ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 123 ละเลงหอเมฆาพิรุณด้วยเลือด (2)
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 123 ละเลงหอเมฆาพิรุณด้วยเลือด (2)
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานยกเท้าขึ้นและเตะศพไร้ศีรษะออกจากเส้นทาง
ผู้คนด้านล่างพึ่งสับสนกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิง เมื่อศพไร้ศีรษะตกลงไป หลังจากตกตะลึง บางคนก็กรีดร้อง “มีคนตาย!”
ความโกลาหลปะทุขึ้นทันที หลี่ฉิงซานหัวเราะเสียงดัง เขามองไปรอบๆและเห็นเสื้อสีมรกตของชิงซิ่วที่ถูกพาไปยังชั้นที่สี่แล้ว
หลี่ฉิงซานกระโดดลงไปเหมือนเสือตะครุบเหยื่อหรือเหยี่ยวที่พุ่งลงไปหากระต่าย
ในช่วงเวลาที่ชิงซิ่วกำลงจมลงสู่ความสิ้นหวัง สายลมก็พัดเข้ามา หลี่ฉิงซานปรากฏตัวต่อหน้านาง เขาเก็บดาบกลับเข้าฝักขณะที่ผู้คุมสองคนที่จับนางกระอักเลือดและกระเด็นถอยหลังกลับไป
“ท่าน...” ชิงซิ่วกลายเป็นพูดติดอ่าง เขากล้าพอที่จะฆ่าคนในหอเมฆาพิรุณ นางไม่เคยเห็นคนบ้าบิ่นเช่นนี้มาก่อน สิ่งนี้แตกต่างจากความคาดหวังของนางอย่างสิ้นเชิง
หลี่ฉิงซานกล่าว “หากเจ้าได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดีใดๆ บอกข้าได้เลย!”
หอเมฆาพิรุณยังอยู่ในความโกลาหล ผู้คมโผล่ออกมาจากทุกที่
ชิงซิ่วรีบกล่าว “ขะ...ข้าถูกพวกเขาลักพาตัวมา ข้าไม่ได้เข้ามาที่นี่ด้วยความเต็มใจ ข้าถูกบังคับ ข้าจะถูกเฆี่ยนตีและอดอาหารหากข้าไม่ทำตามคำสั่ง!”
“นางสารเลว หุบปาก!” ด้วยเสียงตูม แม่เล้ากระโดดมาที่ชั้นสี่โดยตรง
“มาได้เวลาพอดี!” หลี่ฉิงซานตะโกนและส่งดาบวายุพุ่งไปที่ใบหน้าของแม่เล้าอย่างไม่เกรงกลัว
แม่เล้าไม่เคยเห็นผู้ใดบ้าบิ่นเช่นนี้มาก่อน เขาพยายามฆ่านางทันทีโดยไม่เจรจร นางใช้เวลาส่วนใหญ่ในการต้อนรับแขก นางจำไม่ได้แม้แต่ครั้งสุดท้ายที่นางต้องต่อสู้ด้วยตนเอง นางไม่สามารถโคจรพลังปราณได้ทันเวลา ดังนั้นนางจึงกระโจนลงไปที่ชั้นสามพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
แต่สิ่งที่นางเห็นคือหลี่ฉิงซานยังติดตามมาพร้อมกับดาบวายุในมืด นางไม่มีเวลาแม้แต่จะหยิบยันต์ออกมาจากกระเป๋าร้อยสมบัติ บางทีอาจเป็นเพราะความมึนงง ดังนั้นนางจึงกระโดดลงบนพื้นและกลิ้งตัวออกไปราวกับลูกบอล
คนหนึ่งช่ำชองในการรบ แต่อีกคนไม่ หนึ่งในนั้นใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งสังหารจอมยุทธ์ขั้นสองอย่างเปิดเผยขณะที่อีกหนึ่งมุ่งเน้นไปที่การฝึกมนต์เสน่ห์และทักษะการสมสู่ แม้นางจะเป็นจอมยุทธ์ขั้นสามแต่พลังการต่อสู้ของนางอยู่ในระดับเดียวกับจอมยุทธ์ขั้นสองเท่านั้น
แสงสีแดงส่องประกายขึ้น ดาบสายลมกรีดเฉือนร่างกายส่วนล่างแม่เล้า นางกรีดร้องเสียงแหลมราวกับหมูถูกเชือดและสูญเสียความตั้งใจในการต่อสู้ไปอย่างสมบูรณ์
ก่อนที่หลี่ฉิงซานจะลงถึงพื้น เขาใช้เท้าเตะกำแพงและทะยานร่างออกไป เขากระทบแผ่นหลังของนางและเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “นางแม่มดเฒ่า มาดูกันว่าเจ้าจะหนีไปที่ใด!?”
แม่เล้ารู้สึกว่าเท้าที่กดทับแผ่นหลังเหมือนท่อนเหล็กขนาดใหญ่ กระดูกของนางเริ่มแตกหัก ขณะที่แสงสะท้อนจากใบมีดพุ่งผ่านใบหน้าของนาง
คมดาบตรงเข้าไปหานางแต่ก่อนที่มันจะสัมผัสตัวนาง แสงสีเขียวก็พุ่งเข้ามา มันคือฟู่หรงที่ใช้ดาบจิตวิญญาณแทงไปที่หลี่ฉิงซานโดยตรง
“ดี!” หลี่ฉิงซานไม่แปลกใจแต่มีความสุขมาก เขาขยับร่างเล็กน้อยและปล่อยให้ดาบผ่านไป แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นสามก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาโดยไม่ต้องกล่าวถึงฟู่หรงที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นสอง
หลี่ฉิงซานกางมือซ้ายเป็นกรงเล็บและคว้าจับลำคอของฟู่หรงเข้ามาหาเขา
หนึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้า อีกหนึ่งอยู่ในกำมือ เขาสามารถฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว
หลี่ฉิงซานชี้ดาบวายุไปที่แม่เล้า “ในฐานะที่เป็นแม่เล้า เจ้ายืนอยู่เหนือผู้คนมากมาย เจ้าสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย แต่เจ้ายังทำสิ่งไร้หัวใจ แม้เจ้าจะตาย มันก็ไม่ใช่การสูญเสีย”
แม่เล้ากรีดร้องเสียงดัง “นายท่าน ปล่อยข้าไปเถอะ!”
“เจ้าไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไป!” หลี่ฉิงซานกำลังจะสะบัดดาบลงไปแต่สองเสียงกลับดังขึ้นพร้อมกัน “หยุด!”
หนึ่งคือเก้อเจี้ยน อีกหนึ่งไม่ใช่เตียวเฟยแต่เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินไพลิน เขาลอยลงมาที่ชั้นสามราวกับใบไม้ร่วง เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นห้าที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ดูเหมือนท่านจะไม่พอใจกับบริการของเราเป็นอย่างมาก”
เขาเป็นจอมยุทธ์ของนิกายเมฆาพิรุณที่แท้จริง ชื่อของเขาคือจ้าวเหลี่ยงฉิง เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหอเมฆาพิรุณแห่งนี้ เขาใช้นางโลมเหล่านั้นเสมือนหม้อยามนุษย์สำหรับการบ่มเพาะของตน
นี่เป็นส่วนสำคัญที่จ้าวจื่อป๋อวางแผนในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามจ้าวเหลียงฉิงไม่ได้สนใจมันมากนัก แผนการของจ้าวจื่อป๋อไม่เคยเป็นเรื่องดีและเขาก็คิดว่าฟู่หรงมีความสามารถเพียงพอที่จะจัดการเป้าหมาย แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น
หลี่ฉิงซานคิดว่าหากเขาไม่ใช้ปราณปีศาจ เขาสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นสองได้อย่างง่ายดาย เขามั่นใจว่าสามารถต่อต้านจอมยุทธ์ขั้นสาม มันเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นสี่ ขณะที่มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขั้นห้า
เขาตะโกนเสียงดัง “เก้อเจี้ยน ไปหาพี่ใหญ่จ้าวของเรา! รังโจรแห่งนี้บังคับผู้หญิงค้าประเวณี! ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จะกลัวคนเหล่านี้ได้อย่างไร!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยพลังปราณ มันทำให้ถ้วยชามหลายใบแตกเป็นเสี่ยงๆและทำลายแก้วหูของผู้คนที่อยู่รอบๆ
‘พี่ใหญ่จ้าว?’ เก้อเจี้ยนถอยหลังและเกือบล้มลง เขาเห็นด้วยตาของตนเองว่าหลี่ฉิงซานหยิ่งผยองต่อหน้าจ้าวจื่อป๋ออย่างไร แต่ตอนนี้เขากลับเรียกจ้าวจื่อป๋อว่าพี่ใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการดึงจ้าวจื่อป๋อและหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เข้ามาปกป้องตนเอง
จ้าวเหลียงฉิงขมวดคิ้วแน่น แม้หลี่ฉิงซานจะแสดงความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าจอมยุทธ์ทั่วไปออกมาแต่เขายังมั่นใจว่าสามารถสังหารเด็กหนุ่ม อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น
นี่ไม่ใช่เพราะตัวประกันสองคนที่อยู่ในการควบคุมของหลี่ฉิงซานแต่มันเป็นเพราะตัวตนในฐานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่ไม่สามารถถูกลบหลู่ หากพวกเขาถูกสังหารระหว่างปฏิบัติภารกิจโดยไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิด มันก็ไม่เป็นไร
อย่างไรก็ตามหากจ้าวเหลียงฉิงสังหารผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ในที่สาธารณะ มันจะเป็นการท้าทายอำนาจของหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ จากนั้นเขาจะถูกตามล่า แม้แต่จ้าวจื่อป๋อก็ยังไม่กล้าที่จะไว้ชีวิตเขา ตรงข้าม จ้าวจื่อป๋อจะเป็นคนแรกที่พยายามฆ่าเขาเพื่อปิดปาก หากจ้าวเหลียงฉิงเป็นจอมยุทธ์อิสระ บางทีเขาอาจมีความกล้าที่จะฆ่าเมื่อถูกยั่วยุอย่างหนัก แต่ด้วยธุรกิจขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง มันทำให้เขายิ่งกลัวผลที่จะตามมา
หลี่ฉิงซานหัวเราะเย้ยหยัน ดังคาด หนังหมาป่าค่อนข้างมีประโยชน์ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะทำหน้าที่เป็นหูตาให้ทางการโดยไม่ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของตน ตั้งแต่จ้าวจื่อป๋อต้องการเป็นพี่ใหญ่ของเขา เขาก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้
จ้าวเหลียงฉิงกล่าว “โปรดปล่อยคนของข้า!”
“พวกเจ้าก่ออาชญากรรมด้วยการบังคับผู้หญิงค้าประเวณีและทำร้ายเด็กสาว ข้าไม่สามารถปล่อยพวกนาง ถูกต้อง เจ้าไม่สามารถจากไปเช่นกัน ในฐานะผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ ข้าจะสอบสวนเจ้า เจ้ามีสิทธิ์ที่จะไม่พูด แต่ทุกสิ่งที่เจ้าพูดจะถูกนำไปใช้ในชั้นศาล!” หลี่ฉิงซานพ่นเรื่องไร้สาระที่เขาเคยได้ยินมาจากภาพยนต์สอบสวนในชีวิตก่อนหน้าของเขาออกมาอย่างเฉยเมย เขาเพิกเฉยต่อความแข็งแกร่งของจ้าวเหลียงฉิงในฐานะจอมยุทธ์ขั้นห้าไปอย่างสิ้นเชิง
ใบหน้าของจ้าวเหลียงฉิงกลายเป็นมืดครึ้ม “บังคับผู้หญิงค้าประเวณีงั้นหรือ? เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้ามีพยาน!”
จ้าวเหลียงฉิงกล่าวเสียงเข้ม “พยานของเจ้าอยู่ที่ใด?”
หลี่ฉิงซานหรี่ตามองชิงซิ่วที่ถูกผู้คุมสองคนจับตัวไว้
จ้าวเหลียงฉิงใช้นิ้วช้อนคางของชิงซิ่วขึ้น “เจ้าค่อนข้างงดงาม ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะอารมณ์เสียเพราะเจ้า ปล่อยคนเดี๋ยวนี้!”
น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของชิงซิ่งขณะที่นางมองหลี่ฉิงซาน นางคิดว่าตอนนี้ทั้งเขาและนางจบสิ้นแล้วจริงๆ
หลี่ฉิงซานกล่าว “นั่นคือผู้หญิงของพวกเจ้า นางเกี่ยวกับข้าอย่างไร?”
จ้าวเหลียงฉิงกล่าว “โอ้ งั้นหรือ? เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถปล่อยให้ตัวแสบเช่นนางอยู่ต่อไป!” เขาวางมือบนไหล่ของชิงซิ่ว ก่อนที่เขาจะใช้กำลังใดๆ ชิงซิ่วก็กรีดร้องออกมาอย่างน่าสมเพช
อย่างไรก็ตามมันถูกกลบด้วยเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชยิ่งกว่า นั่นทำให้ชิงซิ่วหวาดกลัวจนต้องหุบปากของนางลง ดาบในมือของหลี่ฉิงซานตัดแขนข้างหนึ่งของแม่เล้า จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยดวงตาสีแดง “เหตุใดไม่ลองสัมผัสตัวนางอีกครั้ง!”
วีรบุรุษที่ยอมจำนนเพราะถูกคุกคามด้วยตัวประกันล้วนเป็นคนงี่เง่า หลี่ฉิงซานจะไม่ทำตัวเช่นนั้น หากเจ้าร้าย ข้าจะร้ายยิ่งกว่า!
ในที่สุดเก้อเจี้ยนก็ยอมแพ้ที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง เด็กสารเลวคนนี้ดุร้ายราวกับสัตว์ป่าจากภูเขา ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็นการตอบโต้แผนการของจ้าวจื่อป๋อทั้งสิ้น แต่สถานการณ์กลับพัฒนาไปไกลเกินกว่าการควบคุมของเขา เขาถูกบังคับให้บดขยี้เครื่องรางของขลังชิ้นหนึ่งที่ใช้เรียกกำลังเสริม นอกจากนั้นมันยังเป็นการแจ้งเตือนจ้าวจื่อป่อถึงสถานการณ์วิกฤตอีกด้วย
จ้าวเหลียงฉิงมองหลี่ฉิงซาน เขาไม่ได้เคลื่อนไหวและไม่กล้าทำสิ่งใดอีก เขาสามารถบอกได้ว่าหากเขากล้าฆ่าชิงซิ่ว หลี่ฉิงซานก็กล้าที่จะตัดหัวหญิงทั้งสองที่อยู่ในเงื้อมมือของเขา นี่เป็นการสูญเสียที่แทบไม่สามารถกู้คืนสำหรับจ้าวเหลียงฉิง หลังจากทั้งหมดพวกนางเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเขา มันเห็นได้ชัดว่าตัวประกันของฝ่ายใดสำคัญกว่า
ดวงตาของเขาส่องประกายเย็นเยียบขณะที่พลังปราณไหลเวียนอย่างรวดเร็วอยู่ในร่างกายของเขา ตอนนี้เขาดูน่าสะพรึงกลัวราวกับภูตผีหรือปีศาจจากขุมนรก กลิ่นอายที่อำมหิตของเขาบดขยี้หัวใจของผู้คน ขาของผู้คุมที่อยู่ในบริเวณนั้นแทบไร้เรี่ยวแรงและไม่สามารถยืนอยู่
เขาคำราม “ข้าบอกให้ปล่อย!” นิกายเมฆาพิรุณเชี่ยวชาญด้านมนต์เสน่ห์ แต่พวกเขาก็สามารถใช้มันในทางตรงข้ามและทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว มันเป็นทักษะที่สามารถสั่นคลอนจิตวิญญาณของผู้คนได้โดยตรง ด้วยเหตุนี้หอเมฆาพิรุณจึงตกอยู่ในความเงียบทันที ทุกคนรู้สึกเหมือนเหตุการณ์สยองขวัญกำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังและดึงดูดความสนใจมากเกินไปโดยไม่ต้องกล่าวถึงเสียงกรีดร้องหรือการหลบหนี แม้แต่เก้อเจี้ยนก็ยังไม่กล้าที่จะมองหน้าจ้าวเหลียงฉิง เขายังสงสัยว่าหลี่ฉิงซานที่เผชิญหน้ากับแรงกดดันนี้โดยตรงจะรับมือมันอย่างไร
แต่หลี่ฉิงซานกลับเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “ปล่อยนาง” เขาเป็นปีศาจมาตั้งแต่แรกและการบ่มเพาะของเขาก็เหนือกว่าจ้าวเหลียงฉิง เหตุผลที่มนต์เสน่ห์ก่อนหน้าใช้ได้ผลกับเขาเป็นเพียงเพราะเขายังเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์และความปรารถนา อย่างไรก็ตามเมื่อกล่าวถึงความน่ากลัวของจ้าวเหลียงฉิง มันเหมือนการพยายามสอนจระเข้ว่ายน้ำ หลี่ฉิงซานไม่แม้แต่จะต้องใช้ทักษะจิตวิญญาณเต๋ากับมัน ‘เจ้าพยายามทำให้ข้ากลัวงั้นหรือ? ต้องการให้ข้ากลับร่างเดิมและขู่เจ้าให้ตายหรือไม่?’ หลี่ฉิงซานคิดด้วยความขบขัน
เมื่อจ้าวเหลียงฉิงเห็นว่ามันไร้ประโยชน์ เขาจึงต้องยอมแพ้ เขามองหลี่ฉิงซานโดยตรง หากการจ้องมองของเขาเป็นดาบ มันคงแทงหลี่ฉิงซานทะลุไปแล้ว
“เจ้ากำลังมองหาสิ่งใด? หากเจ้ายังมองข้าเช่นนั้น ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา!” หลี่ฉิงซานถูดาบวายุกับแม่เล้าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
“เจ้า!”
หลี่ฉิงวานชี้ไปที่ชิงซิ่ว “ข้าต้องการพยานของข้า!”
“อย่าแม้แต่จะคิด!” ก่อนที่จ้าวเหลียงฉิงจะกล่าวจบ หลี่ฉิงซานก็ตัดแขนอีกข้างของแม่เล้าออกไปแล้ว “ข้ามีตัวประกันสองคน แม้ข้าจะฆ่าหนึ่ง ข้าก็ยังเหลืออีกหนึ่ง!”