก้จาก ค่ายกลเวลา เป็น เขตแดนเวลา, สหายเต๋า เป็น นักพรต]