ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 121 นางโลมอันดับหนึ่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 123 ละเลงหอเมฆาพิรุณด้วยเลือด (2)

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 122 ละเลงหอเมฆาพิรุณด้วยเลือด (1)


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 122 ละเลงหอเมฆาพิรุณด้วยเลือด (1)

แปลโดย iPAT  

บุรุษทุกคนบูชาฟู่หรงเหมือนสุนัข นางไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าวันหนึ่งผู้ชายจะตบหน้านาง!

แม้เล้าเต็มไปด้วยความโกรธ มืออวบอ้วนของนางที่เต็มไปด้วยพลังปราณพุ่งเข้าหาหลี่ฉิงซาน ฟู่หรงไม่เพียงเป็นนางโลมอันดับหนึ่งของหอเมฆาพิรุณแต่นางยังเป็นศิษย์ของแม่เล้า สิ่งที่น่าแปลกใจคือเก้อเจี้ยนหยุดนางทำให้นางต้องดึงมือกลับ “เจ้า!”

เก้อเจี้ยนกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าพยายามโจมตีผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์งั้นหรือ?” เขาอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตราบเท่าที่หลี่ฉิงซานยังเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เขาก็ไม่สามารถยืนดูสิ่งนี้เกิดขึ้น นี่เกี่ยวกับความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ สิ่งสำคัญก็คือเขาคิดว่าแม่เล้าสามารถเอาชนะหลี่ฉิงซานได้ด้วยความแข็งแกร่งของนาง

หอเมฆาพิรุณมอบเม็ดยาจำนวนมากให้จ้าวจื่อป๋อทุกปีเช่นเดียวกับเด็กที่ทำธุระให้เขา ดังนั้นเก้อเจี้ยนจึงไม่ต้องการสร้างความยากลำบากให้หอเมฆาพิรุณ

แม้เล้าสูดหายใจสองสามครั้งก่อนจะตอบกลับว่า “ได้” จากนั้นนางก็ดึงฟู่หรงที่มึนงงเดินจากไป

หลี่ฉิงซานกลับไปที่นั่งของเขา “เร็วเข้า ข้ากำลังรอส่วนต่อไป หอเมฆาพิรุณของท่านต้องมีมากกว่านี้ใช่หรือไม่? พี่เก้อ ข้ารออยู่!”

แต่ทั้งหมดที่เขาได้ยินคือเสียงกรีดร้องของฟู่หรง “ข้าอยากฆ่าเขา! ข้าจะฆ่าเขา!”

เก้อเจี้ยนเผยรอยยิ้มแห้งๆ “ฉิงซาน หากเจ้าไม่ชอบนางก็เพียงไล่นาง เหตุใดต้องตบนาง? นางเป็นเพียงนางโลมที่เก่งเรื่องการทำเสน่ห์์” เขากล่าวราวกับทั้งหมดเป็นความผิดของฟู่หรง

“นางเป็นเพียงนางโลม หากนางถูกตบ แล้วอย่างไร!” หลี่ฉิงซานเอนกายลงบนเบาะนุ่มๆอย่างสบายอารมณ์ หญิงงามที่อยู่ด้านข้างรีบหยิบองุ่นป้อนเข้าปากเขาอย่างระมัดระวัง

หอโคมแดงแห่งนี้กล้าร่วมมือกับจ้าวจื่อป๋อต่อต้านเขา ดังนั้นเขาจึงต้องเรียกร้องค่าตอบแทนอย่างสาสาเช่นเดียวกับนิยายจีนโบราณที่เขาเคยอ่านในชีวิตก่อนหน้า

“ข้าจะออกไปดู” หลังจากนั้นเก้อเจี้ยนก็ออกไปจากห้อง เขาโกรธมาก เขาไม่เคยคิดว่าวิธีการขั้นสูงสุดของหอเมฆาพิรุณจะล้มเหลวในการพิชิตเด็กหลังเขาผู้นี้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากจ้าวจื่อป๋อยังไม่รู้ความสัมพันธ์แน่ชัดระหว่างหลี่ฉิงซานกับกู่เยี่ยนหยิน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพอที่จะกำจัดเด็กหนุ่มอย่างจริงจัง

สิ่งสำคัญคือเก้อเจี้ยนเกรงว่าตนเองจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ฉิงซาน พิจารณาจากการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มในการตบหน้าฟู่หรงก่อนหน้านี้ เขาเหมือนพยัคฆ์ที่พุ่งเข้าโจมตีเหยื่อ เก้อเจี้ยนไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถรับมือมันได้หรือไม่ เขายังสงสัยว่าผู้บ่มเพาะร่างกายทรงพลังถึงเพียงนี้ได้อย่างไร

ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที เก้อเจี้ยนก็กลับมา ข้างหลังเขาคือแม่เล้าที่ยิ้มกว้างจนถึงใบหูราวกับไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้น นางยังนำผู้หญิงเจ็ดหรือแปดคนมาด้วย ทุกคนล้วนงดงาม หญิงที่อายุมากที่สุดมีอายุประมาณสิบหกหรือสิบเจ็ด ขณะที่หญิงอายุน้อยที่สุดมีอายุเพียงสิบสี่หรือสิบห้า

“คุณชาย ดูเหมือนท่านจะไม่ชอบผู้หญิงอายุมาก นี่คือเด็กสาวที่เราพึ่งรับเข้ามา พวกนางล้วนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านสามารถเลือกสักสองสามคนและนำกลับไปเป็นสาวใช้ของท่าน ราคาสามารถต่อรองได้” แม่เล้าแนะนำพวกนางให้หลี่ฉิงซานรู้จัก

หญิงทุกคนมองหลี่ฉิงซานด้วยสายตากระตือรือร้น การถูกขายออกไปก่อนที่พวกนางจะได้รับแขกถือเป็นโชคดีที่หญิงทุกคนคาดหวังโดยยังไม่ต้องกล่าวถึงผู้ซื้อที่เป็นเด็กหนุ่มที่ดูซื่อตรงและแข็งแรง เขาไม่ใช่พ่อค้าพุงป่องหรือชายชราหนังหุ้มกระดูก

เก้อเจี้ยนกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าควรมีสาวใช้อยู่บนภูเขาสักคนสองคน ด้วยขนาดเตียงของเจ้า หากนอนคนเดียว มันจะกลายเป็นไร้ประโยชน์” เมื่อแผนการของจ้าวจื่อป๋อไม่สำเร็จ เก้อเจี้ยนจึงคิดแผนใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าหลี่ฉิงซานให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ ตราบเท่าที่เขาสามารถเพิ่มภาระให้เด็กหนุ่ม พวกเขาจะสามารถใช้มันเพื่อคุกคามเขา

เมื่อมองไปยังหญิงสาวที่ยืนเป็นแถวรอให้เขาเลือกเหมือนปศุสัตว์ หลี่ฉิงซานรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เขามองแม่เล้าอวบอีกครั้งและรู้สึกรังเกียจนางมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าในยุคนี้หอโคมแดงไม่ใช่ธุรกิจผิดกฏหมาย หลายครอบครัวที่มีบุตรสาวและไม่เต็มใจเลี้ยงดูพวกนางมักส่งพวกนางมาที่นี่ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นเส้นทางที่ทำให้พวกเขาอยู่รอด

หลี่ฉิงซานถาม “พวกเจ้าเต็มใจทำทั้งหมดนี้หรือไม่?”

หญิงสาวมองหน้ากันก่อนจะก้มศีรษะลงและตอบว่าใช่

หลี่ฉิงซานหมดความสนใจในตัวพวกนางทันที เขายืนขึ้น “วันนี้พอแค่นี้ ข้าจะกลับบ้านนอน!” เขากำลังจะเดินออกไปแต่เมื่อเขาเดินผ่านหญิงผู้หนึ่ง นางกลับลอบยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือเขา

ชิงซิ่วมองร่างที่แข็งแกร่งของหลี่ฉิงซานอย่างกระตือรือร้น ตั้งแต่นางถูกลักพาตัวมาที่นี่ มันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว นางจมอยู่กับความสิ้นหวังมานานแล้ว แต่การตบหน้าฟู่หรงของหลี่ฉิงซานทำให้นางรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง มันเพียงพอให้นางเสี่ยง หลี่ฉิงซานแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ หากเป็นเขา บางทีเขาอาจแจ้งเจ้าหน้าที่และช่วยชีวิตนางรวมถึงพี่น้องของนาง กล่าวกันว่าเจ้าเมืองเป็นข้าราชการที่ดี เขาอาจช่วยพวกนาง

อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานกลับหยุดเดินและคลี่กระดาษออกก่อนจะถามนาง “เจ้ามอบสิ่งนี้ให้ข้างั้นหรือ?”

สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เด็กสาวผู้นั้นโดยเฉพาะแม่เล้าที่สามารถมองเห็นข้อความบนกระดาษ มันทำให้สายตาของนางเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร

ชิงซิ่วก้มหน้าลงราวกับบางคนกำลังใช้มีดสั้นชี้มาที่นาง เมื่อนางคิดถึงชะตากรรของพี่น้องที่พยายามหลบหนีหรือทรยศหอเมฆาพิรุณก่อนหน้านี้ ใบหน้าของนางก็กลายเป็นสิ้นหวัง นางเสียใจมากและรู้สึกไม่พอใจหลี่ฉิงซาน ‘เจ้าเป็นคนโง่งั้นหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด? ข้าจบสิ้นเพราะเจ้า!’

หลี่ฉิงซานเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้และตบไหล่เด็กสาวพร้อมเผยรอยยิ้ม “ข้ากำลังถามเจ้า เหตุใดไม่ตอบข้า?” แต่ในใจคิด ‘ข้ารอมานานแล้ว ข้าต้องการผดุงความยุติธรรม เพียงรอก่อน!’

เขารู้สึกเหมือนตนเองกล่าวอย่างเป็นมิตรแต่ชิงซิ่วกลับหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม

แม่เล้าสามารถบอกได้ว่าหลี่ฉิงซานเป็นตัวปัญหา นางรีบดึงชิงซิ่วไปข้างหลังทันที “นางสติเลอะเลือน อย่างจริงจังกับมัน” ชิงซิ่วเป็นเด็กฉลาดและเชื่อฟังมาตลอด นางไม่เคยต่อต้านและปฏิเสธสิ่งที่ได้รับมอบหมาย นั่นเป็นเหตุผลที่แม่เล้านำนางมาพบหลี่ฉิงซาน แต่แม่เล้าไม่คิดว่าในช่วงเวลาสำคัญนางจะกระทำการเช่นนี้ หลังจากนี้นางจะต้องถูกทุบตีเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

หลี่ฉิงซานกล่าว “ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการให้ข้าเลือกบางคนงั้นหรือ? ข้าเลือกนาง!”

แม่เล้าถาม “เหตุใดท่านต้องเลือกหญิงเลอะเลือน?” นางเผยรอยิ้มให้หลี่ฉิงซาน “มีผู้หญิงมากมายอยู่ที่นี่ เราจะให้ท่านเลือกหญิงเสียสติเช่นนี้ได้อย่างไร?”

ทันใดนั้นผู้คุมที่ดูแข็งแรงสองคนก็เดินเข้ามานำตัวชิงซิ่วออกไป

“หยุด!” หลี่ฉิงซานกำลังจะเคลื่อนไหวแต่แม่เล้ารีบใช้ร่างอวบอ้วนของนางขวางไว้ หลี่ฉิงซานกำลังจะเดินผ่านนางแต่ถูกเก้อเจี้ยนคว้ามือไว้ “ฉิงซาน เจ้าจะไปไหน? นางเป็นเพียงนางโลม!”

นี่คือสิ่งที่หลี่ฉิงซานกล่าวกับเก้อเจี้ยนก่อนหน้านี้แต่มันกลับถูกส่งคืนอย่างรวดเร็ว “เจ้าสินางโลม! ปล่อยข้า!” เขาสะบัดมือเก้อเจี้ยนออกทันทีขณะที่ฝ่ายหลังไม่ใช่คู่ต่อสู้ด้านพละกำลังของหลี่ฉิงซาน สีหน้าของเก้อเจี้ยนเปลี่ยนไป “เจ้ากล่าวสิ่งใด?” เขาเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่ยิ่งใหญ่แต่เขากลับถูกตราหน้าว่าเป็นนางโลม ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะอารมณ์เสีย เขาไม่พยายามหยุดหลี่ฉิงซานอีกต่อไป

ผู้คุมทั้งสองมีความสามารถบางอย่าง พวกเขากำลังเดินแต่การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วมาก ในชั่วพริบตาพวกเขาก็ออกไปจากห้องและรวมตัวกับฝูงชนแล้ว

หลี่ฉิงซานไม่สนใจเก้อเจี้ยน เขาก้าวไปข้างหน้าแต่สิ่งที่เขาพบคือกองไขมัน แม้เล้ารู้สึกราวกับถูกช้างพุ่งชน นางลอยกลับหลังไปและตกลงจากชั้นเจ็ดโดยตรง

นางกรีดร้อง “หยุดเขา!” ด้วยการฟาดฝ่ามือออกไป ร่างที่อวบอ้วนของนางก็ร่อนลงสู่ทางเดินของชั้นสามอย่างนุ่มนวล

หลี่ฉิงซานรีบออกไปแต่สิ่งที่เขาเห็นคือศีรษะของผู้คนจำนวนมาก เขามองไม่เห็นชิงซิ่ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มใช้จมูกสูดดมกลิ่น

สำหรับผู้บ่มเพาะพลังปราณ ประสาทสัมผัสของพวกเขาเฉียบคมกว่าคนทั่วไป พวกเขาสามารถมองเห็นยุงหรือได้ยินเสียงมดเดินจากระยะหลายร้อยเมตร อย่างไรก็ตามประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นของพวกเขาจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก มันไม่สามารถเทียบได้กับสนัขจรจัดข้างถนน นี่เป็นข้อจำกัดโดยธรรมชาติของพวกเขา

แต่การรับรู้กลิ่นของหลี่ฉิงซานทรงพลังกว่าสุนัขมาก เขาสามารถติดตามกลิ่นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

“นายท่านจะไปที่ใด?” หญิงสาวที่แต่งตัวสวยงามหลายคนวิ่งเข้ามาพัวพันเขาและจับแขนจับขาของเขาเอาไว้

หลี่ฉิงซานกล่าว “หลีกไป!” เขาไม่อ่อนโยนกับหญิงเหล่านี้เลย ด้วยการระเบิดพลังปราณ เขาส่งหญิงเหล่านั้นบินออกไปโดยตรง

หลี่ฉิงซานลงไปชั้นหกอย่างรวดเร็ว ผู้คุมชุดเหลืองได้ยินเสียงกรีดร้อง ดังนั้นเขาจึงรีบออกมาจากห้อง เขาเห็นหลี่ฉิงซานและตระหนักว่าเด็กหนุ่มเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งทันที

ผู้คุมชุดเหลืองพึ่งโยนนักสู้ชั้นหนึ่งออกไปในวันนี้ ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง เมื่อเขาเห็นหลี่ฉิงซาน เขาจึงคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะอีกฝ่าย ด้วยเสียงที่เขาใช้เวลาดุด่าลูกค้า เขาตะโกน “หยุด!”

“หญิงอ่อนแอก็เรื่องหนึ่ง แต่บุรุษที่ช่วยคนเลวเช่นเจ้าสมควรตาย!” หลี่ฉิงซานกล่าวและเขาเดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุด นอกจากนั้นเขายังดึงดาบวายุออกมา

ผู้คุมชุดเหลืองกำลังจะโจมตีหลี่ฉิงซานแต่เขากลับรู้สึกเย็นที่ลำคอก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าโลกหมุน ผู้คุมอีกสองสามคนกำลังวิ่งเข้ามาแต่สิ่งที่พวกเขาเห็นคือศีรษะของหัวหน้าของพวกเขาที่ลอยควงสว่างอยู่กลางอากาศขณะที่เลือดพุ่งออกมาจากลำคอที่ไร้ศีรษะของเขา นั่นทำให้ขาของพวกเขาไม่สามารถก้าวต่อไปได้อีก