ตอนที่ 227 – ตอนที่ 209 ข้านี่แหละชายชู้
เมื่อเย่ว์หยางเข้าไปในปราสาทตระกูลเย่ว์และพาองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน, เย่ว์หวี่และเย่ว์ปิงนั่งรถเทียมม้ากลับมายังจุดที่ตระกูลเซี่ยและตระกูลเย่ว์ปะทะกัน เขาพบว่าทั้งสองฝ่ายได้ย้ายไปที่หมู่บ้านตระกูลเย่ว์ตรงเชิงเขาแล้ว
คนของตระกูลเย่ว์ยืนฝั่งซ้าย ขณะที่คนของตระกูลเซี่ยยืนฝั่งขวา
นอกจากผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และผู้อาวุโสไม่กี่คนแล้ว ยังคงมีเย่ว์ซานรักษาการประมุขตระกูลเย่ว์ ขณะที่ลุงรองเย่ว์หลิ่งก็รีบกลับมาเมื่อได้ยินข่าว
อย่างไรก็ตามบุตรคนโตเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนไม่ปรากฏตัว ดูเหมือนว่าพวกเขาเจตนาจะเอาตัวให้รอดปลอดภัยไว้ก่อน
คนที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางและเป็นพยานก็คือจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้และคนจากสี่ตระกูลใหญ่ ไม่ต่างจากเมื่อตอนช่วงวันปีใหม่นัก มีเฟิงเสี่ยวหวินแห่งตระกูลเฟิง, เสวี่ยเวิ่นเต้าแห่งตระกูลเสวี่ย, เหยียนเชียนจ้งแห่งตระกูลเหยียน และผู้ที่เป็นเหมือนมือซ้ายของฮ่องเต้จุนอู๋โหย่วและเป็นแม่ทัพบัญชาการทหาร เฟิงขวง สี่นิกายใหญ่ก็ยังส่งตัวแทนมาที่นี่ เย่ว์หยางจำพวกเขาได้เพียงคนเดียว และนั่นก็คืออาจารย์ผู้สอนของเย่ว์เฟิง ผู้เฒ่ากู่หมิง ขณะที่อีกสองคน เย่ว์หยางจำพวกเขาไม่ได้
ในสองคนนั้น คนหนึ่งมีผมสีแดงลักษณะคล้ายสิงโต ตัวสูงน่าเกรงขาม นัยน์ตาเขามีประกายสดใสทำให้ดูมีพลังมาก
ในทางตรงกันข้าม บุรุษที่ยืนอยู่ข้างบุรุษที่คล้ายสิงโต มองดูสง่างาม ชุดยาวขาวสีหิมะมีรูปมังกรเขียว เย่ว์หยางสะดุ้งเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าผู้นี้ก็คือทูตมังกรจากนิกายปราสาทแก้วทะเลตะวันออก มีแต่เพียงนักสู้จากนิกายปราสาทแก้วทะเลตะวันออกจะมีรูปมังกรสีต่างๆ อยู่บนชุดขาวของพวกเขา
จากการเรียงตามลำดับความเป็นใหญ่ เป็นสี แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ฟ้า และสีม่วง กล่าวกันว่าชุดลายมังกรแดงก็เป็นนักสู้ระดับ 6 ขั้นต้นแล้ว
ทูตมังกรเขียวผู้นี้ดูไม่เหมือนผู้อาวุโสธรรมดา อย่างน้อยที่สุด เขาคงมีความแข็งแกร่งของนักสู้ระดับ 7
สำหรับบุรุษตัวใหญ่ผมแดงดูเหมือนราชสีห์ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักสู้จากนิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตก ทั้งนี้เพราะนิกายตำหนักเซียนจันทราเหนือไม่รับบุรุษ นางเซียนจากตำหนักเซียนจันทรายากที่จะเข้าร่วมต่อสู้ใดๆ ในโลกนี้ได้ เย่ว์หยางใช้ทักษะญาณทิพย์ระดับ 4 กวาดมองผ่านคนทั้งสอง รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าเขา เขามองดูรอบๆ และเห็นผู้เฒ่ากู่หมิง เย่ว์หยางรู้สึกว่าท่านผู้เฒ่าปกปิดความสามารถของเขาไว้เล็กน้อย ผู้เฒ่ากู่หมิงไม่ได้นั่งอยู่แถวโต๊ะหน้าเหมือนกับพยานคนอื่น แต่กลับนั่งอยู่ที่แผ่นหินแทน ตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจซ้ำสอง
มียอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ที่ฝั่งตระกูลเซี่ย
เย่ว์หยางพบว่านอกจากเซี่ยถูและเซี่ยนิ่วแล้ว ยังมีนักสู้ระดับ 7 อื่นอีก 5 คน ขณะที่นักสู้ระดับ 6 มีเกือบ 20 คน
มีคนสูงอายุอีกสองคนเป็นนักสู้ระดับ 8
ชายชราทั้งสองคนนี้ทั้งเย่อหยิ่งทั้งวางตัวสูงส่ง พวกเขานั่งล้อมโต๊ะและมีคนของตระกูลเซี่ยคอยรินน้ำชาให้ คนในตระกูลเซี่ยทั้งหมดให้ความนับถือพวกเขา แม้เมื่อเซี่ยถูและเซี่ยนิ่วจะคุย พวกเขายังต้องค้อมหัวเล็กน้อย
ชายชราทั้งสองคนหน้าตาดูคล้ายกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องฝาแฝด
ทั้งสองคนมีผมและคิ้วขาวโพลน ผมของพวกเขาดูเหมือนนกกระเรียนและมีหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์ พวกเขาดูเหมือนคนใจดีมีเมตตาเหมือนที่เคยอ่านในนิยายอมตะ พวกเขาดูไม่เหมือนพวกเทพชราที่ถูกวางไว้บนแท่นบูชา เย่ว์หยางคิดว่าถ้าอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า, อาจารย์ตาเหยี่ยวเซี่ยโหวเว่ยเลี่ยและคนอื่นๆ ไม่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่แล้ว ตระกูลเซี่ยคงเริ่มโจมตีพวกเขาแน่ อย่างไรก็ตาม กำลังของพวกเขายังเกินกว่า ยิ่งใหญ่กว่าของตระกูลเย่ว์
ข้างฝ่ายตระกูลเย่ว์ เย่ว์หยางพบว่านักสู้สองคนที่เขาเคยพบที่บ้านในเมืองไป๋ฉือก็มาด้วยเช่นกัน พวกเขายืนอยู่ข้างผู้เฒ่าเย่ว์ไห่
คนหนึ่งทรงพลังเหมือนราชสีห์ อีกคนหนึ่งเป็นนักพรางตัวเหมือนเสือดาว
ภายในกลุ่มคน ทั้งสองคนไม่เด่นจนเกินไป แต่ในสายตาเย่ว์หยาง พวกเขาแข็งแกร่งมาก
ราชันย์ฟ้าบูรพาที่ดูเหมือนกับเตียวหุยก็มาด้วย เมื่อเขาเห็นเย่ว์หยางค่อยๆ ลงมาจากรถม้า ราชันย์ฟ้าบูรพาก็โดดเข้ามาหาเย่ว์หยางพลางเอามือตบไหล่เย่ว์หยางดังป้าบพูดว่า “เด็กๆ ทั้งสามคนจากตระกูลเย่ว์ พวกเจ้าสบายใจได้เลย พวกเจ้าเป็นคนของธิดาข้า ดังนั้นจักรพรรดิผู้นี้จะปกป้องพวกเจ้าได้แน่ ไม่มีทางที่คนอื่นจะถือโอกาสรังแกพวกเจ้าได้!”
“ข้าเป็นแค่หัวหน้าองครักษ์ของธิดาท่าน ถ้าฝ่าบาทอธิบายให้ชัดเจนได้ นั่นก็จะดียิ่งกว่า” เย่ว์หยางถึงกับเหงื่อตก ยังดีนะที่เขาไม่ได้บอกว่าเป็นคนของเขา ไม่เช่นนั้นคนอื่นๆ คงสงสัยรสนิยมทางเพศของเขาเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม ราชันย์ฟ้าบูรพาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นยังคงตบไหล่เขาอีกครั้ง “พูดอะไรอย่างนั้น? ลูกโล่วฮัวกับเจ้าจะครองคู่กันในไม่ช้า ยังไงก็นับว่าดีที่ข้าจะปกป้องเจ้าล่วงหน้า!”
คำพูดนี้ดูไม่เหมือนกับเป็นคำพูดของพระราชา แต่เหมือนคำพูดของหัวหน้าแก๊งมาเฟียมากกว่า
แน่นอนว่า ดูเหมือนจะไม่มีนักสู้ผู้ใดคุ้นเคยกับตัวประหลาดอย่างราชันย์ฟ้าบูรพา ทุกคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาและไม่มีอะไรแปลก
ผู้อาวุโสทั้งสองคนที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่อีกด้านหนึ่งแค่นเสียงเบาๆ ว่า “คำพูดเหล่านี้คือสิ่งที่ฝ่าบาทพูด แต่เป็นการแสดงความตั้งใจของอาณาจักรเทียนหลอหรือไม่?”
“ตาเฒ่าชิงซง แม้ว่าคนอื่นจะกลัวเจ้า แต่ข้าไม่สนใจพวกเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าก็แค่นักสู้ระดับ 8 ขั้นกลางไม่ใช่หรือ? เจ้าแข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงได้เย่อหยิ่งอย่างนี้? ในสายตาข้า ตาแก่ผายลมเหม็นคลุ้งอย่างพวกเจ้าไม่มีทางไปถึงเป็นนักสู้ระดับ 9 (เซียน) ตลอดชีวิตแน่ พวกเจ้าคงได้แต่เน่าจม อยู่ในฐานะนักสู้แก่ๆ ระดับ 8 ไปทั้งชีวิต แล้วยังไงถ้าข้าบอกว่าข้าจะปกป้องพวกเขา? นี่มันลูกเขยข้า ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องเขาแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าจะนำกองทัพของข้าลุยอาณาจักรสือจินของเจ้าทันที แล้วมาดูกันว่าสถาบันหมาป่าแห่งอาณาจักรสือจินของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าทัพม้าพายุของข้าไหม!” ราชันย์ฟ้าบูรพาน่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับเตียวหุย เสียงของเขาดังเหมือนกับใครบางคนบรรจุถังดินระเบิดไว้ในตัวของเขา
เขาถูกจัดให้เป็นผู้มีอำนาจหมายเลขสองแค่รองจากจักรพรรดิหัวซิ่วรี่
จักรพรรดิเทียนหลอหัวซิ่วรี่ไม่ค่อยชอบยุ่งกับเรื่องการเมือง พระองค์ปล่อยวางงานเกือบทั้งหมดให้ข้าราชการดูแล ดังนั้น หากพูดถึงผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในจักรวรรดิเทียนหลอ ก็เห็นจะเป็นราชันย์ฟ้าบูรพาผู้นี้
ราชันย์ฟ้าบูรพาเดิมทีเป็นรัชทายาท แต่ท่านผู้นี้คลั่งไคล้การต่อสู้ ท่านเกลียดการแทรกแซงกิจการการเมืองยิ่งกว่าหัวซิ่วรี่เสียอีก เกลียดแม้กระทั่งวังหลวง เพราะท่านรู้สึกว่าเป็นเหมือนคุกขนาดใหญ่ ดังนั้น ท่านจึงผลักไสตำแหน่งออกไปด้วยความเต็มใจและมอบตำแหน่งจักรพรรดิให้กับอนุชาของท่านหัวซิ่วรี่ หลังจากนั้น ท่านจึงกลายเป็นราชันย์ฟ้าบูรพา ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี
อาจกล่าวได้ว่าแม้ว่าตระกูลเซี่ยหรือฝ่ายพลังอำนาจอื่นใดจะสามารถทำลายปราสาทตระกูลเย่ว์ให้ราบได้ แต่พวกเขาจะไม่กล้าแตะต้องราชันย์ฟ้าบูรพาแน่นอน
ถ้าราชันย์ฟ้าบูรพาถูกทำร้าย จักรพรรดิเทียนหลอ ก็จะแก้แค้นอย่างเต็มที่โดยส่งยอดฝีมือชั้นสูงของพวกเขาเข้าร่วม
“ไม่มีอะไรภายใต้ท้องฟ้านี้จะสำคัญกว่าหลักเหตุผล มาว่ากันเรื่องเหตุผลนี้ก่อน!” จิ้งจอกเฒ่ารีบปรามราชันย์ฟ้าบูรพาผู้กำลังโกรธ ในที่สุด จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ก็เข้ามานั่งรอที่ศูนย์กลางการสนทนา สี่ตระกูลใหญ่และสี่นิกายใหญ่ก็แสดงตัวออกมาด้วย อย่างน้อยที่สุด พวกเขาต้องแสดงศักดิ์ศรีกันบ้าง ขณะที่ตระกูลเซี่ย แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่ยินดีจะสร้างข้อพิพาทกับราชันย์ฟ้าบูรพา ดังนั้นพวกเขาจึงหลีกเลี่ยงโดยตัดปัญหาออกไป
เซี่ยเทาเจ้าเมืองเตาฟงซานเคยเป็นมิตรที่ดีกับเย่ว์ซาน ในฐานะที่เป็นตัวแทนตระกูลเซี่ย เขาเดินออกมาทางด้านขวาของฝูงชน
พร้อมกันนั้น ยังมีนักรบสองคนแบกเปลเข้ามาด้วย
บนเปลนั้นมีศพที่ดูน่าสยดสยองเกินกว่าจะมองดูนอนอยู่
นั่นคือศพของเซี่ยเชียนชิวผู้ที่เย่ว์หยางทุบตีอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะให้ฮุยไท่หลางขย้ำซ้ำเติม เพื่อทำให้เขาทุกข์ทรมานเจ็บปวดก่อนตาย เย่ว์หยางได้ยอมเสียหินบำบัดรักษาเขา ซึ่งทำให้เขามีชีวิตอยู่บนปากขอบเหวแห่งความตาย แม้ว่าเซี่ยเชียนชิวจะซมซานกลับไปที่ตระกูลเซี่ยได้ เขาก็ยังจะไม่ตายง่ายๆ พอเห็นว่ามีรอยนิ้วเพิ่มเติมขึ้นมาในระหว่างคิ้วของเซี่ยเชียนชิว เย่ว์หยางคาดว่าประมุขตระกูลเซี่ยคงทำลายกระโหลกของเขาเพื่อไม่ให้เขาตายอย่างทรมาน เป็นการปลดปล่อยเขาจากความเจ็บปวด
สีหน้าของเซี่ยเทาแสดงความรู้สึกว่าเจ็บปวด เขากล้ำกลืนน้ำตาและค้อมตัวแสดงความคารวะจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ทูลว่า “กราบเรียนฝ่าบาท ปีนั้น พระองค์ส่งข้าน้อยไปช่วยป้องกันเมืองเตาฟงซาน ข้าน้อยก็รับใช้พระองค์อย่างระมัดระวังและขยันขันแข็งเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ไม่มีแม้แต่วันเดียวที่ข้าจะเกียจคร้านเลย วันนั้น ฝ่าบาทก็ยังมาอวยพรงานหมั้นหมายระหว่างคุณหนูรองกับเชียนชิวด้วยพระองค์เอง การแต่งงานระหว่างตระกูลเย่ว์และตระกูลเซี่ยเหมือนเป็นการจัดสรรของสวรรค์ เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงเลยว่า ลูกเชียนชิวต้องสูญเสียลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปหลังจากเกิดเหตุที่น่าสยดสยอง…ฝ่าบาท พระองค์ต้องรักษาความเป็นธรรมให้ข้าน้อยของพระองค์! ถ้าตระกูลเย่ว์ต้องการถอนหมั้น แม้ว่าจะเป็นการแหกกฎและประเพณีของเรา ข้าน้อยก็ยังจะยอมทนรับความเจ็บปวดและยอมเห็นด้วย ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า เชียนชิวจะถูกทุบตีทั้งที่ยังมีชีวิต เพียงเพราะเขาสูญเสียสติหลังจากได้เห็นภาพบาดตาบาดใจระหว่างคุณหนูรองแห่งตระกูลเย่ว์และชายชู้ของนางและเข้าไปต่อว่าต่อขานเพียงเล็กน้อย เขาก็ถูกคุณหนูรองและชายชู้ของนางฆ่าตาย หัวใจของข้าน้อยเจ็บปวดยิ่งนัก! ข้าน้อยขอวิงวอนฝ่าบาท โปรดพระราชทานความยุติธรรมให้ข้าน้อยด้วย!”
พอเห็นใบหน้าเหี่ยวย่นของเขานองไปด้วยน้ำตา ถ้าเป็นคนภายนอกที่ไม่รู้ความจริง พวกเขาอาจถูกเขาหลอกจริงๆ ก็ได้
เรื่องที่ตระกูลเซี่ยเสียใจก็คือความประพฤติเหลวแหลกของเซี่ยเชียนชิวได้แพร่กระจายไปในวงกว้างแล้ว พอเปรียบเทียบแล้ว คุณหนูรองตระกูลเย่ว์เป็นคนอ่อนโยนและมีนิสัยที่ดีงาม ในเหตุการณ์แบบนี้ ดูเหมือนเป็นการกระทำที่สิ้นหวังในการโต้ตอบและสงสัยผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์นี้
จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ให้จัดที่นั่งให้กับเซี่ยเทา แต่พระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรอื่น
อย่างไรก็ตาม นักรบชุดมังกรจากนิกายปราสาทแก้วทะเลตะวันออกมองดูศพและถามอย่างสงสัย “ท่านประมุขตระกูลเซี่ย! ท่านพูดว่า คุณหนูรองตระกูลเย่ว์สมคบกับชู้รักฆ่าบุตรของท่าน ท่านมีหลักฐานบ้างไหม? ท่านระบุรายละเอียดได้ไหมว่าเขาฆ่าอย่างไร? ถ้าทุกอย่างเป็นดังที่ท่านกล่าวอ้าง หลักฐานของท่านอยู่ที่ไหน?”
“ท่านทูตมังกรปีโป้ บุตรของข้าและแม่นางจวนจวนพบเห็นคุณหนูรองเดินมากับชายชู้ ทั้งสองคนหยอกล้อกันและแสดงอาการน่ารังเกียจอย่างอื่นอีกด้วย เมื่อไม่อาจทนดูภาพพวกเขาได้ บุตรของข้าจึงเข้าไปหาต่อว่าพวกเขาด้วยความโกรธ แต่ลูกข้ามีพลังสู้พวกเขาไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ถูกชายชู้หยามหยันจนตาย ก่อนที่ศพของเขาจะเย็น ทุกคนจะได้รู้แผนชั่วร้ายที่วางเอาไว้เพื่อให้เขาเดินตกหลุมพรางนั้น คนของตระกูลเซี่ยข้ามีหลักฐานอยู่ในมือแล้ว แม่นางจวนจวนถูกชายชู้ผู้นั้นตัดแขนไปข้างหนึ่ง โชคดีที่หลบหนีได้ทัน อาการนางยังไม่ฟื้นหายดี ถ้าท่านทูตมังกรปีโป้รับรองว่าแม่นางจวนจวนจะไม่ตกลงไปในแผนร้ายของศัตรูอีก ข้าจะเชิญแม่นางจวนจวนมาให้ปากคำเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับบุตรชายข้า…” เซี่ยเทาดูเหมือนจะทำเป็นโศกเศร้ามากและร้องไห้อีกครั้ง
“อย่างนั้นเชิญแม่นางจวนจวนออกมา ทูตมังกรปีโป้, พี่กู่หมิงและข้า เราทั้งสามคนขอรับรองความปลอดภัยของพยานนั้น” บุรุษตัวใหญ่ผมแดงรับรองคำพูดด้วยเสียงดังลั่น
หญิงร่างกายยั่วยวนที่ถูกเย่ว์หยางตัดแขนเดินออกมา ถอนสายบัวแสดงความเคารพจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้และนักสู้จากนิกายทั้งสี่และตระกูลใหญ่ทั้งสี่
หลังจากนั้นนางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้นด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
ด้วยการบอกเล่าของนาง เย่ว์หยางกลับกลายเป็นฆาตกรที่ก่อคดีอย่างโหดร้ายอำมหิต การกระทำของเขาทำให้ผู้คนถึงกับผมตั้งจนถึงปลาย เขาจัดว่าเป็นคนที่แหกกฎศีลธรรมและน่ารังเกียจ แตกต่างตรงกันข้ามกับเซี่ยเชียนชิวอย่างสิ้นเชิงจนเซี่ยเชียนชิวแทบจะกลายเป็นสุภาพบุรุษ นางเกือบลืมไปว่าเซี่ยเชียนชิวจะต้องมีการกระทำที่ดีทุกๆ สามวัน..
อย่างไรก็ตาม หลังจากกล่าวหาทั้งน้ำตาแล้ว แม้แต่เย่ว์หยางเองชักจะเริ่มสงสัยศีลธรรมจรรยาบรรณของตัวเอง เขาเป็นคนเลวร้ายที่ได้กระทำผิดร้ายแรงจริงๆ หรือ?
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเกือบเผลอปรบมือให้กับการแสดงของนางเสียแล้ว นางพบเจอคนที่แสดงบทบาทเจ้าน้ำตามานับไม่ถ้วนแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่แม่นางผู้นี้แสดงได้เป็นธรรมชาติมากที่สุด
พอได้ยินคำให้การของหญิงรูปร่างยั่วยวน ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน
พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไปหน่อย คุณหนูรองแห่งตระกูลเย่ว์เป็นคนดีจิตใจดีงามและอ่อนโยนจะมีคนรักคนหนึ่งได้อย่างไร?
สถานการณ์แบบนี้น่าจะเกิดขึ้นกับเซี่ยเชียนชิวเสียมากกว่า! มันอาจเป็นไปได้ ถ้าเซี่ยเชียนชิวผู้อื้อฉาวทอดทิ้งคู่หมั้น ทำร้ายคุณหนูรองจนเสียชีวิต
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“แม่นางจวนจวน! เจ้าได้เห็นรูปร่างชายชู้ผู้นั้นหรือไม่? ถ้าเจ้าผู้นั้นอยู่ที่นั่นจริงๆ เจ้าสามารถระบุตัวเขาได้ไหม?” จุนอู๋โหย่วถามอย่างเป็นงานเป็นการ
“ข้าจำได้! เป็นมันผู้นั้น!” หญิงรูปร่างยั่วยวนมองไปทางเย่ว์หยาง ขณะที่เย่ว์หยางนั่งอยู่บนรถม้าในลักษณะเห็นได้ชัด
แม่สาวเจ้าชู้ชี้นิ้วไปที่เย่ว์หยางและจ้องมองเย่ว์หยางราวกับจะกินเลือดเนื้อ นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะโกนลั่นว่า “เขาเป็นคนตัดแขนข้าและทำร้ายเจ้านายเซี่ยเชียนชิวจนตายทั้งเป็น! เป็นเขา, เขาคือชายชู้ผู้นั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะเข้าใจผิด!”
การชี้ตัวมาที่เขา ทำให้คนที่รู้จักเย่ว์หยางตะลึง
เย่ว์หยางยิ้มและพยักหน้ายืนยัน “ปิ๊งป่อง! ข้านี่แหละชายชู้!”
โครม!
เจ้าอ้วนไห่, เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ล้มลงกับเสียงดังสนั่น แม่แต่อาจารย์ตาเหยี่ยวเสี่ยโหวเว่ยเลี่ยก็ตกใจกับสิ่งที่เย่ว์หยางพูด
เฟิงเสี่ยวหวินและเสวี่ยเวิ่นเต้าตกตะลึง ขณะที่เหยียนเชียนจ้งปิดหน้าไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรออกไป ตามความคิดส่วนตัวของเขา เหยียนเชียนจ้งมีแนวโน้มอย่างมากที่จะช่วยตระกูลเซี่ย ขณะที่ตระกูลเย่ว์มักจะครองอันดับที่สาม คอยขวางเส้นทางตระกูลเหยียนไว้ เหยียนเชียนจ้งต้องการเห็นตระกูลเซี่ยท้าทายตระกูลเย่ว์ ไม่ว่าผู้ใดชนะหรือแพ้ก็ตาม ตระกูลเหยียนก็จะเป็นมือที่สามนั่งเสวยผลประโยชน์อย่างสบาย
ตอนนี้พอเห็นว่าหญิงสาวท่าทียั่วยวนระบุว่าชายชู้คือคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ เหยียนเชียนจ้งแทบจะมุดเข้าไปแอบอยู่ใต้โต๊ะ
เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดกันไปใหญ่
คนของตระกูลเย่ว์ทุกคนกำลังกลั้นหัวเราะไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับราชันย์ฟ้าบูรพาแล้วเขาไม่สนเรื่องจุกจิกเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้ว เขาระเบิดเสียงหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทันจนถึงกับน้ำตาเล็ด
เซี่ยเทาไม่รู้จักเย่ว์หยาง ทันทีที่เขาชำเลืองมอง เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้น มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
เซี่ยถูและเซี่ยนิ่วเห็นเย่ว์หยางมาก่อน พวกเขาได้แต่สบถอยู่ในใจ แต่พวกเขาก็รู้ว่ายังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะพูดตอนนี้ มันคงจะดียิ่งกว่าที่แม่นางจวนจวนผู้นี้จะไม่พูดอะไรออกมา คนทั้งหมดที่ชี้ตัวนี้มีแต่จะเป็นเหตุให้สถานการณ์โดยรวมพังครืน แม้ว่าพวกเขาจะไวกว่า แต่มันก็ไกลเกินกว่าจะห้ามนางได้แล้วในตอนนี้ ตอนแรก พวกเขาไม่คิดว่าชายชู้ที่นางชี้ตัวจะเป็นเจ้าเด็กนั่น มิฉะนั้น พวกเขาคงฆ่านางด้วยการลงมือคราเดียวแล้ว น่าจะปล่อยให้นางตายดีกว่าจะได้ไม่มีพยานยืนยัน
เสวี่ยเหวินเต้าและเฟิงเสี่ยวหวินมองหน้ากันและกัน ในที่สุด เฟิงเสี่ยวหวินก็เป็นคนแรกที่ถามนาง “แม่นางจวนจวน! เจ้ายืนยันว่าบุรุษที่นั่งอยู่บนรถม้า คือชายชู้ใช่ไหม?”
“ต่อให้เขาเหลือแต่เถ้าถ่าน ข้าก็ยังจำเขาได้! ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ยอมรับกับตัวเอง ข้าขอวิงวอนฝ่าบาทโปรดพิทักษ์ความยุติธรรมให้กับหญิงอ่อนแอผู้นี้ด้วยเถิด!” หญิงสาวหุ่นยั่วยวนร้องไห้ขณะโค้งคำนับจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้
“เรื่องนี้… เซี่ยเทา..มันไม่ดีสำหรับข้าที่จะพูดออกไปนะ เป็นไปได้ไหมว่านี้คือเรื่องเข้าใจผิด?” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้มองดูเซี่ยเทา
“ถวายบังคมฝ่าบาท! เรื่องแบบนี้จะเข้าใจผิดกันได้อย่างไร? ศพบุตรชายข้าก็อยู่ต่อหน้าพระองค์แล้ว ฝ่าบาทและแม่ทัพใหญ่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมานานหลายปี ข้าน้อยรู้เรื่องนี้ดี แต่เหตุการณ์เช่นนี้เกี่ยวพันกับเด็กๆ ตระกูลเซี่ยและตระกูลเย่ว์ ถึงกับฆ่าเจ้าบ่าวชิงเจ้าสาวหนีไป ฝ่าบาท! พระองค์จะนิ่งดูดายไม่ได้นะพระเจ้าค่ะ!” เซี่ยเทาคุกเข่าต่อหน้าจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ทันที เขาชี้หน้ากล่าวหาเย่ว์หยาง “มือสังหารก็อยู่ต่อหน้าต่อตาพระองค์แล้ว! ถ้าฝ่าบาทไม่สามารถตัดสินใจได้ อย่างนั้นโปรดถอยไป และให้ข้าน้อยสู้ตายกับเจ้าตัวบัดซบนี่!”
“เจ้าเมืองเซี่ย ชายชู้ที่แม่นางจวนจวนชี้ตัว… ท่านรู้จักไหมว่าเขาเป็นใคร?” เซี่ยเหวินเต้าเริ่มรู้สึกว่าคนของตระกูลเซี่ยทั้งหมดโง่เง่าเป็นส่วนใหญ่
“ใคร..เขาเป็นใคร?” เซี่ยเทาสั่น ตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะได้ยินมาว่าราชันย์ฟ้าบูรพาพูดเกี่ยวกับเจ้านั่นว่าเป็นบุตรเขยของเขา นี่ชักจะมีปัญหาแน่นอน จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ไม่เต็มใจจะรุกรานราชันย์ฟ้าบูรพาเป็นเรื่องที่คาดกันได้แล้ว แต่เจ้านี่ก็ยังเป็นคนรักของคุณหนูรองแห่งตระกูลเย่ว์ สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเทียนหลอและต้าเซี่ย เป็นไปได้หรือที่เจ้านี่จะมีสถานะที่พิเศษ?
“ชายชู้ที่ท่านกล่าวหาผู้นั่งอยู่บนรถม้านั่น คือน้องชายของคุณหนูรองแห่งตระกูลเย่ว์ เป็นคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์!” เฟิงเสี่ยวหวินแทบจะสบถใส่ความโง่เง่าจนสุดจะบรรยายของพวกเขา พวกเขาควรจะหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้เพื่อทำการเปิดศึก ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเรื่องน่าอายขายหน้าสำหรับพวกเขาหากคนอื่นได้ยินได้ฟังเข้า
“อ๋า…” เซี่ยเทาตะลึงค้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น
*****************