ตอนที่ 8-50 นัดหมาย
มุมมองที่แม็คเคนซีมีต่อลินลี่ย์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ฮ่าฮ่า...” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ แม็คเคนซีหัวเราะลั่น เขาลอยลงมาจากท้องฟ้า ค่อยๆเดินเข้าหาลินลี่ย์ อารมณ์ของเขาดูเป็นกันเองและเป็นมิตร “ลินลี่ย์, จอมเวทอัจฉริยะในตำนานเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับสองของประวัติศาสตร์ แต่ในความเห็นของข้า พรสวรรค์ด้านนักรบของเจ้ายิ่งใหญ่มากกว่าในฐานะจอมเวทเสียอีก ยังอายุน้อยแท้ๆ ก็มีพลังระดับเซียนเสียแล้ว..นักรบเลือดมังกรนับว่าเป็นสุดยอดนักรบอย่างแท้จริง”
ลินลี่ย์มักภาคภูมิใจกับมรดกของตระกูลของเขาเสมอมา แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดถึงสภาพที่ตระกูลของเขาถูกทำลายเหลือแต่ตัวเขากับน้องชายเขาอดรู้สึกเป็นทุกข์เศร้าใจมิได้
“ท่านแม็คเคนซี่ยังมีธุระอะไรอื่นอีกไหม? ถ้าไม่มีข้าจะขอลากลับเดี๋ยวนี้” ลินลี่ย์กล่าว
แม็คเคนซีรีบกล่าว “สหายลินลี่ย์ นี่คือการพบกันครั้งแรกของเรา ทำไมเราไม่มาด้วยกันเล่า? ข้ายังสงสัยเรื่องราวของนักรบเลือดมังกรของเจ้าเหมือนกัน ถ้ามีเวลาพอข้าอยากจะซ้อมมือทดสอบฝีมือของเจ้าจริงๆ ลินลี่ย์, ที่สำคัญการได้ซ้อมมือกับยอดฝีมือระดับเดียวกันเป็นวิธีดีที่สุดที่นักสู้ระดับเซียนคนหนึ่งจะสามารถก้าวหน้าได้” ขณะที่พูดจบ แม็คเคนซี่มองลินลี่ย์อย่างมุ่งหวังจริงจัง
ซ้อมมือ?
แม็คเคนซีเป็นเจ้าถิ่นของมณฑลพายัพสามารถทำความเข้าใจกับแม็คเคนซีนับเป็นประโยชน์สำหรับเขา นอกจากนี้คีนก็เป็นคนของมณฑลพายัพเช่นกัน นี่ถือว่าเป็นการช่วยคีนอีกทางหนึ่ง
หลังจากคิดสักครู่ลินลี่ย์พยักหน้า “แต่ข้ายังคงบาดเจ็บอยู่ ต่อให้ข้าไปยังที่พักของท่านข้าก็คงไม่สามารถซ้อมมือกับท่านได้ เอาอย่างนี้เป็นไง? ข้าจะขอกลับบ้านก่อน แต่หลังจากใช้เวลาระยะหนึ่ง ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่าน ใช้เวลาไม่นานนักหรอก ราวๆเดือนหนึ่งไม่เกินนั้น”
แม็คเคนซีผงกศีรษะดีใจ “ดีมากอย่างนั้นข้าจะรอการมาถึงของเจ้าอยู่ที่ปราสาทตระกูลชาร์ค”
“ข้าจะไปแน่นอน”
ลินลี่ย์ยิ้มและพยักหน้า
หิมะเริ่มตกแล้วและเกล็ดหิมะปลิวไปทั่วบริเวณ แม็คเคนซีและลินลี่ย์นักสู้ระดับเซียนทั้งสองคนต่างคนต่างเหาะไปในทิศทางของตน
ในพื้นที่กว้างใหญ่เหลืออยู่แต่เพียงบีบีกับลินลี่ย์เท่านั้น
“หิมะในฤดูหนาว” เมื่อเห็นหิมะตกจนสุดสายตา ทันใดนั้นลินลี่ย์หวนนึกถึงพายุหิมะครั้งใหญ่ในฤดูหนาวที่เขายังอายุน้อยและหลงรักอลิซ
ปีต่อมายังคงเป็นวันที่มีพายุหิมะลินลี่ย์กับอลิซเลิกคบกัน
และจากนั้นภายในเทือกเขาอสูรวิเศษในวันที่หิมะตกอีกวันหนึ่ง ลินลี่ย์สามารถเข้าถึงระดับ ‘กำหนด’ ได้
ตอนนี้พายุหิมะครั้งที่สี่แล้ว คืนนี้ลินลี่ย์บรรลุเป็นนักรบระดับเก้า ด้วยพลังแท้ๆของเขาตอนนี้อยู่ในขอบเขตชั้นเซียนแล้ว
“หิมะ...”
ลินลี่ย์รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่เมื่อเขาก้มหน้ามองดูสารรูปตัวเองรอยยิ้มของเขาหายไปทันที เขารำพึงอย่างประหลาดใจ“ข้าสนทนากับนักสู้ระดับเซียนอยู่นานด้วยสารรูปอย่างนี้หรือนี่?”
เพราะเขาแปลงร่างและสู้กับพวกเทวทูต เสื้อผ้าของลินลี่ย์และกางเกงจึงขาดรุ่งริ่ง
สารรูปของเขาในตอนนี้ แม้แต่ขอทานก็คงรู้สึกสมเพชเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแม็คเคนซีไม่ได้สนใจเกี่ยวกับชุดของเขาเลยความจริงเมื่อนักสู้ระดับเซียนหลายคนกระตือรือร้นฝึกฝน บางครั้งพวกเขาก็ฝึกครั้งละเป็นเดือนๆจึงเป็นธรรมดาที่ร่างของพวกเขาจะสกปรกอย่างมิน่าเชื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจกับลักษณะภายนอกผิวเผินมากนัก สิ่งที่พวกเขาสนใจก็คือสิ่งที่อยู่ในตัวพวกเขา
ตัวอย่างเช่นแม้ว่าเสื้อผ้าของลินลี่ย์จะมีสภาพรุ่งริ่งดูไม่ได้ ก็ไม่มีใครกล้ามองดูถูกเขาขณะที่เขายืนอยู่ตรงนั้น
นี่คือสง่าและราศีของคนผู้หนึ่ง
“พี่ใหญ่,ท่านบอกว่าท่านถึงระดับเซียนแล้วหรือ? แปลงร่างและให้ข้าชื่นชมความสง่างามของพี่ใหญ่ด้วย” ตาน้อยๆของบีบีจ้องมองลินลี่ย์ขณะที่มันพูดประจบในใจ
ความรู้สึกตื่นเต้นท่วมท้นใจลินลี่ย์
ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
“ก็ได้” ลินลี่ย์พูดพลางหัวเราะ บีบีกระโจนขึ้นไปอยู่บนไหล่ของลินลี่ย์อีกครั้งหนึ่ง เกล็ดดำเริ่มปกคลุมผิวลินลี่ย์อีกครั้งหนามแหลมงอกออกมาจากหน้าผาก เข่าและศอกขณะที่ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองเข้ม
เขามองดูเหมือนกับแต่ก่อน
แต่ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
“วืดดด” ลินลี่ย์รู้สึกถึงพลังงานพิเศษที่แฝงของเลือดมังกรที่สูงส่งแฝงอยู่ในสายเลือดเริ่มไหลเวียนเข้าไปในกระดูกกล้ามเนื้อและแม้แต่เกราะ หนามและหางมังกรของเขา
เกล็ดที่สีดำสนิทแต่เดิมเริ่มเรืองแสงสีน้ำเงิน
“รู้สึกถึงพลังได้เลย”
ลินลี่ย์สามารถรู้สึกว่าการมองเห็นและการได้ยินของเขาเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นเป็นสิบๆเท่าทันที ไม่มีอะไรในระยะหลายกิโลเมตรที่หลบการสังเกตของเขาไปได้
“ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน พลังปราณยุทธก็แข็งแกร่งด้วย”
ลินลี่ย์กำหมัดและอากาศรอบหมัดสั่นสะเทือนทันที พลังกล้ามเนื้อของเขาในตอนนี้มีพลังมากกว่าแต่ก่อนอย่างห่างไกลและปริมาณปราณยุทธในร่างก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
“ฮ่าฮ่า...” ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะอย่างตื่นเต้น
ในเวลาดึกลินลี่ย์กำลังบินผ่านพื้นที่รกร้างเขาอยู่ในร่างมังกรแปลงเต็มที่มองดูเหมือนสัตว์ประหลาดที่ลอยอยู่ในอากาศบางคราวก็ส่งเสียงหัวเราะดีใจอย่างบ้าคลั่งเป็นระยะๆ
เสียงหัวเราะของเขาก้องไปทั่วฟ้าและดิน
“มิน่าเล่าบาร์เกอร์ถึงได้ตื่นเต้นนักเมื่อเขาถึงระดับเซียน ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าพลังของข้าจะเพิ่มขึ้นมากจนถึงระดับนี้ได้” ลินลี่ย์ยังคงตื่นเต้นมาก
นักรบเลือดมังกรมีพรสวรรค์ธรรมชาติหลายอย่างทันทีที่พลังของพวกเขาถึงระดับที่แน่นอน พวกเขาสามารถบินได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่เหมือนกับการบินซึ่งอสูรเวทที่บินได้มีความสามารถเช่นนี้ตามธรรมชาติ มันเป็นความสามารถตามธรรมชาติที่ไม่ต้องการการเรียนรู้และเข้าใจ
“ในเรื่องของความลึกลับและสูงส่ง สายเลือดของมังกรเกราะหนามยังด้อยกว่าสายเลือดของนักรบเลือดมังกรเรามาก” เมื่อบินสูงขึ้นไป ลินลี่ย์รู้สึกทึ่ง
แต่เดิมทีลินลี่ย์ดื่มเลือดมังกรไปเป็นปริมาณมากทั้งยังกินผลึกเวทมังกรเกราะหนามลงไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเลือดมังกร(ของตระกูล)ในสายเลือดของลินลี่ย์ก็ยังสามารถละลายและดูดซึมมันไว้ได้หมด
และตอนนี้เมื่อเข้าสู่ระดับเซียนแล้วลินลี่ย์รู้สึกได้ว่าพลังงานของเลือดมังกรที่เป็นมรดกตกทอดอยู่ในสายเลือดของเขายังคงเปลี่ยนแปลงและเสริมพลังการทำงานในร่างกายของเขาด้วย
“ความเร็วของข้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า” เพียงแค่คิดร่างลินลี่ย์ก็เปลี่ยนสภาพเป็นเลือนรางทันที ขณะที่พุ่งขวางข้ามท้องฟ้า
“สำหรับพลังป้องกัน...” ลินลี่ย์มองดูเกล็ดที่สมบูรณ์และไม่ได้รับความเสียหายอย่างสนใจเป็นพิเศษมีชั้นแสงสีฟ้าสลัวๆ “ถ้าข้ารับพลังการโจมตีจากเทวทูตสี่ปีกอีกครั้งอย่างมากก็คงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
ลินลี่ย์ยิ้มมุมปาก
ความมั่นใจ!
ความมั่นใจไม่มีใดเปรียบ!
ความจริงยอดฝีมือระดับเซียนชาวมนุษย์ส่วนใหญ่จะมีพลังป้องกันที่อ่อนแอมาก แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือระดับเซียนชั้นสูงก็ตาม ก็ยังมีพลังป้องกันที่ด้อยกว่าอสูรวิเศษชั้นเซียน
แต่สี่สุดยอดนักรบมีพรสวรรค์และอัจฉริยภาพที่ทรงพลังมากยิ่งกว่าอสูรเวทมากมายนัก
นี่คือหนึ่งในเหตุที่เมื่อนักรบเลือดมังกรบรรลุระดับเซียนในร่างมนุษย์ พวกเขาจะมีพลังระดับสูงสุดในร่างแปลงมังกรทันที พวกเขาจะไร้เทียมทาน ทั้งความเข้าใจและรู้แจ้งไม่ทำให้พวกเขาแตกต่างกัน
แม้แค่อาศัยพลังภายนอก พวกเขาก็มีพลังไร้เทียมทานในหมู่ระดับเซียนแล้ว
นี่คือพรสวรรค์ธรรมชาติของพวกเขา
เหมือนกับที่แฮรุอิจฉาบีบีมากมายขนาดไหนสี่สุดยอดนักรบก็คู่ควรแก่การยกย่องและเป็นที่อิจฉาจากทุกเผ่าพันธุ์ทั่วทวีปยูลาน
“พี่ใหญ่” บีบีกระโจนขึ้นมาในอากาศ
ลินลี่ย์กางแขนรับบีบีในกลางอากาศจากนั้นบีบีกระโดดไปอยู่บนไหล่ของลินลี่ย์ ลินลี่ย์ในตอนนี้มีเกล็ดดำคลุมไปทั้งตัวขณะที่บนไหล่ของเขามีหนูเงาสีดำตัวหนึ่ง
เป็นภาพที่เข้ากันได้ดีจริงๆ
“บีบีได้เวลาที่เจ้าจะได้พบกับประสบการณ์การบินของยอดฝีมือชั้นเซียนจริงๆ แล้วนะ”ลินลี่ย์หัวเราะลั่น จากนั้นทุ่มใช้พลังสูงสุดร่างเขาเปลี่ยนเป็นภาพเลือนรางขณะที่เขาพุ่งข้ามท้องฟ้าและหายลับเส้นขอบฟ้าไป
หิมะยังคงตกต่อเนื่องข้ามคืนไม่มีทีท่าว่าหยุด
มีแต่เพียงศพบนพื้นที่เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่ามีการต่อสู้ที่นี่
ความเร็วในการบินเป็นแนวตรงของนักสู้ระดับเซียนนั้นรวดเร็วมากในเวลาชั่วโมงเดียวลินลี่ย์ก็สามารถบินข้ามเส้นทางเกินกว่าพันกิโลเมตร ในช่วงเวลาสั้นๆลินลี่ย์มองเห็นหมู่บ้านยอดเมฆปรากฏอยู่ข้างหน้า
คืนนี้ หมู่บ้านยอดเมฆที่มีหิมะปกคลุมเงียบสงัด
ลินลี่ย์บินตรงไปทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านและลงพื้นด้วยความเร็วสูงเหมือนดาวตกที่ลานกลางบ้าน
“ใครกัน!” เสียงคำรามต่ำดังขึ้นขณะที่เงาหลายร่างพุ่งออกมา
ลินลี่ย์บินเร็วมากจนเขาสร้างคลื่นระเบิดเสียงโดยไม่รู้ตัว เขาตกเป็นที่สนใจของยอดฝีมืออย่างพี่น้องบาร์เกอร์ทันที แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขาคือลินลี่ย์ในร่างมังกรแปลง ทุกคนลอบถอนใจ
“หืม.. ท่านเข้ามาโดยไม่เปิดประตูหรือนี่?” น้องห้าเกทส์พูดด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจ้องมองลินลี่ย์ “ใต้เท้า, เป็นไปได้ยังไงนี่...?”
ลินลี่ย์หัวเราะชำเลืองมองเกทส์
เกทส์เป็นคนที่ฉลาดและความคิดว่องไวที่สุดในห้าพี่น้องและเป็นคนแรกที่เข้าใจขั้นตอนของระดับ “กวัดแกว่งของหนักเสมือนของเบา”ได้เป็นคนแรก
“อา! ระดับเซียน!” ตอนนี้คนอื่นๆ ค่อยเข้าใจเช่นกัน และห้าพี่น้องจ้องมองลินลี่ย์อย่างประหลาดใจ
“พี่ลีย์กลับมาแล้วหรือ?” เสียงของเจนน์ดังขึ้นขณะที่นางวิ่งออกมาเช่นกัน แต่พอนางเห็นร่างแปลงของลินลี่ย์เท่านั้น นางกลัวจนเผลอกรีดร้องทันที “ปีศาจ!”
รีเบ็คกาและลีนาซึ่งแบ่งห้องพักร่วมกับนางรีบปลอบนาง
“เจนน์ นั่นเป็นพี่ลินลี่ย์นั่นคือร่างแปลงนักรบเลือดมังกรของเขา” รีเบ็คกาหัวเราะ
ลินลี่ย์คืนกลับเป็นร่างมนุษย์ตามปกติ เจนน์ที่เพิ่งตกใจกลัวจ้องมองการแปลงร่างอย่างโง่งมจากนั้นมองรีเบ็คกา “นักรบเลือดมังกร? นักรบเลือดมังกรคืออะไร?”
“ฮ่าฮ่า นักรบเลือดมังกรคือหนึ่งในสี่สุดยอดนักรบ เราห้าพี่น้องก็เป็นสุดยอดนักรบเหมือนกัน เราคือนักรบอมตะ!” เกทส์พูดด้วยความภูมิใจ
เจนน์มองดูกลุ่มคนรอบๆ
เมื่อนางมาถึงที่นี่คืนนี้พร้อมกับแฮรุ นางถูกพาไปพักกับรีเบ็คกาและลีนาชั่วคราว แต่เมื่อรีเบ็คกาและลีนากำลังแนะนำทุกคนให้นางรู้จัก พวกนางได้แค่พาไปแนะนำซาสเลอร์เท่านั้น
เจนน์ยังไม่ทันตื่นตะลึงเสร็จเมื่อทราบว่าซาสเลอร์เป็นพ่อมดจอมเวทมาก่อน ทันใดนั้น คำว่านักรบเลือดมังกรนี้และนักรบอมตะเหล่านี้กลับผุดขึ้นมาซ้ำซ้อนอีก
“นี่.. พวกท่านทุกคนคือ...”จิตใจของเจนน์สับสนไปหมด
“เจนน์ กลับไปพักเสียก่อนเถอะ” ลินลี่ย์หัวเราะขณะที่เขาพูด
บาร์เกอร์และน้องๆของเขาตะลึงกับการบรรลุระดับใหม่ของลินลี่ย์ อังเก้พี่คนรองอดหัวเราะไม่ได้ “ใต้เท้า ท่านบรรลุระดับใหม่ด้วยความเร็วขนาดนี้, พี่บาร์เกอร์ก็เพิ่งถึงระดับเซียนเช่นกัน แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือของท่าน ตอนนี้...ความแตกต่างระหว่างเรายิ่งห่างกันไกล”
“ถ้าเขาไม่แข็งแกร่งทรงพลังเขาจะเป็นใต้เท้าของเราและนำเราต่อต้านล้างแค้นกับศาสนจักรเจิดจรัสได้ยังไง?” เกทส์พูดอย่างหยิ่งยโส
“พวกเจ้าทุกคนก็ใกล้จะถึงพลังระดับเซียนแล้ว” หน้าของซาสเลอร์มีรอยยิ้ม “โชคดีที่ตาแก่ผู้นี้ก็ได้เค้าข้อมูลเชิงลึกบางอย่างในที่สุด ข้าเชื่อว่าภายในเวลาสิบปี ข้าน่าจะบรรลุถึงระดับเซียนได้”
สิบปี?
ซาสเลอร์อายุเกินแปดร้อยปีแล้ว สำหรับเขาสิบปีนับว่าเป็นเวลาที่สั้น
“ปรมาจารย์พ่อมดจอมเวท? นั่นคือเป็นความคิดที่น่ากลัวเหลือเชื่อ” ลินลี่ย์นัยน์ตาเป็นประกาย “ถึงเวลานั้นท่านก็สามารถเรียกภูตผีระดับเซียนได้ และนำกองทัพภูตผีได้อีกเป็นล้าน!”
พ่อมดจอมเวทระดับเก้าก็นับว่าน่ากลัวมากพอแล้ว
แต่ปรมาจารย์พ่อมดจอมเวทยิ่งน่ากลัวพอๆกับจักรวรรดิหนึ่งเลยทีเดียว
“ฮ่าฮ่า ทุกคนต่างก็เพิ่มความแข็งแกร่งกันทั้งนั้นดูซิว่าศาสนจักรเจิดจรัสจะกล้าส่งคนมาอีกหรือไม่? ถ้าพวกมันบังอาจส่งมา เราจะฆ่ามัน ถ้าพวกมันส่งมาสิบ เราจะฆ่าทั้งสิบ จากนั้นเราจะให้ซาสเลอร์สร้างทาสภูตผีจากศพพวกมันและใช้พวกมันตอบโต้” ขณะที่เกทส์พูด เขาก็ยิ่งตื่นเต้นกับความคิดของเขา
ทุกคนมีความสุขมาก ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นก็หมายความว่าพวกเขายิ่งมีคุณสมบัติพอจะต่อสู้ท้าทายกับศาสนจักรเจิดจรัสได้โดยตรง
ลินลี่ย์มีความสุขมากเช่นกัน
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าเห็นหิมะโปรยลงมาจากนั้นลินลี่ย์หันไปมองทุกคน “เอาล่ะ,คืนนี้จะมีพายุหิมะ ทุกคนควรจะเข้าไปในห้องโถงใหญ่กัน ถ้าหากเราต้องการจะคุยกัน”
“ได้เลย! คืนนี้ไม่เมาไม่เลิกรา”แม้แต่บาร์เกอร์ที่หนักแน่นน่าเชื่อถือก็ยังคำรามลั่นอย่างมีความสุข
งานเลี้ยงดำเนินไปครึ่งคืน ความจริงไม่ว่าพวกเขาจะสามารถสู้กับศาสนจักรเจิดจรัสได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับพลังของพวกเขา เหตุผลที่ลินลี่ย์เป็นผู้นำของพวกเขาเป็นเพราะเขาแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเขานั่นเอง
เวลาผ่านไปในพริบตาเดียวผ่านไปสามวันแล้ว
เจนน์เข้าใจภูมิหลังของทุกคนเต็มที่และนางค่อยๆยอมรับทุกอย่าง ตอนนี้เจนน์เข้าใจจริงๆ ว่าคนเหล่านี้ เป็นผู้ปกครองเมืองไม่มีผลอะไร
ความจริง ไม่ใช่แค่เมืองปกครอง แม้แต่ตระกูลชาร์คที่มีอำนาจ ปกครองมณฑลพายัพก็สร้างความลำบากให้กับกลุ่มของลินลี่ย์ไม่ได้ พวกเขาเพียงแต่มองตระกูลชาร์คในระดับเสมอกันและนั่นเป็นเพราะความคงอยู่ของแม็คเคนซี่
“บาร์เกอร์, น้องๆของเขาและพี่ลินลี่ย์ฝึกหนักกันทุกคน” รีเบ็คกา ลีนาและเจนน์สาวงามทั้งสามจับกลุ่มคุยกันเองขณะถือกระเช้าเข้าคฤหาสน์
แต่ขณะที่พวกนางเดินเข้ามาในลาน ทันใดนั้นพวกนางเห็น...
หนูเงาบีบีลอยตัวอยู่ในกลางอากาศเมื่อเห็นเจนน์และคนอื่นๆ เขาหลิ่วตาให้ทั้งสามนางขณะลอยตัวเข้าไปหา บีบีเอ่ยปากและพูดด้วยภาษามนุษย์ชัดเจน
“ว้าว.. สามสาวงาม สวัสดี คุณสุภาพสตรีทั้งหลาย!”