ตอนที่แล้วตอนที่ 213 – ตอนที่ 197 วิหารทอรัส
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 215 – ตอนที่ 199 วิธีลับ ความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของเย่ว์ปิง

ตอนที่ 214 – ตอนที่ 198 สมบัติ, ตัวเลือก, วิธีลับ


ทันใดนั้นเย่ว์หยางลอยตัวเข้าหาผนัง ขยับมือตนเองราวกับประกายไฟ

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ภาพเขียนยักษ์ก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เมื่อเขาค่อยๆ ลอยตัวกลับมายืนลงบนพื้น ห้องใหญ่ทั้งห้องก็สั่นสะเทือน เสียงดังหนักๆ ของกลไกลับเริ่มทำงาน

เย่ว์ปิงไม่สนเรื่องอื่นๆ เหล่านั้น นางสนใจแต่เพียงพี่ชายของนาง เย่ว์หยางลอยตัวลงมาที่อ้อมแขนนางและล้มไปบนพื้น เย่ว์ปิงกอดเย่ว์หยางไว้แน่นทั้งห่วงใยและกังวล เกรงว่าพี่ชายนางจะได้รับบาดเจ็บ นางเห็นว่ามีอักษรรูนสีทองเคลื่อนไหวอยู่ภายในดวงตาของเย่ว์หยางส่องแสงสว่างเหมือนกับดวงอาทิตย์ ยังคงมีวงแหวนอักษรรูนหมุนอยู่ที่หน้าผากของเย่ว์หยาง แสงพร่างพรายเหล่านั้นค่อยๆ หรี่ลงและทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดพี่ชายของนางก็กลับคืนมาเป็นพี่ชายที่นางคุ้นเคย เย่ว์ปิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เห็นพี่ชายนางร่อนไปทั่วแทบทุกที่ มีแต่ตอนนี้ที่ทำให้นางกังวลจริงๆ แม้แต่นางก็ยังหลงคิดว่าพี่ชายนางคงทอดทิ้งนางและเหาะเข้าไปในแดนสวรรค์แล้ว

อย่าว่าแต่เย่ว์ปิงเลย แม้แต่เย่ว์หยางก็ไม่รู้ตัวว่าทักษะญาณทิพย์ของเขาได้ยกระดับขึ้นสู่ระดับ 4 แล้วจนทำให้เกิดปฏิกริยาที่รุนแรงอย่างนั้น

เขาสามารถรู้สึกได้ว่าญาณทิพย์ระดับ 4 ของเขาได้ผสานเข้ากับตามองทะลุเครื่องกีดขวางของเขา ก่อให้เกิดเป็นความสามารถชนิดใหม่

เหมือนกับว่าเป็นความสามารถที่ยอมให้เขาได้มองทะลุวัตถุได้

แต่ก็ทำให้เย่ว์หยางอยู่ในสภาพเหนื่อยล้ามาก เพราะมันต้องใช้ปราณก่อกำเนิดจำนวนมาก

ทักษะญาณทิพย์ตอนนี้ เย่ว์หยางสามารถมองทะลุเห็นร่างของเย่ว์ปิงมีผิวขาวราวหิมะ เขาถึงกับสะดุ้งโหยงรีบหยุดการทำงานของญาณทิพย์ทันที มิฉะนั้นเขาคงได้เห็นส่วนที่เขาไม่ควรจะมอง เย่ว์หยางแตะศีรษะของเย่ว์ปิงเบาๆ ปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้ว, ข้ายังสบายดี นั่น..ทักษะอำพรางของข้ามันเพิ่มระดับขึ้น ข้าพบปมของกลไกลับแล้ว ดังนั้นข้าจึงแก้ปริศนาได้ ไปหาดูกันว่ามีสมบัติอะไรบ้าง!”

ในใจของเขา เฝ้าภาวนาอยู่ตลอดว่า “ข้าไม่ใช่พวกรักกับน้องสาว”

เขาภาวนาในใจจนกระทั่งความคิดลามกหายไป ก่อนที่เขาจะถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด

เห็นได้ชัดว่าเย่ว์ปิงไม่ล่วงรู้ความในใจของเย่ว์หยาง นางเป็นเด็กหญิงที่มีจิตใจบริสุทธิ์มาก ไม่เคยคิดเรื่องอะไรทำนองนั้นมาก่อน นางพยักหน้าอย่างซื่อบริสุทธิ์และเดินตามเย่ว์หยางไปอย่างว่าง่าย

กลไกลับได้เปิดเส้นทางบนผนังให้เห็น หลังจากเข้าไปตามทางลับและผ่านเข้าไปราวๆ สิบเมตร ก็มีแท่นบูชาแท่นหนึ่ง

มีสมบัติ 3 ชิ้นวางอยู่บนแท่นบูชา

ทั้งหมดมีขนาดแตกต่างกัน

เย่ว์หยางถึงกับเหงื่อผุดขณะที่เขาเห็นว่า มีแผ่นไม้อยู่หน้าแท่นบูชา ซึ่งแผ่นไม้เขียนไว้ว่า “เลือกสองชิ้น” เห็นได้ชัดว่าเย่ว์หยางไม่ให้ความสนใจกฎนี้อีกแล้ว เขาพยายามอย่างหนักเพื่อแก้ปริศนาภาพวาด มีแต่คนโง่ที่ทำตามกฎ เขาเหวี่ยงมือกวาดเอาแผ่นไม้ไว้ทั้งหมด ขณะที่เย่ว์ปิงที่ปกติจะเชื่อฟังพี่ชายมากรีบห้ามไม่ให้พี่ชายนางโลภ “กติกาบอกไว้ว่าเราเลือกได้เพียงสอง ข้าคิดว่าเราเลือกไว้สองจะเป็นการดีที่สุด มันอาจจะเกิดเรื่องยุ่งถ้าเราหยิบมามากเกินแล้วไปกระตุ้นกลไกลับจนเราถูกขังอยู่ในห้องนี้ เราทำตามกฎและจบภารกิจกันเถอะ!”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ เจ้าเลือกหนึ่ง!” ความจริงเย่ว์หยางมองหาและไม่พบกลไกลับรอบๆ ผนังทั้งหมดแต่อย่างใด

ไม่ต้องกังวลเรื่องจะไปกระตุ้นกลไกลับให้ทำงานแต่อย่างใด แต่อาจจะมีเรื่องบางอย่างให้ทำกับรางวัลที่พวกเขาจะได้รับเมื่อเขาจบภารกิจ

เย่ว์หยางตัดสินใจอดกลั้นไว้ เขาตัดสินใจมุ่งเน้นไปที่รางวัลที่เป็นการเพิ่มสติปัญญาที่พวกเขาจะได้รับหลังจากเสร็จสิ้นเงื่อนไขทั้งหมด สมบัติเหล่านี้ไม่อาจเทียบได้กับรางวัลสติปัญญาที่กฎโบราณจะมอบให้พวกเขา… เย่ว์ปิงเลือกแหวนเงิน เย่ว์หยางเห็นว่าแหวนแค่มีคุณสมบัติใช้ตรวจจับพิษ มันเป็นของไร้ประโยชน์สิ้นเชิง แต่เย่ว์ปิงชอบมันมาก ดังนั้นเขาไม่ห้ามนาง เย่ว์ปิงจึงได้แหวนเงินไป แต่นางก็เพิ่งทราบว่า ขนาดของมันไม่พอดีกลับนิ้วของนาง นิ้วของนางเล็กเกินไป

อย่างไรก็ตาม นางไม่อาจตัดใจปล่อยมันไว้อย่างนั้นได้ พอเห็นว่าเย่ว์หยางสังเกตดูการกระทำของนาง นางเผลอแลบลิ้นอย่างซุกซน

ส่วนสมบัติอีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นสร้อยมุก

พอใช้ทักษะญาณทิพย์ เย่ว์หยางรู้ได้ว่า มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ เรียกว่า มุกวิญญาณและใช้ได้เพียงสามครั้งเพื่อป้องกันวิญญาณร้ายโจมตี

ถ้ามันถูกวางไว้ในที่อื่น เย่ว์หยางคงไม่ให้ความสนใจสมบัติขยะนี้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ในที่อย่างนี้ มันเป็นสมบัติชั้นดีจริงๆ ทั้งนี้เป็นเพราะ มีกลุ่มกระทิงป่าอยู่ข้างนอก พวกมันสามารถปล่อยพลังเนตรประหารได้ทุกเมื่อ เนตรประหารของพวกมันเป็นเครื่องจักรสังหารที่ทำลายวิญญาณของคนได้ทันที

แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่อนุญาตให้เย่ว์ปิงมีส่วนร่วมในการต่อสู้ มันจะปลอดภัยกว่าถ้าจะให้นางสวมสร้อยนี่ไว้

เย่ว์หยางสวมสร้อยคอให้นาง

เย่ว์ปิงหน้าแดงเล็กน้อย และพูดเสียงอ่อนว่า “แม่บอกว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่ผู้หญิงไม่สวมสร้อยมุก..”

เย่ว์หยางสับสน เขาจำได้ว่าไข่มุก ให้ผลผ่อนคลาย เพิ่มพลังหยินและมีผลล้างพิษได้“ทำไมผู้หญิงถึงไม่สวมสร้อยมุกกัน? เขาถามอย่างสงสัย”ทำไมเจ้าถึงสวมไม่ได้?”

“…..” เย่ว์ปิงส่ายหน้าและไม่ได้อธิบายให้เย่ว์หยางฟัง นางกลับก้มหน้ายอมให้พี่ชายช่วยนางสวมสร้อยไข่มุกให้แทน

ไข่มุกสีขาวบริสุทธิ์ของนางขับเน้นผิวคอที่เนียนให้เด่นชัดขึ้นจนเย่ว์หยางต้องยับยั้งใจไม่ให้เผลอตัวจูบผิวของนาง นี่คือน้องสาวของเขา ดังนั้นเย่ว์หยางได้แต่แอบกลืนน้ำลายและพยายามควบคุมจิตใจให้ได้ เขาเล่นบทพี่ชายที่แสนดีลูบศีรษะเย่ว์ปิงและพยักหน้าให้นาง “ข้าจะเลือกบ้างนะ”

สมบัติที่เหลือคือ มีดเงิน

เย่ว์หยางรู้สึกว่ามีดยาวที่มีชื่อว่า “ดับเนตร” น่าจะเป็นสมบัติที่ใช้จัดการกับนัยน์ตาปีศาจข้างนอก เขามีมีดทองฆ่ามังกรอยู่แล้ว ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องใช้มีดดับเนตร.. ดูเหมือนเย่ว์ปิงจะคิดว่านางเห็นแก่ตัวเกินไป จึงวางแหวนเงินคืนไว้ที่แท่นบูชา ตามความคิดครั้งแรกของพี่ชายนาง นางหยิงมีดเงินดับเนตร วิ่งไปหาเย่ว์หยางและยื่นมันให้เขา “นี่”

“เจ้าไม่ชอบแหวนหรือ?” เย่ว์หยางไม่เข้าใจ ทำไมนางถึงคืนแหวนไป?

“ไม่เป็นไรหรอก, มีดนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับพี่สามมากกว่า ยิ่งไปกว่านี้ ข้าได้สร้อยไข่มุกแล้ว” เย่ว์ปิงยิ้มสดใส รอยยิ้มของนางยงดงามเหมือนหิมะแรกของปี ทำให้เย่ว์หยางงุนงงเล็กน้อยขณะที่เขารับมีดมา จากนั้นขาเหน็บมีดไว้ที่เอวนางอย่างระมัดระวังและพูดว่า นี่, ข้าจะให้อาวุธเจ้าอีกเล่มหนึ่ง จงใช้มันป้องกันตัวเจ้า!”

“ได้” เย่ว์ปิงพยักหน้าแข็งขัน

สำหรับแหวนป้องกันพิษที่สวยงามแต่ไร้ประโยชน์ เย่ว์ปิงลืมมันไปหมดแล้ว

นางรู้สึกว่าตัวเลือกแรกของนางคงไม่เหมาะกับนาง เพราะนางแน่ใจว่าพี่ชายนางคงเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้กับนาง ไม่ว่าจะเป็นสมบัติหรือตัวเลือกในชีวิตนาง

เย่ว์หยางปล่อยเย่ว์ปิงให้เราอยู่ที่ประตูทางเข้าระเบียงด้านขวา ตอนนี้ โล่ป้องกันของพวกเขาหายไปแล้ว ถ้านางออกไปและถูกฝูงกระทิงป่าข้างจ้องด้วยเนตรประหาร แม้ว่านางจะมีสร้อยวิญญาณ เย่ว์หยางก็ไม่ต้องการจะเสี่ยงกับการสูญเสียเย่ว์ปิง เย่ว์หยางไม่ต้องการให้นางต้องสัมผัสอันตรายชนิดใดๆ ทั้งนั้น แน่นอนว่าเขาคงไม่ปล่อยให้นางยืนดูเฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย ดังนั้นเขาหยิบผลึกบำบัดและรักษาอสูรพิทักษ์พฤกษาของนางจนหาย ขณะเดียวกัน เขาก็พานางพญากระหายเลือดและโคเงาสู้กับฝูงอสูรกระทิงป่า

เย่ว์หยางขึ้นมารับมือกระทิงทองป่าทั้งสองตัวโดยเฉพาะ

แม้ว่านางพญากระหายเลือดและโคเงาอาจเอาชนะการต่อสู้กับพวกมันได้ แต่พวกนางอาจบาดเจ็บหนักและสิ้นเปลืองพลังไปกับอสูรกระทิงทองสองตัวนี้

เย่ว์หยางล่อให้กระทิงทองสองตัวไปทางระเบียงด้านซ้ายและเข้าไป กระทิงทองทั้งสองตัวไม่สามารถตามเข้าไปได้ ดังนั้นพวกมันจึงได้แต่คำรามอย่างโกรธกริ้วจากด้านนอก เย่ว์หยางถือโอกาสเรียกปีศาจดอกหนามของเขา เขาไม่ควรสูญเสียศพของนักรบหัววัวไปเปล่าๆ แน่นอน เรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับจากเย่ว์ปิง… เรื่องที่นางปีศาจดอกหนามกินนักรบนับจำนวนไม่ถ้วน แม้ที่เธอยังย่อยไม่เสร็จจะต้องไม่ให้ใครรู้ ในกิ่งก้านยักษ์ของดอกหนามปีศาจ มีศพของถูเฉิงและขวงจั่นเช่นกันที่ยังย่อยไม่เสร็จ

นางปีศาจดอกหนามดูเหมือนจะเก็บศพนักสู้ปราณก่อกำเนิดทั้งสองไว้เพื่อวิวัฒนาการรอบที่สามเป็นนางพญาดอกหนามมงกุฏทอง

เมื่อเย่ว์หยางเรียกนางปีศาจดอกหนามออกมา เขาก็ตระหนักได้ว่าเดิมทีนางปีศาจดอกหนามเป็นอสูรเงินระดับ 1 ตอนนี้ได้ยกระดับเป็นอสูรทองระดับ 1 ไปแล้ว ตัวของเธอที่กำลังเติบโตก่อนหน้านี้ราวๆ เด็กอายุ 11-12 ตอนนี้เธอกลับดูเหมือนเด็กผู้หญิงอายุ 13-14 ดูเหมือนว่าเธอจะเล็กกว่าเย่ว์ปิงเล็กน้อย เธอเริ่มจะมีเนินอกบ้างแล้วดูน่ารักเหลือเกิน ชุดที่เย่ว์หยางให้เธอไว้ตอนนี้เล็กเกินไปสำหรับเธอ นางปีศาจดอกหนามไม่ชอบสวมเสื้อผ้าเลย เมื่อถูกเรียกออกมา เธอกระโดดเข้าอ้อมแขนเย่ว์หยางหัวเราะอย่างร่าเริงทันที

หลังจากมีพัฒนาการแล้ว ดูเหมือนระดับปัญญาเธอก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ตอนนี้เธอรู้ว่าจะทำให้เจ้านายโปรดปรานได้อย่างไร

เธอใช้ลิ้นน้อยๆ เลียหน้าของเย่ว์หยางเหมือนกับว่าเป็นแมวตัวหนึ่ง

เย่ว์หยางเหงื่อไหลไม่หยุด โชคดีที่เย่ว์ปิงไม่เห็นภาพนี้ มิฉะนั้น นางคงคิดว่าเขาเป็นพวกโรคจิตชอบเด็กแน่ๆ

“ข้าไม่มีเวลาเล่นกับเจ้า ใส่เสื้อผ้านี่ก่อนและจัดการศพตรงนั้นให้หมด ข้ายุ่งจริงๆ นะ ไปเถอะ ปล่อยข้าได้แล้ว!” ปีศาจดอกหนามซุกซนมาก แต่คำพูดของเย่ว์หยางก็ยังมีผลต่อเธอ พอเขาสั่งเสร็จเธอก็รีบสวมเสื้อผ้าต่อหน้าเขาทันที ตอนนี้แม้ว่าเธอจะไม่ถึงกับเอากางเกงมาสวมหัว แต่เธอก็ยังไม่สามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างข้างหน้ากับข้างหลังของชุดเธอได้ โดยเฉพาะชุดชั้นในของเธอ เย่ว์หยางเหงื่อตกอีกครั้งเมื่อได้เห็นเช่นนี้เขารีบถอดเสื้อผ้าเธอออกและช่วยให้เธอได้สวมมันด้วยตัวเขาเองจนได้

เมื่อเขาช่วยเธอใส่เสื้อผ้า เขาก็คิดว่าเขาจะออกไปล่อกระทิงทองป่าได้อย่างไร แต่เขาก็ยังคิดเกี่ยวกับภาพงดงามที่เขาเห็นต่อหน้านี้ มันทำให้หัวใจเขาแทบมอดไหม้

ถ้านางปีศาจดอกหนามนี้โตมากกว่านี้ ดูเหมือนว่านางจะพัฒนากลายเป็นผู้ใหญ่ เป็นสาวงาม

พอถึงเวลานั้น เขาจะยอมปล่อยให้นางเปลือยกาย

เย่ว์หยางไม่กล้าคิดเลยเถิด เพราะเกรงว่าเลือดกำเดาจะพุ่ง

พอหันกลับไปเย่ว์หยางตระหนักได้ว่าอสูรพิทักษ์พฤกษาร้อยปีทั้งสองของเย่ว์ปิงถูกเนตรประหารของอสูรกระทิงป่าฆ่าตายแล้ว เขารีบสั่งให้นางพญากระหายเลือดบินไปช่วย และเผชิญหน้ากับกระทิงทองป่าทั้งสองตัว โคเงาได้รับการเสริมพลังด้วยเงาปีศาจยักษ์ ดังนั้นนางจึงอดทนสู้กับฝูงกระทิงป่าได้ นอกจากกระทิงเงินป่าระดับ 5 ทั้ง 5 ตัว ที่สามารถรับมือนางได้ ยังมีกระทิงทองแดงระดับ 5 อีก 10 ตัว ได้แต่กระตุ้นโคเงาและคอยเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ พวกมันไม่กล้าประจันหน้าโคเงา มิฉะนั้นพวกมันอาจถูกย่ำกระหน่ำจนจมกับพื้น

“อาหมัน! ใช้วิทยายุทธ จงใช้วิทยายุทธของเจ้า!” ก่อนหน้านั้นเย่ว์หยางสอนวิทยายุทธบางอย่างให้นาง แต่นางไม่ได้ใช้มันออกหรือมีโอกาสฝึกฝนทักษะต่อสู้ ดังนั้นนางจึงสู้ด้วยสัญชาตญาณ

ตอนนี้ เย่ว์หยางสามารถรู้สึกถึงจุดอ่อนของทักษะต่อสู้ปราณก่อกำเนิดของเขา…. บางทีองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพาเขามาที่นี่เพื่อให้เขาได้มีโอกาสรู้ว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ตรงไหน เขาแค่มีทักษะสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดขณะอยู่ในสภาวะปราณก่อกำเนิด ถ้าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่น พวกเขาจะไม่มีจุดอ่อนของเขา เพราะพวกเขาบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดด้วยความช่วยเหลือของสัตว์อสูรของพวกเขา นั่นหลังจากฝึกฝนอบรมมาเป็นร้อยปี ทักษะของพวกเขาจะลึกซึ้งและความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรของพวกเขาจะมีพลังที่สูงมาก นักสู้ปราณก่อกำเนิดที่มุ่งแต่จะฝึกพลังต่อสู้ของพวกเขาแต่เพียงอย่างเดียวอย่างถูเฉิงและขวงจั่นบางทีอาจมีอสูรที่อ่อนแอที่สุดในบรรดานักสู้ปราณก่อกำเนิดทั้งหมด เพราะฉะนั้นเมื่อเขาฆ่าทั้งสองคน พวกเขาไม่มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งไว้ปกป้องชีวิตพวกเขา ในที่สุด พวกเขาก็ถูกฆ่าทันทีที่ตัวเย่ว์หยางอยู่ในสภาวะคลั่ง… ถ้าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา พวกเขาก็จะไม่ถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ

ถ้าถูเฉิงและน้องชายของเขาไม่ได้พึ่งพาอาศัยอสูรสายเสริมพลัง หรือหนึ่งในพวกเขามีสัตว์อสูรที่มีระดับปัญญาสูงอย่างอสูรศักดิ์สิทธิ์ เขาก็คงไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ง่าย?

คนเราจะสามารถเดินได้ถูกต้องเป็นปกติก็ต่อเมื่อขาของเขายาวเท่ากัน

คนๆ หนึ่งจะกลายเป็นง่อย หากเท้าของเขาข้างหนึ่งยาวกว่าและอีกข้างสั้นกว่า

ตอนนี้ทักษะต่อสู้ของเขาสูงขึ้น แต่สัตว์อสูรของเขายังอ่อนแอ

นี่ นี่อาจเป็นเหตุผลให้องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนต้องการให้เขามาที่นี่และผ่านด่านวิหารสิบสองนักษัตรให้ได้ นางต้องการให้เขาฝึกฝนอสูรศักดิ์สิทธิ์และเพิ่มความแข็งแกร่งให้สัตว์อสูรของเขา

“พี่สาม! วิธีนั้นจะใช้ได้จริงๆ หรือ?” เย่ว์ปิงเห็นเย่ว์หยางกลับมาและมีความสุขที่เห็นเขา นางปรารถนาว่านางจะสามารถช่วยพี่ชายของนางได้สักนิดก็ยังดี แต่ฝีมือของนางยังอ่อนอยู่มาก ผู้พิทักษ์พฤกษาร้อยปี อสูรทองแดงระดับ 5 ที่แข็งแกร่งพอจะสู้กับนักรบธรรมดาได้ อย่างไรก็ตาม พอสู้กับฝูงอสูรกระทิงป่า ผู้พิทักษ์พฤกษาของนางไม่สามารถปกป้องตนเองได้ไม่ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกมันต้องจบชีวิตลงเพราะถูกจ้องด้วยเนตรประหาร หลายครั้งมาก ด้วยฝีมือของกระทิงทองแดงป่า ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับพวกมัน

โชคดีที่ผู้พิทักษ์พฤกษาร้อยปีเป็นอสูรพิทักษ์ที่ไม่มีทางตายจริงๆ

เย่ว์หยางยังคงไม่รู้ว่าวิธีลับที่ระบุไว้ในบันทึกลับจะใช้ได้ดีหรือไม่ แต่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ เขาต้องทำให้น้องสาวมั่นใจมากขึ้น

เขาพยักหน้ารับรองขณะที่มองดูเย่ว์ปิง

ถ้าวิธีลับนั้นใช้ได้จริงๆ ฉะนั้นเย่ว์หยางมีความมั่นใจว่าจะพาน้องสาวของเขาบุกด่านวิหารสิบสองนักษัตรให้ตลอด… ถ้าวิธีลับนั้นใช้งานได้ดีแน่นอน เย่ว์หยางมีความมั่นใจที่จะฝึกฝนให้เย่ว์ปิง, เจ้าเมืองโล่วฮัวและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด อย่างไรก็ตาม พวกนางต้องประสบข้อเสียเปรียบเล็กน้อย เพราะวิธีลับนั้น มัน…..

************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด