ตอนที่ 213 – ตอนที่ 197 วิหารทอรัส
พอได้ฟังความคิดของเย่ว์หยาง เย่ว์ปิงเขินทันที แต่ก็ยังถามอย่างตื่นเต้น “ท่านทำได้จริงๆ หรือ?”
เย่ว์หยางไม่เคยลองทำมาก่อน ดังนั้นเขาไม่อาจมั่นใจได้ อย่างไรก็ตาม เขาลูบหัวน้องสาวและให้กำลังใจนางอีกเล็กน้อย
วิหารทอรัสดูไม่ต่างจากวิหารแอรีสนัก แต่ใหญ่กว่ามาก
ไม่มีอสูรจักรกลอยู่ข้างหน้า แต่มีรูปปั้นหัววัวอยู่แถวหนึ่ง เมื่อฮุยไท่หลางเดินเข้าไปใกล้พวกมัน ประติมากรรมหัววัวเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นนักรบหัววัวทีละตัวทันที นักรบหัววัวเหล่านี้ไม่ได้มีระดับสูงนัก แค่อสูรทองแดงระดับ 3 เย่ว์ปิงก็สามารถเอาชนะพวกมันได้ทั้งหมดถ้านางเรียกผู้พิทักษ์พฤกษาร้อยปีทั้งสองออกมา เย่ว์หยางสั่งให้ฮุยไท่หลางรั้งท้ายและคอยฆ่านักรบหัววัวด้านนอก
ถ้าเป็นฮุยไท่หลางในอดีต บางทีมันคงไม่สามารถรับมือได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มันได้ไปที่ทะเลสาบเทียมเมฆและได้ต่อสู้ครั้งใหญ่กับถูลี่และเพิ่มระดับเป็นหมาป่าปีศาจทลายโลก อสูรชั้นทอง พลังของมันก็เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล
หลังจากนั้น มันยังสามารถฆ่าเจ้ายักษ์สิงเหมิ่งได้อีก
อาจกล่าวได้ว่าฮุยไท่หลางต่างจากหมาป่าปีศาจหลังเหล็กตอนที่เข้าวิหารแอรีสก่อนหน้านั้นสิ้นเชิง
เย่ว์หยางและเย่ว์ปิงบุกเข้าไปส่วนในของวิหาร นักรบหัววัวเหล่านั้นตอนแรกคำรามเสียงลั่นใส่พวกเขา แต่พวกมันไม่ได้โจมตีพวกเขาที่มีโล่แสงคัมภีร์ป้องกันไว้ พวกมันทั้งหมดตรงเขาเล่นงานฮุยไท่หลางซึ่งปลอมตัวเป็นอสูรทองแดงระดับ 3
พอดึงมือน้องสาวได้ เย่ว์หยางตรงไปที่ระเบียงรูปวงแหวนรอบๆ ตัวพวกเขาและพบว่ามีนัยน์ตาปีศาจที่ยังหลับอยู่ปรากฏอยู่ทุกที่
นัยน์ตาปีศาจเหล่านี้ลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่พวกมันยิงแสงสีขาวออกมาจากลูกตาขนาดยักษ์ของพวกมันได้
ถ้าเป็นนักรบอื่น พวกเขาคงพยายามหลบแสงก่อนแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นนักรบธรรมดา บางทีอาจเสร็จตั้งแต่เจอกับกลุ่มนักรบหัววัวชุดแรกไปแล้ว จำกัดเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงอาจหมดไปเลยก็ได้ บางทีพวกเขาอาจจะวุ่นการการฆ่าดวงตาปีศาจเหล่านี้ แต่เย่ว์หยางและเย่ว์ปิงบุกผ่านพื้นที่ดวงตาปีศาจตั้งแต่ยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ แสงของดวงตาปีศาจที่ยังหลับอยู่เป็นร้อยยิงใส่พวกเขาท่ามกลางความระส่ำระสาย พวกมันกรีดร้องอย่างเกรี้ยวกราด เหมือนกับว่าพวกมันต้องการจะข่มขู่ศัตรูเพียงอย่างเดียว
เย่ว์หยางไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แต่เย่ว์ปิงตกใจเล็กน้อย
ถ้านางเป็นเพียงคนเดียวที่บุกเข้ามาท้าประลอง นางคงหวาดกลัวแน่นอน แต่พี่ชายนางดึงมือนางให้มุ่งไปข้างหน้า ดังนั้นเท้าของเย่ว์ปิงยังคงวิ่งไปโดยไม่หยุดไปตามระเบียง
ดวงตาปีศาจพยายามไล่ตามพวกเขา แต่ต้องรีบถอยออกมาเมื่อพวกมันตามไปถึงสุดทางระเบียง เหมือนกับว่าพวกมันกลัวระดับตัวหัวหน้าที่อยู่ในห้องถัดไป
“สวรรค์!” เย่ว์ปิงเมื่อบุกเข้าไปได้ก็ต้องตกใจหนัก เพราะภาพข้างหน้าที่รอพวกเขาอยู่ทำให้นางร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
ฝูงอสูรกระทิงป่าปรากฏอยู่ข้างหน้าเย่ว์หยางและเย่ว์ปิง
กระทิงป่าที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าสิบตัว แต่ละตัวเป็นอสูรทองแดงระดับ 5 นอกจากนี้ยังมีกระทิงป่าห้าตัวที่ดูแล้วแข็งแกร่งมากเต็มไปด้วยมัดกล้ามและจมูกของมันพ่นไฟออกมา ทั้งหมดเป็นอสูรเงินระดับ 5 สุดท้ายก็ยังมีกระทิงป่าอสูรทองระดับ 5 อีกสองตัว ร่างของพวกมันใหญ่กว่าบ้านไม้ทั้งหลัง ขาของพวกมันใหญ่กว่าตัวเย่ว์หยางและตาของมันแดง เหมือนกับว่าพวกมันจะหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด พวกมันจ้องเย่ว์หยางและเย่ว์ปิง กระทิงป่าอสูรทองระดับ 5 ที่น่ากลัวทั้งสองตัวนี้ดูเหมือนจะเป็นรองหัวหน้า ยังมีพื้นที่แห่งหนึ่ง เป็นจุดที่น่ากลัวอยู่ตรงกลางของกระทิงป่าทองทั้งสองตัวที่ไม่อาจเข้าไปถึงได้
มันกินพื้นที่ 20% ของพื้นที่ทั้งหมด ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวใดเข้าไปในพื้นที่นี้
นี่เป็นกระทิงเผือก ไม่ใช่กระทิงป่า ดูเหมือนมันจะไม่มีพลังต่อสู้อะไรๆ เลย
จากด้านนอก กระทิงเผือกนี้ดูเหมือนจะเล็กที่สุดในกลุ่มกระทิงป่าดูไม่เหมือนตัวหัวหน้าเลย อย่างไรก็ตาม ไม่มีกระทิงป่าตัวใดกล้าเข้าไปใกล้มัน ตาของเย่ว์หยางแหลมคม เขามองเห็นได้ชัดว่ามีสมบัติระดับทองคล้ายกระดิ่งจากวิหารแอรีส ห่วงทองแขวนอยู่ที่จมูกกระทิงเผือก
กระทิงเผือกไม่สนใจการมาถึงของเย่ว์หยางและเย่ว์ปิง ยังคงหลับอุตุอยู่ในห้วงนิทราต่อไป
เย่ว์หยางตระหนักว่ามีบางอย่างแปลก
แรงกดดันที่เขารู้สึกได้จากอสูรของถูเฉิง อสูรยักษ์โบราณและมังกรชั้นทองระดับ 7 ไม่ใช่แรงกดดันที่ทรงพลังเหมือนที่เขารู้สึกจากกระทิงเผือก อสูรทองระดับ 6 ตัวนี้และไคเมราสามหัวจากวิหารแอรีส กระทิงเผือกตัวนี้ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น ดูเหมือนว่ามันยังฉลาดมากอีกด้วย… มันทำให้เย่ว์หยางรู้สึกว่ามันมีความฉลาดอย่างมนุษย์
ถ้าเย่ว์หยางเปรียบเทียบ เขารู้สึกว่าอสูรยักษ์โบราณและมังกรทอง อสูรชั้นทองระดับ 7 ยังไม่แข็งแกร่งไม่เท่าตั๊กแตนมรณะ อสูรทองระดับ 7
ทำไมความแตกต่างของพวกมันถึงได้แตกต่างเมื่อระดับของพวกมันก็เท่ากัน?
เป็นเพราะตัวหนึ่งเป็นอสูรสายเสริมพลังและอีกตัวหนึ่งเป็นอสูรสายนักสู้หรือเปล่า?
เย่ว์หยางจำบางอย่างได้ทันที ตอนที่เขาได้อ่านจากบันทึกลึกลับ ซึ่งเป็นเรื่องที่แม่เฒ่าอู่เถิงได้เคยพูดถึงมาก่อน
แม่เฒ่าอู่เถิงเคยบอกไว้ก่อนว่ามีเพียงอสูรที่มีระดับสติปัญญาสูงจึงจะสามารถวิวัฒนาการเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์และมันจะแข็งแกร่งขึ้น มารดาของสหายผู้น่าสงสารได้เขียนบอกไว้จุดหนึ่ง นั่นก็คือสัตว์อสูรจะมีการเติบโตได้เร็ว ถ้ามันมีประสบการณ์ผ่านการฝึกฝนบ่มเพาะในแต่ละระดับยาวนานพอ ถ้าเขาโยงจุดที่แม่เฒ่าอู่เถิงพูดถึงและคำพูดของมารดาของสหายผู้น่าสงสาร นั่นก็หมายความว่าอสูรทั้งสองตัวมีระดับเดียวกันหรือแม้กระทั่งสัตว์อสูรที่เหมือนกันมีระดับเดียวกัน แต่เส้นทางการวิวัฒนาการต่างกัน หากพวกมันได้รับการปลูกฝังที่ต่างกัน พลังของพวกมันก็จะแตกต่างกันมาก
แม้ว่าอสูรยักษ์และมังกรทองของถูเฉิงจะเป็นสัตว์อสูรเหนือกว่าและมีระดับที่สูง ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ยังเทียบไม่ได้กับตั๊กแตนมรณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าด้วยซ้ำ
พวกมันยังเทียบไม่ได้กับไคเมราสามหัวและกระทิงเผือกที่เป็นอสูรชั้นทองผู้ปกป้องวิหารสิบสองนักษัตรและมีสติปัญญาอีกด้วย
แม้ว่าไคเมราสามหัวและกระทิงเผือกทองจะไม่ใช่อสูรในตำนาน แต่พวกมันก็คงไม่ห่างกันนัก
ความคิดผุดขึ้นมาในใจของเย่ว์หยาง ถ้าอสูรเติบโตขึ้นแบบนั้น จะสามารถฝึกฝนบ่มเพาะมนุษย์ในทำนองเดียวกันได้หรือไม่? นักรบจำนวนมาก ไต่ระดับไปถึงเป็นนักรบระดับ 4 หรือแม้แต่ระดับ 5 แต่พวกเขาไม่สามารถไปถึงระดับ 6 ได้หลังจากผ่านมาทั้งชีวิต ในทางตรงกันข้าม นักรบคนอื่นๆ ที่ฝึกฝนค่อยๆ เพิ่มความแข็งแกร่งอย่างอดทนและช้าๆ ต่อเนื่องและค่อยๆ ก้าวหน้าอาจยกระดับได้ถึงระดับที่ 6 หรือสูงกว่า ตัวอย่างเช่น คนอย่างเย่ว์ปิง ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างระมัดระวังมาตลอดอย่างนี้ ความแข็งแกร่งของนางเทียบได้กับนักสู้ระดับ 5 บางคน และจะไม่เสียเปรียบในการต่อสู้แม้สถานะนักสู้ในปัจจุบันของนางจะอยู่ในระดับ 3 นี่ก็หมายความว่านักรบที่ฝึกฝนอบรมนานกว่า ผ่านประสบการณ์มามากก็มีความแข็งแกร่งในหมู่พวกคนระดับนั้นเลยทีเดียว
ตรงจุดนี้เย่ว์หยางไม่สามารถยืนยันได้แน่นอน
แต่เขาตัดสินใจให้คำปรึกษาเย่ว์ปิงตามวิธีนี้ เขาไม่ยอมให้นางเพิ่มระดับจนกว่าความแข็งแกร่งของนางจะไกลพอข้ามระดับของนางได้ ในที่สุดนางก็จะยกระดับขึ้นไปเองตามชาติของนางเอง
พอคิดเรื่องของเขาเอง เย่ว์หยางตระหนักว่าเขาก็ผ่านมาในแนวทางเดียวกันนั้น
“ปิงเอ๋อ! อย่ากลัว ตอนนี้เรามีโล่ปกป้องอยู่ ดังนั้นพวกมันยังไม่สามารถทำอะไรเราได้ ไปกันเถอะ ตรงไปทางระเบียงซ้าย” ตอนนี้เย่ว์หยางตระหนักว่า นอกจากความแตกต่างในเรื่องความแข็งแกร่งในระดับที่ต่างกันแล้ว สัตว์อสูรที่อยู่ในระดับเดียวกันยังมีพลังที่แตกต่างกันอีกมาก มีความแตกต่างในเรื่องพลังอย่างใหญ่หลวงระหว่างอสูรที่มีสติปัญญาและอสูรระดับธรรมดา
มิน่าเล่าแม่เฒ่าอู่เถิงถึงได้บอกว่าสัตว์อสูรที่ฉลาดสามารถวิวัฒนาการไปเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้
กระทิงทองป่า อสูรทองระดับ 5 ทั้งสองตัวปกติที่ช่วยสนับสนุนจะอ่อนแอกว่ากระทิงเผือกระดับ 6 ตัวนี้ถึง 10 เท่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนความแตกต่างเรื่องพลังของพวกมันจะแตกต่างกันถึงร้อยเท่า
เมื่อเขาทำศึกใหญ่กับไคเมราสามหัวครั้งก่อน เสี่ยวเหวินหลียังต้องใช้ความสามารถอย่างมากและเกือบจะฆ่าไคเมราสามหัวได้ แต่มันฟื้นตัวไปอยู่ในสถานะเริ่มต้นด้วยเวทวิเศษของวิหารแอรีส ตอนนี้ดูเหมือนว่ากระทิงเผือกตัวนี้จะไม่ใช่คู่ต่อกรที่จัดการได้ง่าย ถ้าเย่ว์หยางใช้พลังปราณก่อกำเนิดของเขา เขาก็สามารถเอาชนะมันได้ง่าย แต่ภายใต้กฎโบราณวิหารสิบสองนักษัตรในแดนดาว เขาเพียงแต่ดูโดยทำอะไรไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น เขาใช้พลังปราณก่อกำเนิดมากเกินไปตั้งแต่ครั้งก่อนนั้น แม้ว่าเขาสามารถใช้พลังปราณก่อกำเนิดที่นี่ เย่ว์หยางคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนเพื่อฟื้นฟูพลังให้ได้เหมือนก่อน เย่ว์หยางมีความคิดว่าเขาชนะอีก 11 วิหารที่เหลือได้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงยังเป็นไปไม่ได้
ที่ท้ายระเบียงด้านซ้าย มีนักรบหัววัวอยู่ฝูงหนึ่ง
เย่ว์หยางและเย่ว์ปิงเรียกคัมภีร์ของตนออกมาพร้อมกัน เย่ว์ปิงเรียกผู้พิทักษ์พฤกษาร้อยปีทั้งสองออกมา และทำตามคำสั่งของเย่ว์หยาง นางเก็บคัมภีร์ของนาง เพื่อที่ว่าอาจจะไม่ได้รับค่าประสบการณ์ต่อสู้ใดๆ เลย เย่ว์หยางกลับตรงกันข้าม กลับเขาเรียกโคเงาและนางพญากระหายเลือดออกมา เขายังไม่สามารถเรียกนางพญากระหายเลือดได้ แต่เสี่ยวเหวินหลีช่วยเขาเรียกนางออกมา เย่ว์หยางพูดไม่ออกนิดหน่อย เขาไม่สามารถควบคุมอสูรของเขาเองอย่างคาดไม่ถึง และไม่ใช่แค่เพียงนางพญากระหายเลือดเท่านั้น ดูเหมือนนอกจากเสี่ยวเหวินหลีและโคเงาแล้ว ไม่มีอสูรอื่นเชื่อฟังเขาเลย
การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว แต่เย่ว์หยางยังไม่ได้พาเย่ว์ปิงไปทางระเบียงด้านขวาทันที เขากลับมองหาดูว่ามีสิ่งประดิษฐ์ใดๆ อยู่หรือไม่
ว่ากันตามกติกาแล้ว น่าจะมีสิ่งประดิษฐ์สักอย่างที่นี่ที่จะช่วยพวกเขาพิจารณาตัดสินใจได้
เย่ว์หยางมองหาห้องโถงซ้าย ค้นหาทุกซอกทุกมุม และในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่านอกจากภาพวาดมหึมาบนผนังแล้ว ไม่มีอะไรอยู่เลย
บนภาพขนาดยักษ์ นักรบหัววัว 2-3 ตัวกำลังฆ่ากระทิงป่า ภาพวาดสีดูเหมือนจริงมาก อสูรกระทิงป่าปล่อยเนตรประหาร นักรบหัววัวตนหนึ่งตายจากการจู่โจมของมัน นักรบหัววัวที่เป็นสหายยืนอยู่ถัดออกไปกวัดแกว่างขวานของมันอย่างคั่งแค้นฟันใส่กระทิงป่า ไม่มีอะไรผิดปกติกับภาพวาดสีนี้และไม่มีกลไกลับอื่น
ไม่มีสมบัติ ไม่มีอะไรที่มีลักษณะเป็นกลไกลับ
เย่ว์หยางสับสนไปหมด
เย่ว์หยางไม่สนใจกำหนดเวลาครึ่งชั่วโมงที่โล่ป้องกันพวกเขาจะหายไปในวินาทีเดียว แต่เท่าที่เย่ว์ปิงยังคงเป็นกังวล โล่ป้องกันนี้เป็นเครื่องป้องกันที่สำคัญที่สุด
ถ้าต่อมานางจำเป็นต้องสู้ นางต้องมีโล่ป้องกันแน่นอน
อสูรที่ด้านนอกเป็นกระทิงป่าทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องตลกถ้าพวกมันใช้พลังเนตรประหารจู่โจม
เย่ว์หยางแบกเย่ว์ปิงขณะที่พวกเขาต้องรีบไปทางระเบียงด้านขวา พวกเขาเหินผ่านกระทิงเผือกไปทันที เย่ว์หยางคาดการณ์ถูกต้อง แม้ว่ากระทิงทองป่าเหล่านั้นจะโกรธเกรี้ยว พวกมันก็ไม่กล้าเข้ามาในพื้นที่ของกระทิงเผือก กระทิงเผือกตัวนั้นกลับตรงกันข้าม มันยังคงนอนกรนหลับใหลของมันต่อไป นางพญากระหายเลือดปรากฏของบนท้องฟ้า ทำให้เกิดความปั่นป่วนในกลุ่มกระทิงป่า นางพญากระหายเลือดตอนนี้เป็นอสูรชั้นแพลตตินัมระดับ 5 และยังจัดเป็นจ้าวอสูรอีกด้วย พลังกดดันที่มองไม่เห็นของนางทำให้ฝูงกระทิงป่าไม่ค่อยพอใจ
แม้แต่กระทิงเผือกก็ยังลืมตาตื่นจากการหลับ แต่พอนางพญากระหายเลือดบินผ่านมันไป มันก็หลับตานอนต่อไป
โคเงาก็โดดผ่านพวกมันไปเช่นกัน
ผู้พิทักษ์พฤกษาร้อยปีทั้งสองเดินตามมาอย่างงุ่มง่าม
กระทิงเผือกลืมตาของมันทันทีและด้วยการจ้องเพียงครั้งเดียว กลับเป็นเหมือนว่าผู้พิทักษ์พฤกษาทั้งสองเหมือนถูกค้อนทุบข้างหน้า กระเด็นไปข้างหลังไกลกว่าสิบเมตร โชคดีที่ผู้พิทักษ์พฤกษามีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง พวกมันได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังไม่ตาย พวกมันค่อยๆ ลุกกลับมาและยังคงตามเจ้านายของมัน เย่ว์หยางและเย่ว์ปิงเข้าไปในทางเข้าของระเบียงแล้วรีบหันกลับมาดูทันที พอเห็นภาพที่เกิดข้างหน้านี้ พวกเขาประหลาดใจอย่างมาก
เย่ว์หยางไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมกระทิงเผือกนี้ถึงได้โจมตีผู้พิทักษ์พฤกษาแต่กลับปล่อยโคเงาให้วิ่งผ่านไป ทำไมมันถึงไม่โจมตีโคเงา?
เวลาไม่คอยท่า พอเห็นว่าผู้พิทักษ์พฤกษายังไม่ตาย เย่ว์หยางไม่มีเวลาวิเคราะห์ เขารีบพาเย่ว์ปิงกลับเข้าไปในห้องโถงด้านซ้าย
ความเร็วของนางพญากระหายเลือดเร็วมาก นางเริ่มสู้กับนักรบหัววัวที่ห้องโถงขวา
โคเงาตามมาร่วมต่อสู้ด้วย
เย่ว์หยางพาเย่ว์ปิงไปยืนอยู่ในท่ามกลางสนามต่อสู้ที่ชุลมุน จ้องมองไปที่ผนังห้องโถงด้านขวา ก็ต้องตะลึง มีภาพที่สับสนซึ่งถูกเลื่อนสลับตำแหน่งจนสับสน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องจัดเรียงภาพยักษ์นี้ในห้องโถงซ้ายเสียใหม่ เพื่อเปิดใช้กลไกลับและใช้สมบัติ
“สวรรค์! ทำไมพวกเขาชอบเล่นตลกกับคนมากนักนะ” เย่ว์หยางเหงื่อผุดเป็นเม็ด
เขาเพียงสนใจกลไกลับ หรือทำลายผนึกในตอนนี้ แม้ว่าเขาเห็นภาพมาแล้ว แต่เขาก็จำภาพไม่ได้ทุกชิ้น ถ้าเขาไม่เลื่อนภาพต่อปริศนานี้ให้จบและเปิดกลไกลับ ถ้าไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา เย่ว์หยางจะวิ่งกลับไปดูภาพสมบูรณ์อีกฝั่งหนึ่งแน่ อย่างไรก็ตาม มีนาฬิกาทรายในห้องโถงขวา
นาฬิกาทรายเริ่มทำงานเมื่อนางพญากระหายเลือดเริ่มสู้กับนักรบหัววัวแล้ว ทรายในนาฬิกาทรายเริ่มไหลลงมาข้างล่างอย่างต่อเนื่อง
มีเวลาเหลือไม่เกินสิบนาทีจนกว่านาฬิกาทรายจะทำงานเสร็จ
เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะวิ่งกลับไปที่ระเบียงซ้ายมือ และดูจำภาพวาดที่สมบูรณ์อย่างระวัง จากนั้นวิ่งกลับมาที่ระเบียงขวาเพื่อมาเลื่อนภาพปริศนา
ถ้าเป็นอีกคน พวกเขาก็ยังไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะคนอื่นๆ อาจจะไม่สามารถฆ่านักรบหัววัวได้ภายในสิบนาที
แต่เย่ว์หยางไม่ต้องการยอมแพ้
“ปิงเอ๋อ, ดูแลตัวเองด้วยนะ ข้าจะแก้ปริศนาภาพเลื่อน เราจะสามารถเปิดกลไกสิ่งประดิษฐ์ได้ ถ้าเราแก้ปริศนาภาพเลื่อนได้ ยืนห่างออกไปนิด เพราะอาจมีกับดักที่ทำงานโดยกลไกลับได้” เย่วหยางวางเย่ว์ปิงลง เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะแก้ปริศนาภายในสิบนาทีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาจำรายละเอียดได้ไม่มากนัก เย่ว์หยางจำได้แต่เพียงว่ามีนักรบหัววัวกลุ่มหนึ่งกำลังฆ่ากระทิงป่า ตอนนี้ ภาพแยกออกเป็นหลายส่วน เมื่อเย่ว์หยางพยายามแก้ปัญหาเขาพยายามย้ายภาพต่อไปทางขวาขึ้นและลง เขาไม่สามารถเลื่อนไปทางซ้ายได้ น่าปวดหัวจริงๆ
“พี่สาม, พี่ทำได้อยู่แล้ว” เย่ว์ปิงมั่นใจในตัวเย่ว์หยางเต็มที่
“….” เย่ว์หยางแอบสบถคนที่ออกแบบภาพเลื่อนปริศนาบนผนังนี้ในใจเท่าที่ทำได้ เขาไม่รู้ว่าใครที่โหดร้ายนักทำให้คนอื่นต้องมาแก้ปัญหาแบบนี้
เวลาผ่านไปวินาทีแล้ว วินาทีเล่า
เย่ว์หยางยังไม่สามารถแก้ปริศนาภาพเลื่อนบนผนังได้
เย่ว์หยางคิดจะเอาค้อนออกมาและทุบภาพปริศนาให้แหลกเป็นชิ้น แต่เขาก็อดทนต่อไป
เขาเตือนตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาต้องใจเย็น เวลาแบบนี้เขาต้องสงบใจ มิฉะนั้น จะกลายเป็นยิ่งเร่งก็ยิ่งช้า ผู้ออกแบบการพิจารณานี้ต้องมีความต้องการจะทดสอบการควบคุมจิตใจของผู้ท้าแข่งขันและเสียเวลาของเขาไป ทำให้พวกเขาตัดสินใจล้มเหลวในที่สุด เนื่องจากผู้ออกแบบได้ออกแบบปริศนานี้ไว้ ต้องมีสักทางที่จะจบปริศนานี้ได้ ต้องมีเวลาพอที่จะจบปริศนานี้
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีโอกาสแก้ปริศนาได้ทั้งหมด
เย่ว์หยางพยายามใช้ความรู้สึกของเขา แต่ก็ใช้ไม่ได้
ภาพวาดนี้ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด มันเป็นแค่กลไกลอย่างง่ายๆ ไม่มีทางลัดในการใช้มัน เขาต้องแก้ภาพปริศนาให้ได้ก่อนที่จะเอาชัยในขั้นตอนนี้
“พี่สาม? จะ จะให้ข้าช่วยด้วยไหม? ให้ข้าช่วยท่านนะ!” พอเห็นว่าเย่ว์หยางหยุดมือจากการพยายามแก้ปริศนา เย่ว์ปิงก็เข้ามาปลอบเขาทันที “พี่สาม! เราจะทำได้แน่ๆ มาช่วยกันคิดเถอะ!”
“ก็ได้” เย่ว์หยางรู้ว่าเย่ว์ปิง ก็ไม่อาจจะช่วยได้ แต่เขายิ้มให้นาง
มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะลองกู้ปริศนาจากความทรงจำของพวกเขา
พวกเขาต้องหาปมที่สำคัญที่สุดของปริศนา.. ต้องมีจุดที่ช่วยให้กู้คืนภาพที่เหลือ พอเห็นวิธีที่ชิ้นภาพต้องเลื่อนไปทางด้านขวา ขึ้นและลง ก็จะต้องมีชิ้นที่เป็นใจกลางของภาพวาด แค่เพียงหาชิ้นนั้นให้พบ เขาก็จะสามารถปะติดปะต่อเชื่อมชิ้นภาพที่เหลือได้ บรรดาชิ้นภาพ 20 ชิ้นใหญ่ ต้องมีชิ้นหนึ่งเป็นตัวกำหนดตำแหน่ง
มันคือชิ้นนั้นหรือเปล่า?
เป็นชิ้นที่วัวป่ากำลังจ้องมองนักรบหัววัวหรือเปล่า? หรือว่าเป็นชิ้นที่นักรบหัววัวพยายามฟันใส่กระทิงป่าอย่างโกรธแค้น?
ถ้าเขาผิด การทดลองของเขาก็จะล้มเหลว เขาควรจะเลือกอย่างไรดี?
ทรายจากนาฬิกาทรายดูเหมือนจะร่วงเร็วขึ้น
เวลาไม่คอยใคร
เย่ว์หยางรู้สึกว่าทั้งสองชิ้นนี้เป็นไปได้ว่าอาจเป็นปมปริศนา เขากัดฟันและตัดสินใจลองดู
ขณะที่เย่ว์หยางจะโดดขึ้น เขารู้สึกเจ็บตาของเขาขึ้นมาทันที มันเหมือนกับมีแสงแพรวพราวซึมเข้าไปในสมองของเขาผ่านเปลือกตาที่ปิดของเขา จู่ๆ ก็มีแสงสว่างปรากฏในความมืด จากมุมมองของเย่ว์ปิง พี่ชายของนางจู่ๆ ก็มีแสงสีทองอาบตัว แม้ว่ามือของเย่ว์หยางจะปิดตาเขาไว้ เย่ว์ปิงเห็นแสงฉายผ่านออกมาจากร่องนิ้วมือของเขา มันสว่างจนเย่ว์ปิงไม่สามารถเห็นพี่ชายนางได้ชัด
เย่ว์ปิงยินดีเหลือเกิน เป็นไปได้ว่าพี่ชายของนางคงบรรลุขอบเขตอย่างใดอย่างหนึ่งในเวลานี้ หรือจะเป็นทักษะอำพรางที่เขาปิดบังเอาไว้?
อาจเป็นไปได้ว่า เขาได้ยกระดับขึ้น หลังจากใช้ทักษะอำพรางแก้ปริศนา?
*************