ตอนที่ 228 – ตอนที่ 210 อย่าดีใจเร็วนัก
“ท่านหมายความว่าไง น้องชาย? นั่นโกหก! เชียนชิวกับข้าเห็นกับตาว่านังนั่นดึงมือของเขา!” หญิงหุ่นอวบอั๋นรีบคัดค้านทันที
“นั่นก็ถูกแล้ว นางพูดถูก ตอนนั้นพี่รองยื้อแขนข้าไว้อยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่รองยื้อแขนข้าไว้ ข้าคงตีองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไปแล้ว ตอนที่ข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่ดีๆ จู่ๆ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็มาทุบข้าโดยไม่มีเหตุผลตั้งสองครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราวขึ้น นางยื้อยุดมือข้าไว้เต็มแรง ข้าสามารถยืนยันเรื่องนี้ให้นางได้แน่นอน” เย่ว์หยางพยักหน้าเพื่อยืนยัน
“องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็อยู่แถวๆ นั้นในเวลานั้นด้วยหรือ?” เรื่องที่เปิดเผยขึ้นมาฉับพลันแทบจะทำให้เซี่ยเทาทรุดลงกับพื้น
“นั่นไม่ถูกแล้ว! นังสุนัขอีกสองตัวจะกลายเป็นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนได้อย่างไร? มีใครไม่รู้บ้างว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนชอบสะพายดาบยักษ์ไว้ที่หลังของนางและชอบสวมเกราะเงินอยู่เสมอ? วันนั้น นังลูกหมาอีกสองคนสวมชุดนักสู้ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่อยู่ที่นั่นแน่นอน..” คำพูดของสาวงามเจ้าชู้นี้แทบจะทำให้เซี่ยเทาเป็นบ้า นางควรจะหุบปากนางนานแล้ว แต่นางก็ยังพล่ามต่อไม่หยุด
“หุบปากนะ!” เซี่ยเทาอยากจะต่อยนางผู้หญิงชั่วร้ายนี่ให้ทรุดด้วยหมัดเดียว แต่ติดตรงที่มีฝูงชนจับตามองอยู่ เขาจึงทำอะไรไม่ได้ ทำได้แต่เพียงแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ข้าคือนังสุนัขที่เจ้าพูดถึงหรือเปล่า?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนถามขณะก้าวลงจากรถ
“ใช่เลย นางนั่นแหละ, วันนั้น ยังมีนังสุนัขอีกตัวหนึ่งด้วย…” ก่อนที่สาวงามจอมเจ้าชู้จะพูดจบประโยค นางเห็นเย่ว์ปิงก้าวลงมาจากรถม้า นางชี้นิ้วให้ดู เพื่อยืนยันคำให้การของนางกับจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้และพยานคนอื่นๆ
“เหลวไหล!” เซี่ยเทาต้องการจะทุบนางเพื่อให้ขออภัย แต่เฟิงขวงจ้องมองเซี่ยเทาอย่างเย็นชา เตือนเขาว่า “เจ้าเมืองเซี่ย ท่านอย่าขยับจะดีกว่า มิฉะนั้น เราอาจจำเป็นต้องฆ่าท่านก็ได้ มีทูตของสามนิกายได้รับรองความปลอดภัยของชีวิตพวกเขาไปแล้ว”
เซี่ยถูคนฉลาดแห่งตระกูลเซี่ยก้มศีรษะลงด้วยความผิดหวัง ทุกอย่างจบแล้ว
ความจริง ความสำเร็จหรือล้มเหลวทั้งสองนี้ถูกควบคุมโดยสตรีคนเดียว
ตอนแรก ตระกูลเซี่ยได้โอกาสที่ดีก่อน อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับตั้งคำถามกับตระกูลเย่ว์โดยไม่ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นให้ดีเสียก่อน
ตอนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะมีเป็นพันปากแต่ก็ยากจะอธิบายได้ ถ้าพวกเขาเข้าใจผิดคุณชายสามตระกูลเย่ว์ว่าเป็นชายชู้ ก็ยังนับว่าดี แต่คาดไม่ถึงเลยว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็ร่วมทางไปกับเขาด้วย ภายใต้สถานการณ์อย่างนั้นคุณหนูรองจะก่อเรื่องที่น่าอับอายกับเขาได้อย่างไร?
พวกเขาเป็นญาติพี่น้องกัน! ถ้าตระกูลเซี่ยยังดึงดันกล่าวหาพวกเขาว่าเป็นชู้กัน ตระกูลของเขาก็จะกลายเป็นตัวตลกของโลก
ราชันย์ฟ้าบูรพาลงไปนอนกลิ้งกับพื้นกุมท้องหัวเราะลั่นเท่าที่จะทำได้
เขายังเอามือทุบพื้นไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจหักห้ามอาการหัวเราะของตนเองได้
นักสู้ของปราสาทตระกูลเย่ว์ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยหัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามนักสู้ของตระกูลเซี่ยถึงก้มหน้าอย่างหดหู่ใจ
ตอนนี้ พวกเขาเสียหน้ามากเกินไป
เฟิงเสี่ยวหวินชี้มาที่เย่ว์หยางและถามเซี่ยเทา “ตอนนี้อาชญากรมารวมกันที่นี่ทั้งหมดแล้ว มีชื่อ คุณชายสาม, คุณหนูรอง, คุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลเย่ว์และองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน ยังมีอะไรที่เจ้าอยากจะเพิ่มเติมอีกไหม?
เซี่ยเทาแทบอยากจะแทรกแผ่นดินและเข้าไปหลบอยู่ในนั้นนัก เขารีบส่ายหน้าพูดว่า “เข้าใจผิด, มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด!”
“ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด!” สองผู้อาวุโสที่มีพลังนักสู้ระดับ 8 ลุกขึ้นยืนทันที ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านขวาหัวเราะอย่างเย็นชา “ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับผิดหรือไม่ ความจริงที่ว่าเด็กตระกูลเย่ว์สุมหัวกันฆ่าประมุขตระกูลเซี่ยในอนาคต เซี่ยเชียนชิวก็เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ตระกูลเย่ว์จะต้องชดเชยให้ตระกูลเซี่ยในบางอย่าง เซี่ยเชียนชิวเป็นเด็กที่เราพี่น้องหมายตาไว้แล้ว ตอนนี้เด็กตระกูลเย่ว์กลับทำร้ายเขาจนตาย เราผู้เป็นอาจารย์ของเขาจะต้องทวงคืนความยุติธรรมบ้าง!”
ทันทีที่เขาพูด เส้นเลือดของจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ถึงกับปูดโปนด้วยความโกรธ
แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าเซี่ยเชียนชิวคือสวะที่ยังเทียบกับโคลนที่เขานำมาทำกำแพงยังไม่ได้ด้วยซ้ำ นอกจากกร่างใช้อำนาจบังคับขืนใจสตรีแล้ว เขาไม่ได้มีความแข็งแกร่งใดๆเลย
ถ้าไม่มีแรงจูงใจซ่อนเร้น แม้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติมากกว่าเซี่ยเชียนชิวถึงสิบเท่าถูกส่งตัวมาอยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าซงและผู้เฒ่าเฮ่อ บางทีเขาคงไม่ยอมชายตามองแม้แต่ครั้งเดียว ตัวเซี่ยเชียนชิวนั้น อย่าว่าแต่นักสู้ระดับ 8 เลย เขาไม่อาจสร้างความประทับใจได้แม้แต่กับนักสู้ระดับ 6 ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาเกิดอยู่ในตระกูลเซี่ยเป็นบุตรคนโตที่เกิดจากภรรยาคนแรก เกิดมาพร้อมกับช้อนเงินช้อนทอง เขาก็คงเป็นแค่สวะในสวะเท่านั้น
อำนาจที่อยู่เบื้องหลังของผู้เฒ่าซงและผู้เฒ่าเฮ่อได้ประกาศตัวเองเป็นนิกายที่ห้าในโลก คือ “นิกายดอยเขียว”
นิกายดอยเขียวปัจจุบันนี้เป็นนิกายที่คอยปกป้องอาณาจักรสือจิน
เดิมทีพวกคนทรยศต้องการจะขโมยพรรคพวกที่ดีที่สุดของตระกูลเย่ว์ไปเข้าร่วมกับอาณาจักรสือจินและสร้างนิกายใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของอาณาจักรสือจิน พวกเขาทำการคัดเลือกนักสู้อย่างต่อเนื่องและทวีอำนาจขึ้นช้าๆ ตระกูลเย่ว์มักสงสัยประมุขและรองประมุขนิกายดอยเขียวอยู่เสมอ พวกเขาก็คือว่านฉีลี่เมี่ยและตวนมู่เคอ สองวายร้ายผู้พยายามวางยาพิษยอดนักสู้ของตระกูลเย่ว์และขโมยความลับวิชาทวนพลังปราณธรรมชาติมาเป็นพันปีแล้ว ปีนั้นคนทั้งสองยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลเย่ว์ เนื่องจากพวกเขามีความสามารถเหลือเฟือ จึงได้รับความไว้วางใจสูงสุดจากสมาชิกตระกูลเย่ว์และถูกมองเหมือนกับว่าเป็นญาติพี่น้องในตระกูล อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาวิกฤติ เมื่อประมุขตระกูลเย่ว์ถูกวางยาพิษโดยศัตรูที่แข็งแกร่ง พวกเขากลับหายสูญไปโดยไม่มีร่องรอย สิบปีต่อมา ว่านฉีลี่เมี่ยและตวนมู่เคอไปปรากฏตัวในอาณาจักรสือจิน เวลานั้นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของห้าหมอผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรสือจิน พวกเขายังก่อตั้งนิกายดอยเขียวเพื่อคอยสนับสนุนจักรพรรดิแห่งอาณาจักรสือจิน
มาวันนี้ นิกายดอยเขียว กลายเป็นนิกายที่เป็นผู้นำคอยปกป้องอาณาจักรสือจินไปแล้ว แล้วยังประกาศว่าตนเองเป็นนิกายที่ห้าในโลก
เป็นเวลาพันปีมาแล้ว นิกายดอยเขียวได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับตระกูลเย่ว์และรวมทั้งอาณาจักรต้าเซี่ยด้วย
มีการพยายามทำลายตระกูลเย่ว์หลายครั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม ตระกูลเย่ว์มักจะมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์ออกมาช่วยตระกูลเย่ว์ในช่วงเวลาที่วิกฤติเสมอ
วันนี้ แม้ว่าสองผู้เฒ่าซงและผู้เฒ่าเฮ่อจะไม่ได้พูด ทุกคนคาดว่าตาเฒ่าทั้งสองคนคงจะไม่ยอมปล่อยเรื่องไว้แบบนั้นแน่นอน พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อสร้างความยุ่งยากโดยแท้
เย่ว์หยางไม่รู้ว่าผู้เฒ่าทั้งสองคนนี้เป็นใคร ทั้งไม่รู้เรื่องบุญคุณความแค้นที่ตระกูลเย่ว์และนิกายดอยเขียวมีต่อกัน ถ้าเขารู้ เขาคงพูดยั่วยุให้ตาเฒ่าพวกนั้นเจ็บปวดแน่
เพื่อจะตอบคำถามที่ยากลำบากที่เสนอโดยสองเฒ่าซงและเฮ่อ เย่ว์หยางยืนขึ้น
เขาเป็นคนใจกว้างมากและกล่าวยอมรับด้วยเพียงประโยคเดียว “นั่นสินะ ข้าเป็นคนทุบตีเขาจนตาย แล้วไง ถ้าข้าจะทุบตีเขา? ข้าควรจะทุบเขาอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งกว่าหากไม่ทุบตีเขา!”
พอได้ยินเหตุผลประหลาดๆ ที่เย่ว์หยางยกขึ้นอ้าง เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ แทบอยากจะเอาศีรษะโขกพื้น
คนฝั่งตระกูลเซี่ยก็มองอย่างโกรธแค้นมานานแล้ว นานพอที่จะทำให้สีหน้าพวกเขาบิดเบี้ยวได้
คงจะดีถ้าเขาบอกว่าเป็นการเข้าใจผิด ก็จะมีทางออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก ถ้าเป็นกรณีนั้น แต่ตอนนี้เจ้าเด็กนี่กลับยอมรับหน้าตาเฉยว่าทุบตีคนจนตาย ไม่แต่เพียงแค่นั้น เขายังแสดงออกถึงอาการที่เย่อหยิ่งอีกด้วย
ทุกคนเห็นคนหยิ่งยโสมาหลายคนแล้ว ทว่าพวกเขาไม่เคยเห็นคนที่หยิ่งเหมือนเจ้าเด็กนี่ เขาเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ได้สั่งสมสร้างชื่อเสียงมานานแล้ว เจ้าเด็กนี่ยังเป็นผู้เยาว์แท้ๆ แต่หยิ่งได้ถึงเพียงนี้ เขาสมควรถูกทุบตีจริงๆ ทางด้านตระกูลเซี่ย พวกเขาเพียงแต่เลือกคนสุ่มๆ ออกมา คนผู้นั้นอาจเป็นนักสู้ระดับ 6 หรือสูงกว่าก็ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อถวายความเคารพจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยแล้ว ตระกูลเซี่ยคงกวาดล้างตระกูลเย่ว์ไปนานแล้ว…
“เย่ว์ไห่ นี่คือเงื่อนไขของเจ้าด้วยเช่นกันหรือ?” ผู้เฒ่าชิงซงที่ยืนอยู่ด้านซ้ายถึงกับโกรธ
“สิ่งที่เขาพูด ไม่ใช่ความคิดของข้า อย่างไรก็ตาม ความคิดของข้าก็คงไม่ผิดไปจากนั้น นอกจากนี้ ในฐานะประมุขตระกูล ข้าก็ยังไม่สามารถควบคุมเขาได้ดีนักด้วย ถ้าท่านมีความสามารถ ก็ช่วยสั่งสอนเขานิดๆ หน่อยๆ ก็ได้” ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ยังสงบและสงวนท่าทีอยู่ได้ เนื่องจากหลานชายของเขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดไปแล้ว เคยสังหารถูเฉิงและขวงจั่นแห่งนิกายพันปีศาจมาแล้ว ไม่ว่าผู้เฒ่าซงและเฮ่อจะมีประสบการณ์มากมายยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ย่อมหนีไม่พ้นชะตาพ่ายแพ้ไปได้
ไม่ว่าผู้เฒ่าซงและเฮ่อจะมีพลังมากเพียงไหน พวกเขาก็ไม่มีพลังมากไปกว่าสองนักสู้ปราณก่อกำเนิดอย่างถูเฉิงและขวงจั่นได้เลย?
พวกเขาถึงได้หยิ่งผยองนัก แต่พวกเขาจะสามารถหยิ่งยิ่งกว่าประมุขนิกายพันปีศาจได้อีกหรือ?
ประมุขนิกายพันปีศาจได้เห็นประจักษ์กับตาตนเองว่าถูเฉิงและขวงจั่นถูกคุณชายสามของตระกูลท่านเองสังหาร เขาจึงไม่กล้าตามหาเย่ว์หยางเพื่อชำระแค้น ผู้เฒ่าชิงซงและผู้เฒ่าเฮย์เฮ่อยังจะนับเป็นเช่นไรได้
“เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว ข้าจะสั่งสอนมารยาทให้ผู้เยาว์พึงมีเวลาที่เขาได้พบผู้อาวุโส!” เฮย์เฮ่อยืนอยู่ที่ด้านขวาเตรียมขยี้เย่ว์หยาง ทันใดนั้นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก้าวออกมาพูดว่า “ตามที่ท่านผู้อาวุโสบอก ข้าคิดว่าจะดีกว่าถ้าทุกคนระบุสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน สำหรับผู้อาวุโสที่นับถือท่านนี้ เนื่องจากทุกคนยังพยายามหาเหตุผลกันอยู่ ยังไม่ถึงเวลาให้ท่านสั่งสอนผู้เยาว์”
ผู้เฒ่าเฮย์เฮ่อ สั่นด้วยความโกรธ เขาต้องการฆ่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนด้วยการตบให้ตาย แต่เซี่ยถูรีบวิ่งเข้ามากระซิบบางประโยคกับเขา
ลงมือกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเป็นวิธีการที่โง่ที่สุด
ด้วยว่าเรื่องของตระกูลเย่ว์ยังแก้ไม่ได้ การทะเลาะกับอาณาจักรต้าเซี่ยในตอนนี้ไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดที่สุด
ถ้าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนถูกทำร้ายแม้แต่ปลายเส้นผม อย่างนั้นนิกายใหญ่ทั้งสี่และสี่ตระกูลใหญ่จะยื่นมือเข้ามาปกป้องนาง พวกองครักษ์พิทักษ์ฟ้าก็จะพากันมาที่นี่ทันทีที่พวกเขาได้ทราบข่าว ถ้าผู้เฒ่าเฮย์เฮ่อต้องการลงมือ อาณาจักรต้าเซี่ยก็มีเหตุผลที่จะโต้ตอบได้ ด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาก็จะประกาศสงครามระหว่างตระกูลเซี่ยและนิกายดอยเขียวกับสี่นิกายใหญ่, สี่ตระกูลใหญ่และอาณาจักรต้าเซี่ย
ที่สำคัญยิ่งกว่า ฝ่ายตรงข้ามก็เต็มใจจะให้เป็นเช่นนั้นด้วย
ยิ่งพวกเขาลงมือ ก็ดูเหมือนว่าพวกเขายิ่งทำผิด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอับอายจนกลายเป็นโทสะ
พอได้ยินว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจะรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมด เซี่ยเทารีบโบกมือพูดทันที “เข้าใจผิด, นี่เป็นการเข้าใจผิด!” เขารู้ว่าบุตรของเขาเป็นสวะขนาดไหน บางทีเขาอาจพยายามล่วงเกินองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก่อนจะถูกศัตรูทุบตีจนตาย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่เพียงแต่ตระกูลเซี่ยไม่สามารถได้เปรียบตระกูลเย่ว์ได้เท่านั้น พวกเขายังจะต้องพลอยแปดเปื้อนได้ด้วยเพราะการล่วงเกินองค์หญิงและเชื้อพระวงศ์
“นี่ไม่ใช่การเข้าใจผิดแน่นอน ความจริง นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้น…” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟังเพิ่มเติม “ข้าไม่สามารถเอาคำพูดหยาบคายของเซี่ยเชียนชิวมาพูดย้ำได้ ไม่ใช่เพียงแค่นั้นเขายังแก้ผ้า เขาตั้งใจจะขืนใจพวกเราหญิงสาวทั้งสามคน ถ้าไม่ใช่เพราะเราทั้งสามมีความสามารถปกป้องตนเอง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ออกหน้าปกป้องพวกเรา และถ้าพวกเราเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาสามัญแทน เจ้าผู้นั้นที่ไม่คู่ควรแม้แต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็คงข่มขืนพวกเราได้สำเร็จ”
“อย่างนั้น นั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้น!” ในที่สุดประชุมชนก็เข้าใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดทั้งหมด
ก่อนนี้ ทุกคนงุนงงสับสน ว่าเซี่ยเชียนชิวกลายเป็นตัวแทนของความยุติธรรมได้อย่างไร? พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้เป็นการบิดเบือนความจริงของตระกูลเซี่ย พวกเขาใช้โอกาสนี้ใส่ร้ายคน พอคิดดูให้ดีแล้ว เซี่ยเชียนชิวมักมากในตัณหา ชื่อเสียงอื้อฉาว การที่เขาไม่อาจเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีของตนเองได้เป็นความจริงที่เป็นไปได้มากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโกรธแค้นจับจิตใจ หรือเรื่องไม่อาจสู้หน้าผู้คนได้ ทันใดนั้นเซี่ยเทาถึงกับกระอักโลหิตออกมาจากปาก
ร่างของเขาโอนเอน จากนั้นก็เป็นลมล้มลงกับพื้น
นักสู้จากตระกูลเซี่ยรีบเข้ามาช่วยประคองเซี่ยเทา
“จวนจวน นังตัวดี! เจ้ากล้าดียังไง ถึงได้ลงมือทำร้ายองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน!” เซี่ยถูพยายามหันเหความสนใจของทุกคน โดยหันไปต่อว่าหญิงสาวหุ่นยั่วยวนคนนั้น
“เจ้าเมืองเซี่ยถู โปรดรอเดี๋ยว! รอสักครู่ก่อน ยังไม่ถึงรอบท่านที่จะตำหนิคนสมรู้ร่วมคิด” เฟิงขวงคำรามอย่างเยือกเย็น “ข้าหวังว่าทุกคนจะให้คำอธิบายเรื่องนี้จนน่าพอใจต่อราชตระกูลต้าเซี่ย”
“ถ้าเจ้าต้องการให้คำอธิบาย ตระกูลเย่ว์ควรจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจก่อน เจ้าเด็กตระกูลเย่ว์ของเจ้าคนนั้นที่ฆ่าเซี่ยเชียนชิวก็อยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าแล้ว สำหรับสิ่งที่เซี่ยเชียนชิวทำตอนที่เขายังมีชีวิต มีความเป็นไปได้ว่ามีบางคนจงใจสร้างเรื่องขึ้น และตอนนี้พวกนั้นกลับได้รับการละเว้น แต่สิ่งที่ข้าเห็นอยู่กับตาตนเองก็คือลูกศิษย์ของข้า เซี่ยเชียนชิวถูกคนฆ่าไปแล้ว” ผู้เฒ่าชิงซงยังคงยึดถือความคิดเดิม
“ได้เห็นพวกตัวตลกแสดงมาร่วมครึ่งวันแล้ว ข้ารู้สึกว่าได้เวลารวบรัดเสียที” เย่ว์หยางหาวและโบกมือให้ผู้เฒ่าชิงซงกล่าวว่า “ตาแก่! ไม่สำคัญหรอกว่าเซี่ยเชียนชิวจะถูกฆ่าตายไหม? ข้าจะส่งพวกเจ้าไปยมโลกเลยเสียก็ได้ พวกท่านอายุเท่าไหร่แล้ว? ทำไมถึงไม่รอความตายอยู่ที่บ้าน? เที่ยวออกมาเต้นแร้งเต้นกาเหมือนกับว่าสูงส่งและยิ่งใหญ่นักนี่ พวกท่านถามตัวเองบ้างไหมว่ามีสมองหรือเปล่า? ถึงได้อยากตายโดยไม่มีเหตุผล? เวลาของพวกท่านหมดไปนานแล้ว ยุคนี้เป็นยุคของผู้เยาว์อย่างเรา เข้าใจบ้างไหม? หลังจากเราเจรจาด้วยเหตุผลจบ เราจะพูดกันด้วยหมัด ข้ายังคงยึดหลักการของข้า ไม่ว่าพวกท่านจะส่งคนมากี่คนก็ตาม ถ้าข้าไม่ยินยอม ข้าจะฆ่าพวกมันทีละคน ข้าจะไม่หยุด แม้ว่าจะต้องไล่ล่าพวกเจ้าไปจนสุดขอบโลก..
“เด็กน้อย, เจ้าบ้าไปจริงๆ แล้ว!” ผู้เฒ่าชิงซงโกรธจัดจนอกแทบระเบิด
“ยังไม่สายเกินไปหรอกที่จะยกย่องข้า ในเมื่อข้าจะย่ำหัวพวกท่านด้วยเท้าของข้า!” เย่ว์หยางตั้งใจจะแสดงความสูงส่งและยิ่งใหญ่ต่อหน้าฝูงชน เผชิญหน้ากับตาแก่ผู้ไม่เห็นผู้คู่ควรเมื่อเทียบกับเขา นี่คือข้อเสนอที่ดีที่สุดที่เขาสามารถทำได้
ขณะที่ผู้เฒ่าชิงซงเตรียมปะทะกับเย่ว์หยาง ทันใดนั้นดาวสีเงินสองดวงปรากฏแว่บจากเบื้องบน
เหมือนกับดาวตก มันพุ่งเป็นแนวโค้งอย่างสวยงามบนท้องฟ้า
ในที่สุด ก็ร่วงลงตรงจุดศูนย์กลางที่ทุกคนอยู่
แต่เดิมทุกคนคิดว่า สิ่งลึกลับที่ร่วงลงมานี้จะทำให้เกิดเสียงระเบิดสั่นสะเทือน นักสู้ประจำตระกูลที่มีระดับต่ำกลัวมากถึงหน้าถอดสี
มีเพียงนักสู้ระดับ 6 และที่สูงกว่ากำลังรออย่างใจเย็น เป็นไปตามคาด ดาวเงินสองดวงร่อนลงพื้นเบาเหมือนขนนก ไม่ได้ทำให้คนตกใจ
ดาวเงินสองดวงเปลี่ยนเป็นเด็กสาวสองคนผู้มีปีกและสวมเกราะสีเงิน รัศมีสีเงินแผ่ออกจากร่างพวกนาง และยังมีรัศมีบางๆ แผ่ออกจากใต้เท้าของนาง
พวกนางดึงม้วนเทเลพอร์ตทองออกมาม้วนหนึ่ง
ในทันใดนั้น ประตูเทเลพอร์ตสีทองก็กางออก
ผู้เฒ่าคนหนึ่งผมสีขาวตัดแต่งอย่างเรียบร้อยอยู่ในชุดที่สะอาดเรียบง่ายเหมือนบัณฑิตผู้คงแก่เรียนก้าวเดินเข้ามาช้าๆ ตอนแรก เขาค้อมตัวเล็กน้อยให้กับจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ จากนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวว่า “ขอแสดงความคารวะจักรพรรดิต้าเซี่ย โปรดอภัยให้ข้า หนานกงผู้เข้ามาที่นี่โดยไม่มีคำเชื้อเชิญ”
เกือบทุกคนที่เห็นชายชราผู้นี้เดินเข้ามา ต่างก็ตัวสั่นขณะที่มองเห็นเขา
นอกจากนี้ ผู้เฒ่าผมขาวที่เรียกตนเองว่าหนานกงเป็นประธานของสิบสมาชิกสภาพันธมิตรนักสู้ปราณก่อกำเนิด ปกติเขาจะอาศัยอยู่ที่หอทงเทียนชั้นหกไม่ค่อยปรากฏตัวในโลกสามัญภายใต้สถานการณ์ปกติ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีผู้บรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดในโลกนี้ เขาจะมาปรากฏตัวเพื่อเชิญนักสู้ผู้ใกล้บรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดให้ร่วมเป็นพันธมิตรนักสู้ปราณก่อกำเนิด
การปรากฏตัวของเขาเป็นเครื่องหมายของข่าวดีอย่างมาก
ด้วยการปรากฏตัวเช่นนี้ นั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามีคนบางคนเป็นที่ต้องการตัวของพันธมิตรนักสู้ปราณก่อกำเนิด
อาจกล่าวได้ว่าการปรากฏตัวของผู้เฒ่าหนานกงคือหนึ่งในสิ่งที่นักสู้ปรารถนาที่สุดที่ควรจะเกิดขึ้นสักครั้งในชีวิตของของนักรบ ไม่มีการปรากฏตัวของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนเข้าถึงระดับปราณก่อนกำเนิด
นักสู้เกือบทุกคนต่างทักทายผู้เฒ่าหนานกง เป็นการกระทำที่เป็นไปโดยธรรมชาติและจริงใจ ผู้เฒ่าหนานกงนี้มักจะนำข่าวดีมาให้ผู้คนเสมอ จึงเป็นผู้คู่ควรแก่การนับถือของทุกผู้คน
แน่นอนว่า คนที่มาจากโลกอื่นอย่างเย่ว์หยางไม่เคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อน เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แรก
ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม พวกที่มีอารมณ์พลุกพล่านที่สุดกลับเป็นชิงซงและเฮย์เฮ่อ
ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองเป็นนักสู้ระดับ 8 ขั้นกลาง ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นนักรบในปัจจุบันที่เข้าใกล้ขอบเขตปราณก่อกำเนิดมากที่สุด หลังจากพวกเขารอมาทั้งชีวิต พวกเขารู้สึกว่าวันที่คนจากพันธมิตรปราณก่อกำเนิดจะมารับพวกเขาก็มาถึงแล้ว
แล้วนี่ นี่จะไม่นำความประหลาดใจมาให้พวกเขาได้อย่างไร?
จะไม่ให้พวกเขาดีใจมากได้อย่างไร?
พอเห็นชิงซงและเฮย์เฮ่อมีสีหน้าพลุกพล่าน อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเกือบจะบอกพวกเขาแล้วว่าอย่าดีใจเร็วเกินไปนัก!
“ท่านหนานกง! คงจะมีคนในหมู่พวกเรามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรนักสู้ปราณก่อกำเนิดหรือ?” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ตื่นเต้นมากจนสั่นไปทั้งตัว รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏอยู่ที่ริมฝีปากของชิงซงและเฮย์เฮ่อ
***************