ตอนที่แล้วทาสแห่งเงา บทที่ 31 น้ำลง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปทาสแห่งเงา บทที่ 33 สัตว์กินซาก

ทาสแห่งเงา บทที่ 32 ตัดสินใจเลือก


แม้ท้องจะว่างและในหัวก็เต็มไปด้วยความคิดมากมาย ซันนี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปนั่งตรงกลางแท่นทรงกลมนั้น หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็กวักมือเรียกเงาและกล่าว

“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นปลุกฉันด้วยละกัน”

จากนั้น เขาก็พยายามข่มตาหลับ สติของเขากลับสู่อ้อมกอดแห่งความมืดมิดอันหอมหวาน ช่วยเยียวยาความเหนื่อยล้าของเขาในตอนนี้

แต่ในกลางดึก ก็มีบางสิ่งบางอย่างกระตุ้นให้ซันนี่ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขากระโดดลุกขึ้นยืนในทันใด ในใจเต็มไปด้วยควาหวาดหวั่น เขากลัวว่าเจ้าของหนวดยักษ์นั่นจะกลับมาจัดการงานที่ค้างคานี้

หรืออาจจะมีภัยใต้ท้องทะเลลึกอะไรบางอย่างที่อยากจะกินเนื้อมนุษย์คนนี้เป็นอาหารว่าง

อย่างไรก็ตาม ท้องทะเลนั้นเงียบสงบ ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ รอบรูปปั้นอัศวิน

“มีอะไร?” ซันนี่กระซิบ เขาคุยกับเงา

เงาชี้ไปยังทางหนึ่งอย่างเงียบงัน

เขาหันหัวตามและหรี่ตามอง ก่อนจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าทำไมเขาควรจะสะดุ้งตื่นมา ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงไม่เห็นเจ้าสิ่งนี้แน่

ห่างออกไปหลายกิโลเมตร แสงสีส้มดวงเล็กๆ ส่ายไปมาท่ามกลางความืดมิด แสงสะท้อนของมันลอยขึ้นลงไปพร้อมกับระลอกคลื่น

เพราะไกลเกินกว่าจะเห็นรายละเอียดใดๆ ซันนี่จึงได้แต่จ้องมันไปสักพัก ก่อนที่แสงนั้นจะหายไป

“ผู้หลับไหลคนอื่น? ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ? หรือเป็นกับดักของสัตว์อสูรกัน?”

สัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเลลึกน่าสะพรึงกลัวแวบเข้ามาในหัวเขาในทันใด

ซันนี่ส่ายหัว ก่อนจะนอนลงไปพยายามจะกลับสู่ห้วงนิทรา แต่ถึงอย่างนั้น ในครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าห้วงนิทรากำลังหนีจากเขาไป ความหิวโหยนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนทนไม่ไหว และความกระหายที่หนักไปกว่านั้น

ในท้ายที่สุด เขาก็ได้แต่ต้องลืมตาตื่นจนกระทั่งแสงอาทิตย์กลับสู่ฟากฟ้าอีกครา ส่งทะเลที่มืดมิดนี้ให้หายไป

***

ยามรุ่งสาง สัตว์อสูรก้ามปูก็คืบคลานออกมาจากที่ซ่อนของมันและกลับไปยังซากศพใหญ่ยักษ์เพื่อสวาปามต่อไป

ซันนี่มองดูพวกมันอยู่พักหนึ่งก่อนเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของแท่นทรงกลมเพื่อมองดูทิศทางที่เขาเห็นแสงประหลาดเมื่อคืนก่อน

ห่างออกไปพอสมควรจากรูปปั้นไร้เศียร ห่างออกไปประมาณห้าถึงหกกิโลเมตร พื้นดินยกตัวสูงขึ้นมาดูคล้ายๆ กับเนินเขา และบนเนินเขานั้น มีเสาปะการังขนาดใหญ่ยักษ์งอกขึ้นสู่ท้องฟ้า

ดูจากรูปลักษณ์ของมันแล้ว กิ่งก้านส่วนบนนั้นสูงพอที่จะอยู่เหนือผืนน้ำในยามกลางคืนได้พอดี

ความคิดต่างๆ มากมายถ่าโถมเข้ามาในหัวของเขา แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ก็มีแค่สองคำถามเท่านั้นที่สำคัญ

อย่างแรก เขาจะหาทางฝ่าเขาวงกตนี้เพื่อเดินทางในระยะทางเช่นนั้นได้ภายในวันเดียวจริงๆ หรือไม่? และยิ่งไปกว่านั้น เขาควรจะลองทำเช่นนั้นด้วยหรือไม่? เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้วก็ไม่มีอะไรที่บอกได้ว่าแสงนั่นเป็นอะไรที่จะส่งผลดีต่อเขา มันอาจจะอันตรายจนถึงชีวิตเลยก็ได้

เพราะไม่มีข้อมูลมากเพียงพอที่จะตัดสินใจ ซันนี่จึงกลับไปศึกษาสัตว์อสูรต่อไป แต่เขาก็ส่งเงาออกไปเพื่อสำรวจเส้นทางไกลเท่าที่เขาจะควบคุมเงาได้ หวังว่าอย่างน้อยก็เริ่มต้นเส้นทางที่น่าจะนำทางเขาไปสู่เนินเขานั่นได้

อันที่จริงแล้ว ที่รูปปั้นไร้เศียรนี่คงจะเป็นที่ที่น่าจะปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะมีได้ในสถานที่แปลกๆ นี่แล้ว แต่ปัญหาเดียวคือ เขากำลังจะตายเพราะความกระหายและหิวโหยนี่แหละ

ทั้งสองปัญหาจะแก้ได้หากเขายอมเดินทางลงไป เขาสามารถกลั่นน้ำทะเลได้หลายวิธีจากความรู้ที่จูเลียสสอนมา และด้วยวัตถุดิบที่มีอยู่มากมายทุกหนแห่งในดินแดนแห่งความฝันนี้ เขาสามารถสร้างกับดักและล่าพวกสัตว์อสูรก้ามปูพวกนี้เป็นอาหารได้ และด้วยขนาดของพวกมัน น่าจะทำให้เขาอยู่ได้หลายสัปดาห์เลย

เขาพอจะเห็นกิจวัตรประจำวันของเขาในอนาคตได้: ออกล่าตอนกลางวัน กลับมาที่รูปปั้นตอนกลางคืน นี่คงจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว

อย่างไรก็ตาม การทำแบบนี้นั้นมันทำให้ขาดสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลง ถึงมันจะเหมาะสำหรับการเอาชีวิตรอดของซันนี่มากที่สุด แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความหวังแก่เขาแต่อย่างใด หากชะตาของเขาถูกกำหนดให้ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่เล็กๆรอบๆ รูปปั้นไร้เศียรนี้ กินสัตว์อสูรไปเรื่อยๆ และสั่นกลัวในยามกลางคืนด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกสิ่งที่ใหญ่กว่ากลืนกิน..

ถ้าเป็นแบบนั้น กระโดดลงไปแล้วให้มันจบไปเลยตอนนี้คงจะดีกว่า

นั่นหมายความว่าทางเลือกเดียวของเขาในตอนนี้คือการไปให้ถึงแสงสีส้มนั่น และหากซันนี่คิดจะทำเช่นนั้น เขาก็ต้องทำให้สำเร็จก่อนที่สัตว์อสูรก้ามปูพวกนั้นจะกินซากศพยักษ์นั่นหมด

และหากเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยส่วนนี้ของเขาวงกตก็จะไม่มีพวกมัน

เขาแน่วแน่ในการตัดสินใจของตน ซันนี่ตัดสินใจจะออกเดินทางจากรูปปั้นไร้เศียรในวันพรุ่งนี้ และเขาจะใช้เวลาทั้งวันในการออกสำรวจเส้นทางและเตรียมตัวเตรียมใจ

และด้วยเหตุนี้ เขาจึงหลับตาและตั้งสมาธิจดจ่อไปกับการเคลื่อนไหวของเงา

***

ในตอนกลางคืน เกิดพายุขึ้นอย่างกะทันหันในท้องทะเลอันมืดมิด ซันนี่ถูกปลุกให้ตื่นโดยเงาได้ทันท่วงทีเพื่อเตรียมพร้อมกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

ปกติแล้ว ฝนมักจะทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอ แต่ในครั้งนี้เขากระหายเกินกว่าจะคิดถึงสิ่งใดอื่นนอกจากน้ำจืด เขาก้มตัวต่ำเพื่อไม่ให้ถูกพัดออกไปนอกแท่น ซันนี่เอามือรองน้ำและรอจนเต็มก่อนจะยกขึ้นดื่มอย่างหิวกระหาย

แสงจากสายฟ้าฟาดผ่าทำให้เห็นทุกสิ่งเหนือทะเลอันปั่นป่วน หากใครได้เห็นใบหน้าของซันนี่ในตอนนี้ พวกเขาคงจะสังเกตเห็นรอยยิ้มกว้างได้อย่างแน่นอน

พายุยังคงโหมกระหน่ำต่อเนื่องไปอีกหลายชั่วโมง ซันนี่นอนหมอบอยู่กลางแท่นทรงกลม อดทนต่อแรงพายุฝน ยิ่งไปกว่านั้น คลื่นลูกโตมักจะกระแทกเข้าใส่รูปปั้นไร้เศียร พยายามจะซัดล้างให้เขาลอยออกไป แต่ซันนี่เกาะร่องหินเอาไว้แน่นราวกับกาว

ในยามเช้า เมื่อพายุฝนสงบลงไปในที่สุด ร่างกายของเขาก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว

แต่ก็ไม่มีเวลาให้เสียเปล่า

ทันทีที่สัตว์อสูรกลับมายังซากศพ โดยมีสองสามตัวที่เดินตามไปอย่างรวดเร็ว เขารีบพุ่งออกไปจากขอบของแท่นและรีบไต่ลงไปอย่างรวดเร็ว

ซันนี่ต้องขอบคุณวิชาเอาตัวรอดในถิ่นกันดารอีกครั้ง เพราะเขาได้เรียนรู้วิธีการไต่หน้าผาพวกนี้มาอย่างดี จูเลียสนั้นยืนกรานที่จะให้นักเรียนของเขาเรียนรู้ทุกการเดินทางด้วยหลักสูตรเร่งรัด ย่ิงไปกว่านั้น ซันนี่ได้ตรวจสอบเส้นทางที่เหมาะแก่การไต่ลงไปและจดจำจุดวางมือและเท้าที่ดีที่สุดด้วยความช่วยเหลือของเงาของเขา

และในไม่ช้า เท้าเขาก็แตะพื้น

แม้ว่าการออกจากพื้นที่ปลอดภัยของรุปปั้นไร้เศียรจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย แต่ซันนี่ก็รู้สึกได้ว่าเขาอารมณ์ดีขึ้น การอยู่เฉยๆ ในหลายวันที่ผ่านมานี้มันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด และแม้ว่าแผนของเขาจะล้มเหลว แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ตายจากสิ่งที่เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง

พยายามแล้วล้มเหลว ดีกว่าไม่พยายามเลย

โคลนสีดำนั้นลึกพอที่จะทำให้เขาช้าลงได้ แต่ดชก็ไม่ถึงขนาดทีว่าเขาจะต้องกลัว และด้วยการฝึกฝนนิดหน่อย ซันนี่ก็พอจะเดินได้ในความเร็วที่พอรับได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่เขายังอยู่ติดกับเงา การก้าวเดินของเขานั้นจะเบาและเงียบ ทำให้ไม่ส่งเสียงจากหล่มโคลน

เขามุ่งหน้าไปบนเส้นทางที่จะนำพาเขาไปยังเนินเขาที่ไกลออกไปและเข้ามาสู่เขาวงกตสีแดงชาด

ในทันใดนั้นเอง ความรู้สึกแปลกประหลาดห่อหุ้มจิตใจของเขา ราวกับว่าโลกเหนือเขาวงกตนี้ไม่มีอยู่อีกต่อไป และสิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงเส้นทางแห่งความมืดมิดที่บิดเบี้ยว

‘เจ้าสิ่งนี้ดูเหมือนไร้ที่สิ้นสุดเลย’

เขาส่ายหัว และส่งเงาออกไปสอดแนม หวังว่าจะได้รับการเตือนอันตรายล่วงหน้า ก่อนที่เขาเองจะเริ่มเดินหน้าต่อ ชีวิตเขาในตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะไปถึงเนินเขานั่นก่อนหรือพระอาทิตย์จะตกดินก่อน

เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหากเขายังอยู่ในเขาวงกตเมื่อท้องทะเลสีดำกลับมาพร้อมกับมวลน้ำมหาศาล

เงาเคลื่อนนำเขาไปข้างหน้า ไม่พบสิ่งกีดขวางใดๆ บางครั้งมันก็จะปีนขึ้นไปสูงเพื่อหาเส้นทางที่แตกต่าง ทำให้ซันนี่สามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะที่สุดได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังต้องเดินย้อนกลับไปอยู่ดีบางครั้ง เมื่อต้องพบกับทางตันหรือทางที่ไปคนละเส้นทาง

ถึงอย่างนั้น ทุกสิ่งก็ดูจะเป็นไปด้วยความราบรื่น

ซันนี่มีกระทั่งเวลาที่จะศึกษาภายในของเขาวงกตอย่างละเอียด ทำให้เขาพบเจอรายละเอียดมากขึ้นเช่นเดียวกันกับซากกระดูกจำนวนมหาศาลที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้โคลนที่เท้าเขา

และเพราะทุกอย่างนั้นเป็นไปได้ด้วยดี เขาจึงลดความระมัดระวังตัวลงเล็กน้อย และนั่นเป็นเพราะความประมาทของเขา— เพราะการเตรียมตัวอย่างเต็มที่และการควบคุมเงาเพื่อสำรวจอย่างดีเยี่ยมของเขา ซันนี่จึงปลอบประโลมตัวเองโดยไม่รู้ตัวและคิดว่ามันจะไม่เป็นอะไร

และนั่นเป็นเหตุว่าทำไม เมื่อโคลนตรงหน้าเริ่มขยับ เขาจึงตอบสนองช้าไปเสี้ยววินาที

ทันใดนั้น ก้ามปูขนาดยักษ์พุ่งออกมาจากพื้น หวังจะฉีกร่างของเขาให้ขาดครึ่งในคราวเดียว

0 0 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด