ตอนที่ 8-33 เส้นทางของสี่พี่น้อง
ซาสเลอร์เดินตามมาด้านหลังด้วยเช่นกัน เมื่อได้ยินบุรุษวัยกลางคนเรียกชื่อลินลี่ย์ถูก เขาเพิ่มความระมัดระวังทันที แต่หลังจากเขามาถึงข้างตัวลินลี่ย์ เขาเห็นว่าเมื่อลินลี่ย์อ่านจดหมาย ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข
ซาสเลอร์สามารถบอกได้ว่าลินลี่ย์ไม่ใช่คนน่ากลัวเขาค่อนข้างเย็นชาเพราะมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกฝน
เขาไม่เคยเห็นลินลี่ย์ยิ้มอย่างมีความสุขด้วยท่าทีสดใสอย่างนั้นมาก่อน
“ซาสเลอร์” ลินลี่ย์หัวเราะ “ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าต้องไปพบกับสหาย”
“ได้เลย” ซาสเลอร์พยักหน้า
“บีบี” ลินลี่ย์ตะโกนเรียกบีบีซึ่งยังนอนอยู่บนพื้น บีบีลืมตางัวเงียมองลินลี่ย์ด้วยความสงสัย
“มาเถอะ, ไปกับข้า”
“แฮรุ, เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน”
บีบีดีใจเชิดหัวใส่แฮรุอย่างหยิ่งยโส จากนั้นวิ่งไปอยู่บนไหล่ของลินลี่ย์ มันคุยกับลินลี่ย์ในใจอย่างมีความสุข “เจ้านายเราจะไปทำอะไร?”
“เจ้าจะรู้เมื่อเราไปถึงที่นั่น” ลินลี่ย์หัวเราะ
“เชิญนำทาง” ลินลี่ย์พูดกับบุรุษวัยกลางคน
ภายในสิบห้านาทีลินลี่ย์และบุรุษวัยกลางคนก็มาถึงคฤหาสน์ใหญ่โตโอฬาร มองจากระยะไกลลินลี่ย์จำร่างที่ยืนอยู่ในกลางห้องโถงคฤหาสน์ได้
“น้องสาม!” เสียงที่คุ้นนั้นเรียกด้วยความตื่นเต้น
“พี่ใหญ่เยล” ลินลี่ย์ก็หัวเราะเช่นกัน
“ควีคคค! บีบีก็ร้องเรียกดีใจด้วยเหมือนกัน เมื่อพวกเขาอยู่ที่สถานบันเอินส์ บีบีก็อยู่ร่วมกับเยล เรย์โนลด์และจอร์จด้วย จึงคุ้นเคยกันเองเป็นธรรมดา
เยลเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้เยลสูงเท่ากับลินลี่ย์เกือบสองเมตร แต่เยลผอมกว่าลินลี่ย์ทำให้ดูเหมือนเป็นบุรุษผอมสูง
สูทสุภาพบุรุษสีดำเหมาะพอดีตัวมีกลิ่นน้ำหอมเจือจางทำให้เยลดูเหมือนจะมีเสน่ห์ดึงดูดใจมาก
“น้องสาม, สามปีมานี้ข้าเป็นห่วงแทบตายแล้ว” เยลสวมกอดลินลี่ย์
ได้กอดสหายรักทำให้ลินลี่ย์รู้สึกมีความสุขเช่นกัน
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้พบเห็นสหายรักเลยสักคน
“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเติบโตสูงเท่าข้า สามปีมานี้เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ” เยลถอนหายใจ เทียบกับสามปีที่แล้วเยลไม่เปลี่ยนเท่าใดนัก แต่ลินลี่ย์เปลี่ยน
ลินลี่ย์หัวเราะลั่น “เจ้าแก่กว่าข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้วตอนนี้เจ้าไม่เติบโตมากไปกว่านี้อีกแล้ว ข้าก็ต้องโตทันเป็นเรื่องธรรมดา”
บีบีร้องทักอยู่ข้างๆ
บีบีก็มีความสุขมากเหมือนกัน มันไม่ได้เห็นลินลี่ย์หัวเราะหยอกล้อเช่นนี้มานานแล้ว
“โอว บีบี!” เยลกอดบีบีและลูบศีรษะน้อยๆของมันอย่างสนิทสนม “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องมา ข้าเตรียมอาหารดีๆ ไว้ให้เจ้าแล้ว”
เยลหันไปมองคนรับใช้ของเขาซึ่งเข้าใจความต้องการของเจ้านาย หลังจากนั้นบ่าวรับใช้เกินกว่าสิบคนก็เข็นรถที่เต็มไปด้วยอาหารเข้ามา
“นี่คือเนื้อย่างที่อร่อยจากทั่วโลก บีบี,เจ้าลองชิมดู” เยลหัวเราะลั่น
จมูกน้อยๆของบีบีสูดอากาศ จากนั้นตาของมันเริ่มฉายประกายทันที มันกลายสภาพเป็นเป็นเงาดำตรงเข้าหารถอาหารเหล่านั้น เมื่อเห็นเช่นนี้ลินลี่ย์และเยลเริ่มหัวเราะ
“พี่ใหญ่เยล, ไปคุยกันข้างในเถอะ” ลินลี่ย์พูดพลางหัวเราะ
สองพี่น้องเข้าไปในห้องโถงใหญ่ซึ่งมีอาหารเลิศรสและไวน์ชั้นดีจัดเตรียมรออยู่แล้ว สองพี่น้องเริ่มกินและสนทนากัน
“จริงสิ, เยล, เกิดอะไรขึ้นกับสถาบันเอินส์?” ลินลี่ย์ถามทันที
“มันจบแล้ว” เยลส่ายศีรษะและถอนหายใจ “สถาบันเอินส์อยู่ติดกับเมืองหลวงเฟนไลมากและตกอยู่ภายใต้การบุกโจมตีอย่างหน่วงจากเหล่าอสูรเวท เจ้าก็รู้ แม้แต่อาจารย์ผู้สอนในสถาบันก็มีระดับแปดเป็นอย่างมาก นักเรียนเกือบทุกคนยังอ่อนแอมากเมื่อเผชิญหน้ากับอสูรเวทเหล่านั้น... พวกเขาจะต่อต้านพวกมันได้ยังไง?”
ลินลี่ย์พยักหน้า
นักเรียนปีหกซึ่งเป็นนักเรียนระดับสูงที่สุดก็เป็นเพียงนักเวทระดับหก แต่อสูรเวทมีพลังระดับห้า หก เจ็ดและแปดมีไม่กี่ตัว เมื่อกองทัพอสูรเวทบุกเข้ามา จึงนับเป็นหายนะอย่างแท้จริง
“ในโลกนี้ไม่มีสถาบันเอินส์อีกต่อไปแล้ว”
เยลถอนหายใจ “ข้าเรย์โนลด์และจอร์จออกจากสหภาพศักดิ์เมื่อสามปีที่แล้ว ช่วงเวลาสามปีมานี้ข้าไปมาระหว่างจักรวรรดิโอเบรียนและยูลาน สำหรับเรย์โนลด์เขากลับไปที่ตระกูลตามปกติ ขณะที่จอร์จกลับไปจักรวรรดิยูลานเช่นกัน ข้าได้ยินมาว่าจอร์จกำลังไปได้ดีเลยทีเดียว เขาเข้ารับราชการในฝ่ายบริหารของจักรวรรดิยูลาน”
“เข้ารับราชการในวังหลวงน่ะหรือ?”
ลินลี่ย์ไม่ตกใจเท่าใดนัก ที่สำคัญคือจอร์จเป็นคนฝีมือดีมากในองค์กรและที่หนุนหลังจอร์จอยู่ก็คือตระกูลวอล์ชที่ยิ่งใหญ่ความสำเร็จจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา
“และน้องสี่เล่า?” ลินลี่ย์หัวเราะขณะถาม
“น้องสี่น่ะหรือ? เขากลับไปยังตระกูลของเขาเองและถูกบิดาของเขาส่งไปเป็นทหาร” เยลหัวเราะลั่น “น้องสาม, เจ้าลองนึกภาพดูสิ น้องสี่อยู่ในกองทัพมันน่าเหลือเชื่อเลยไม่ใช่หรือ?”
ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะเหมือนกัน
น้องสี่เรย์โนลด์ของพวกเขาเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้และหัวรั้นเป็นตัวของตัวเอง แต่ตอนนี้เขาเข้าไปอยู่ในกองทัพ? ใครๆก็นึกถึงภาพว่าเขาจะทุกข์ทรมานขนาดไหนเมื่ออยู่ที่นั่น
“แต่เมื่อปีที่แล้ว เมื่อข้าได้พบน้องสี่ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปบ้าง เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าแต่ก่อน และตอนนี้ค่อยดูเหมือนนายทหารคนหนึ่งแล้ว เพียงแต่แทบไม่นานหลังจากดื่มกับข้าเขาก็กลับคืนสู่บุคลิกเดิมของตนเองเหมือนก่อน” เยลหัวเราะ
“พี่ใหญ่เยล แล้วเจ้าเล่าเป็นยังไงบ้าง? ข้ารู้สึกว่าเทียบกับเมื่อก่อนแล้วเจ้าดูมีราศีเป็นผู้ดียิ่งกว่าในอดีตที่ผ่านมา”
แน่นอนอยู่แล้วแต่งตัวในสูทสุภาพบุรุษสีดำ ราศีผู้ดีของเยลใครๆ ก็รู้สึกได้ชัด
“ไม่มีอะไรมาก” เยลฝืนหัวเราะ “หลังจากออกจากสถาบันเอินส์ นอกจากเป็นจอมเวทฝึกหัดธรรมดา ข้าก็มุ่งเน้นดูแลกิจการให้ตระกูลของข้า เป็นธรรมดาที่ข้าต้องเจองานเลี้ยงกับพวกผู้ดีและขุนนางนับไม่ถ้วน พอนานเข้าข้าก็เลยเรียนรู้มารยาทธรรมเนียมบางอย่างของพวกเขาไปด้วย”
ลินลี่ย์พยักหน้า
พี่น้องที่รักทั้งสามของเขาได้เดินอยู่บนเส้นทางที่เป็นของตัวเองแล้ว
งานบริหารราชการ,ทหาร, การค้า
“แล้วตัวข้าล่ะจะเป็นยังไง?” ในใจของเขาลินลี่ย์รู้จักเส้นทางของตนเองเป็นอย่างดี “ก้าวเดินไปบนเส้นทางฝึกฝนจนกว่าข้าจะทันระดับนักพรตสูงสุด,เทพสงครามและไดลินยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทวีปยูลาน!”
ยอดฝีมือระดับสูงสุดซึ่งมีพลังอำนาจแท้จริงในโลกนี้
สำหรับนักสู้ระดับเทพทุกอย่างเป็นเรื่องสนุก ไม่มีใครกล้ารุกรานนักสู้ระดับเทพ พวกเขาคือกองกำลังสูงสุดที่คงอยู่ในทวีปยูลาน
ลินลี่ย์ไม่ยอมให้อุปสรรคใดๆขัดขวางเขาจากการก้าวเดินในเส้นทางสายนี้
ไม่มีอะไรหยุดเขาได้!
“น้องสาม ตลอดสามปีมานี้ เมื่อข้าไปยังนครหลวงข้าเห็นน้องชายเจ้าแล้ว” เยลเอ่ยขึ้นทันที
“วอร์ตัน?” ลินลี่ย์ตาเป็นประกาย
เยลพยักหน้าพลางหัวเราะ “เมื่อเห็นวอร์ตัน เขาห่วงเจ้ามากเนื่องจากเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเจ้าเป็นเช่นไร ข้าบอกเขาว่าเจ้าสบายดี และว่าเจ้ากำลังฝึกฝนตนเองอยู่”
“วอร์ตันเป็นยังไงบ้าง?” ลินลี่ย์ถาม
“อย่าห่วงเลย เขากำลังไปได้ดีเลยทีเดียว” เยลพูดด้วยความประหลาดใจ “ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าน้องชายของเจ้ากำยำมากกว่าเจ้าเสียอีก สามปีที่แล้วเขาสูงกว่าข้าเล็กน้อยแต่ตอนนี้น่าจะสูงมากกว่าข้า แขนอย่างงี้ ล่ำปึ้ก!”
ลินลี่ย์หัวเราะพลางพยักหน้า
ความเติบโตของวอร์ตันอยู่ในความคาดการของเขาแล้ว ที่สำคัญนักรบเลือดมังกรทุกคนในประวัติศาสตร์มีร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ อาวุธที่พวกเขาใช้อันดับหนึ่งก็คือดาบศึกประหารปรปักษ์ อันดับสองก็คือพวกทวนหนักหรือไม่ก็ค้อนหนัก
“ลินลี่ย์,วอร์ตันน้องชายเจ้ารู้พลังลับของตนเองแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาซ่อนพลังเอาไว้ตลอดเวลา แต่หลังจากได้รู้สิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไป น้องชายเจ้าจึงหยุดทำเช่นนั้นและเริ่มเผยพลังของเขาช้าๆ เมื่อไม่นานมานี้ในการแข่งขันประจำปีสำหรับนักเรียนปีเจ็ด เขาทำให้ทุกคนตื่นตะลึงด้วยการเอาชนะนักรบระดับแปดได้” เยลถอนหายใจอย่างทึ่ง
ลินลี่ย์ยิ้มอย่างใจเย็น
นักรบระดับแปด?
ตอนนี้วอร์ตันเป็นนักรบระดับเจ็ดและสามารถแปลงร่างเป็นมังกรได้ เมื่ออยู่ในร่างมังกรเขามีพลังถึงระดับเก้า
“หลังจากมีชื่อเสียงแล้ว วอร์ตันเป็นยังไงบ้าง?” ลินลี่ย์ถาม
“วอร์ตันได้รับบรรดาศักดิ์เคานท์จากวังหลวงตอนนี้เขาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในจักรวรรดิโอเบรียน ในเวลาสองสามปี บางทีเขาอาจได้สิทธิ์เข้าศึกษาในวิทยาลัยเทพสงครามก็ได้” เยลถอนหายใจ “ในอนาคตเขามีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ระดับเซียน”
“วิทยาลัยเทพสงคราม? ระดับเซียน?” ความจริงลินลี่ย์ไม่ต้องการให้น้องชายของเขาเข้าเรียนในวิทยาลัยเทพสงครามเลย
สำหรับนักรบเลือดมังกรการเข้าสู่ขอบเขตระดับเซียนเป็นเรื่องที่ไม่มีทางพลาดไปได้
ลินลี่ย์คุยกับเยลตลอดเวลาช่วงเช้า ตอนนี้เขามีความกระตือรือร้นเมื่อรู้ว่าน้องชายของเขามีความเป็นอยู่ที่ดี
หลังจากอาหารกลางวัน
“น้องสาม นี่คือตราของหอการค้าดอว์สันเป็นตัวแทนสถานะผู้อาวุโสของเจ้า รับไปซะ” เยลดึงตราสีดำออกมา
ลินลี่ย์ตกใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโส?”
เมื่อลินลี่ย์อยู่ที่เมืองเฟนไล เขาก็มีพลังของนักรบระดับเก้าชั้นต้นแล้ว ตอนนั้นลินลี่ย์อายุเพียงสิบเจ็ดปี เนื่องจากความสามารถของเขาตามปกติจะเป็นจอมเวทและกับความจริงที่ว่าเขาสามารถแปลงร่างเป็นนักรบเลือดมังกรได้ ผู้อาวุโสของหอการค้าดอว์สันจึงได้ข้อสรุปว่าในไม่ช้าเขาจะต้องเข้าสู่ระดับเซียนแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนั้นการให้ลินลี่ย์มีสถานะเป็นผู้อาวุโสของหอการค้าดอว์สันถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
“รับไปเถอะน่า เราเป็นพี่น้องกันเอง” เยลหัวเราะ
ลินลี่ย์มองเยล เขาเข้าใจว่าการรับตราเครื่องหมายนี้ก็มีความหมายว่าถ้าในอนาคต หอการค้าดอว์สันตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาจะต้องช่วยเหลือ ที่สำคัญตราสัญลักษณ์นี้เป็นตัวแทนของอำนาจและหน้าที่
“ก็ได้ ข้าจะรับไว้” ลินลี่ย์หัวเราะและรับตราตำแหน่งนั้นไว้ แม้ว่าเขาจะไม่มีตราสัญลักษณ์นี้ ถ้าหอการค้าดอว์สันตกอยู่ในที่นั่งลำบากจริงๆ เพื่อพี่ใหญ่เยลที่เขารักลินลี่ย์จะไม่ยืนดูเฉยๆ แน่นอน
“ขอบคุณ”
สองพี่น้องสนิทกันมาก ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรมากเกินไป
“น้องสามข้ารู้สึกว่าราศีของเจ้าเทียบกับเมื่อสามปีที่แล้วเกินกว่าจะควบคุมไปมาก แน่นอนว่าสามปีมานี้เจ้ามีพลังไปถึงระดับไหนแล้ว?” เยลลดเสียงกระซิบถามด้วยความสงสัย
ลินลี่ย์ไม่ปิดบังความจริง “ต่ำกว่าระดับเซียนลงมาไม่มีใครสู้ข้าได้”
เยลจ้องมองลินลี่ย์ด้วยความรู้สึกทึ่ง
“ตอนนี้พอก่อนเถอะ ข้าจะต้องกลับไปแล้วอีกสองสามวันข้าจะกลับมาเยี่ยม” ลินลี่ย์หัวเราะ
ดินแดนมณฑลพายัพภายในเมืองเล็กธรรมดา
ภายในลานบ้านที่เงียบสงบ
“ใต้เท้าสเตลห์” นักรบร่างใหญ่ร้องเรียกด้วยเบา “ได้เวลาออกเดินทางแล้วขอรับ”
ชั่วเวลาต่อมามีเสียงเปิดประตู สเตลห์กวาดตามองบุรุษผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา “ไปกันได้”
“ขอรับ” บุรุษผู้นั้นไม่กล้าหายใจแรง
สเตลห์ออกมาที่ลานบ้าน เพียงแค่นั้นคนที่อยู่ใกล้จึงค่อยกล้าระบายลมหายใจ แค่ถูกนักสู้ระดับเซียนชั้นสูงกวาดตามองก็ทำให้หัวใจผู้นั้นสั่นสะท้าน
“เร็วเข้า” บุรุษผู้นั้นกระตุ้นเตือนทันที
บุรุษคนอื่นๆคุ้มกันนักรบร่างกายกำยำทั้งห้าคนและเริ่มออกเดินทาง นักรบร่างใหญ่ทั้งห้าคนนั้นสูง 2.2 เมตรและร่างกายกำยำอย่างน่าประหลาดเพียงแต่พวกเขาถูกมัดด้วยเชือกสีทองเข้มอย่างแน่นหนา ไม่ว่าพวกเขามีพลังมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำลายเครื่องพันธนาการเหล่านี้ได้
ปากของพวกเขาก็ถูกปิดด้วยเช่นกัน
“อืมม อืมมม”
พี่น้องทั้งห้าพยายามสาปแช่งอย่างโกรธเคือง
“พวกเจ้าอยากตายหรือไง?” หนึ่งในผู้คุ้มกันชุดดำหวดแส้ใส่หนึ่งในพี่น้องทั้งห้าแต่กลับทิ้งรอยขาวจางๆ ให้เห็นเท่านั้น “บ้าเอ๊ย,ร่างกายแข็งแกร่งทนทานเหลือเชื่อจริงๆ”
ขณะที่กลุ่มของสเตลห์กำลังง่วนกับการเดินไปตามเมืองในมณฑลพายัพ ลินลี่ย์ฝากรีเบ็คกาและลีนาให้กองกำลังของหอการค้าดอว์สันในเมืองเบซิลช่วยดูแล และจากนั้นลินลี่ย์, บีบีและแฮรุออกเดินทางไปยังตำแหน่งเมืองเดโก
“กองกำลังคุ้มกันนักโทษเหล่านี้มีนักรบระดับเก้าเพียงสองคน นี่จะทำให้ง่ายมาก” ซาสเลอร์ขี่หลังของแฮรุหัวเราะ “ข้าสงสัยว่าใครกันที่หน่วยนี้คุ้มกันอยู่”
“ซาสเลอร์ข่าวการตายของเพอร์รี่น่าจะไปถึงหัวหน้าผู้ดูแลกิจการของศาสนจักรในจักรวรรดิโอเบรียนแล้วใช่ไหม?” ลินลี่ย์กล่าวทันที
“ใช่แล้ว ตอนนี้เขาน่าจะรู้แล้ว” ซาสเลอร์กล่าว “อย่างไรก็ตามพวกเขาคงไม่สามารถรู้ได้ว่าข้าสามารถเซาะวิญญาณได้”