ตอนที่ 20 : วิชาต่อสู้ใหม่
หลินมู่เริ่มที่การฝึกฝนร่างกายก่อน เขาวิ่งหลายรอบ ดันพื้น ลุกนั่ง และฝึกปล่อยหมัด ท้ายสุดจึงมาฝึกการใช้ดาบตามวิธีที่เคยเห็นทหารในเมืองใช้
หลินมู่ฝึกมากกว่า 3 ชั่วโมง หลังจากที่เขาเหนื่อยล้าหมดแรง เขารีบนั่งลงและท่องบทสงบใจซึ่งจากนั้นทำให้เกิดคลื่นความสงบแผ่กระจายไปทั่งร่าง ครั้งนี้เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่มิใช่เพียงแค่กล้ามเนื้อ แต่ยังไปถึงผิวหนังด้วย คลื่นพลังเพิ่มขึ้นจนกระทั่งไปถึงจุดสูงสุดก่อนจะหายไป จากนั้นหลินมู่จึงท่องบทสงบใจอีกครั้ง
ในการทำซ้ำแต่ละครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตจากเนื้อสัตว์ที่เขากินเข้าไปได้ย่อยสลาย ขั้นตอนนี้ดำเนินไปเกินครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นพลังชีวิตที่ได้จากการกินเนื้อสัตว์ก็ถูกดูดซับไปจนหมด หลินมู่หยุดเมื่อรู้สึกราวกับว่ากำลังหิวโหย
เขากลับกระท่อมเพื่อหุงข้าวขณะที่เฉือนชิ้นเนื้อจากหมูป่า เขาลูบเครื่องเทศกับชั้นไขมันที่ชิ้นเนื้อและเสียบไม้ เขารอข้าวหุงสุกเพื่อที่จะนำมันใส่เตา
‘ข้าน่าจะสร้างเตาใหญ่ไปทำอาหารข้างนอก ไม่อยากจะรอทุกครั้งที่หิวแบบนี้เลย’
หลินมู่คิด
ขณะที่รอ เขาเพิ่มไม้เติมเชื้อไฟให้กับเตา เขามองที่ด้านข้างและเห็นว่าฟืนกำลังจะหมด
‘พรุ่งนี้ข้าต้องไปหาฟืนมาเพิ่ม ถ้าข้ามีขวานคงจะดีกว่า แต่มีดาบสั้นก็น่าจะฟันต้นไม้เล็ก ๆ ได้ แล้วก็ได้ฝึกดาบด้วย’
หลินมู่คิด
ไม่นานข้าวก็สุกและหลินมู่ก็นำเนื้อไปย่าง กลิ่นหอมของไขมันเนื้อโชยมาจนเขาน้ำลายไหลพร้อมกับท้องที่ส่งเสียงครวญครางด้วยความหิวโหย รอเพียงไม่นานหลินมู่ก็ได้กินอาหารมื้อเย็นแสนอร่อยจนปากกับนิ้วมือของเขาเต็มไปด้วยคราบมันจากเนื้อ
ยิ่งหลินมู่ฝึกมากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่าความหิวของเขาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งความจริงก็คือปริมาณอาหารที่หลินมู่กินในหนึ่งมื้อนั้นมากกว่าปริมาณที่เขากินในสัปดาห์ที่แล้วถึงสองเท่า หลินมู่แปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ตระหนักถึงมันและสงสัยว่าเขาจะต้องกินมากเท่าใดเมื่อกลายเป็นผู้บ่มเพาะปราณ
เขาไม่รู้เรื่องพฤติกรรมหรือชีวิตของผู้บ่มเพาะพลังมากนัก เว้นเสียแต่เรื่องที่ผู้บ่มเพาะพลังนั้นแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอย่างมากและมีอายุขัยที่ยาวนานกว่า
ผู้บ่มเพาะปราณนั้นมีชีวิตอยู่ได้ถึง 200 ปีขณะที่คนทั่วไปจะมีชีวิตได้ราว 100 ปีเท่านั้น หลินมู่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าผู้บ่มเพาะพลังระดับสูงกว่านี้จะอยู่ได้นานเพียงใด แต่จากตำนานกล่าวขานกันมานั้นกล่าวว่าพวกเขาอาจกลายเป็นเซียนและอยู่ได้โดยเป็นอมตะ
เมื่อกินเสร็จ หลินมู่รู้สึกถึงความอบอุ่นอันเบาสบายกระจายออกมาจากกระเพาะและฟื้นฟูพลังของเขา เขานั่งลงท่องบทสงบใจจนกระทั่งพลังชีวิตจากเนื้อถูกดูดซับจนหมดสิ้น หลินมู่รู้สึกว่าครั้งนี้เขาดูดซับพลังจากเนื้อได้เพียงครึ่งเดียว ขณะที่พลังที่เหลือยังคงอยู่ในร่างกาย
‘ถ้าหากว่าข้าไม่ฝึกฝน พลังของบทสงบใจก็คงไม่ได้ดีเท่าใดนัก แต่ถึงอย่างนั้นพลังที่ข้าดูดซับได้ก็มากกว่าที่ได้จากหงส์ปีกตะขอแล้ว ปริมาณพลังชีวิตของสัตว์ชั้นกลางเทียบไม่ได้กับสัตว์ชั้นต่ำเลย’
หลินมู่คิดและเข้าใจวิธีการฝึกฝนที่ถูกต้อง
ดวงตะวันลับฟ้าเข้าสู่ยามวิกาล แม้แต่จันทร์เสี้ยวก็มิได้มีให้เห็นเพราะถูกซ่อนเร้นในเมฆา หลินมู่เงยหน้ามองท้องนภาทมิฬและครุ่นคิดเรื่อยไป เขาเคยมีความสุขในการมองท้องนภายามค่ำคืนตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก แต่วันเวลาวัยนี้มิได้ให้เวลาเขาทำเช่นนั้นอีกแล้ว
ขณะที่แหงนหน้ามองขึ้นไป หลินมู่รู้สึกถึงแหวนที่สั่นสะเทือน
“ครั้งนี้มาช้า ไม่รู้เลยว่าแหวนนี่ทำงานยังไง มันสุ่มเปิดรอยแยกมิติหรือมีรูปแบบกัน?”
หลินมู่ถามตัวเอง
เขายื่นแขนออกไปเพราะรู้อยู่แล้วว่ารอยแยกมิติจะปรากฏออกมา แต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่ามีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าดึงเขาในตอนที่รอยแยกมิติเปิดออกมาในครั้งแรก เขาถูกดึงไปทางป่าไกลกว่า 600 เมตรจากนั้นก็ได้หยุดลง
“บัดซบเอ้ย แย่แล้ว ข้าต้องระวังอันตรายด้วยทุกอย่างที่ข้ามี”
หลินมู่สบถและชักดาบออกจากฝักด้วยมือซ้าย
ไม่นานรอยแยกมิติก็เปิดตรงหน้า มือของเขาถูกดูดเข้าไป หลินมู่รีบควานหาของข้างในรอยแยกอย่างบ้าคลั่งไม่ว่าจะเจออะไรก็ตามเพื่อที่จะออกจากป่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เคราะห์ดีที่ไม่มีเหตุอันตรายเกิดขึ้น และเขาก็หาของในรอยแยกมิติเจอในอีกห้านาทีต่อมา ทันทีที่เก็บของในแหวนแล้วหลินมู่ก็วิ่งออกจากป่าด้วยความเร็วสูงสุดที่ทำได้ เขาเรียกของสิ่งนั้นออกมาจากแหวนเมื่อถึงกระท่อม
สิ่งที่เขาได้มาครั้งนี้คือตำราเล่มเล็กที่มีรอยขาดเสียหาย หลายหน้าในตำราหายไป หลินมู่เปิดตำราและอ่านเนื้อหา ยิ่งอ่านเท่าใดเขาก็ยิ่งตื่นเต้น
“นี่…นี่…นี่มันวิชาต่อสู้!”
หลินมู่อุทาน
ตำราอธิบายเกี่ยวกับวิชาต่อสู้ที่มีนามว่า ‘หมัดทลายศิลา’ นี่คือวิชาแรกที่น่าจะมีพลังมหาศาล สิ่งที่หลินมู่ต้องสังเกตอย่างแรกก็คือความต้องการในการฝึกตำรานี้
มันเขียนว่า (ไม่ต้องการพลังบ่มเพาะขั้นต่ำ สามารถฝึกฝนได้โดยคนทุกระดับ)
นั่นหมายความว่าเขาสามารถเรียนรู้และใช้วิชาต่อสู้นี้และไม่ต้องรอจนกว่าเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะพลัง แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ของตำราจะหายไป แต่ในส่วนของการแนะนำวิชาและสิ่งที่ต้องจำในการเรียนวิชานี้ล้วนยังอยู่ครบ
วิชาต่อสู้นั้นประกอบด้วยวิชาปราณและวิธีฝึกร่างกาย ซึ่งต้องใช้ทั้งสองอย่างในการเชี่ยวชาญวิชา วิชาต่อสู้อธิบายการสร้างพลังวายุตามเข็มนาฬิกาในมือซ้ายและวายุทวนเข็มนาฬิกาในมือขวา
มีหน้าที่อธิบายเนื้อหาต่อไปไม่ครบอยู่ด้วย แต่มันก็มีการแนะนำคร่าว ๆ ให้เพิ่มจำนวนวายุพลัง ซึ่งไม่มากพอที่จะเข้าใจได้ หลินมู่ทำได้แค่คิดว่าตำรานี้มีทั้งหมดกี่หน้า และมีกี่ส่วนของวิชาที่หายไป
ในส่วนของคำแนะนำบอกว่าพลังของวิชาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในแต่ละขั้นของวิชา ถ้าหากหลินมู่เรียนวิชานี้ได้สำเร็จ เขาจะไม่ต้องกลัวยอดฝีมือในขอบเขตฝึกฝนร่างกายอีกต่อไป และเขาอาจจะได้ต่อสู้กับคนเหล่านั้นชนะด้วย
หลินมู่อ่านตำราซ้ำแล้วซ้ำเหล่าเพื่อจดจำให้ขึ้นใจ เขาใช้เวลาอย่างยาวนานในการพยายามจำจนกระทั่งหลับไปในที่สุด เขาปรากฏในที่มืดอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขามีจุดหมายที่ต้องทำ เขานึกถึงสิ่งที่เขาจำได้และพยายามนึกถึงมันเพื่อเพิ่มความเข้าใจ
หลินมู่จดจำวิชาปราณได้ราวครึ่งส่วนที่กล่าวไว้ในตำรา ขณะที่วิธีฝึกร่างกายนั้นยังจำไม่ได้ เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและรู้สึกราวกับว่าเขาเข้าใจทุกอย่างจนสมบูรณ์ในส่วนที่จำได้
หลินมู่เข้าไปในป่าเพื่อตัดฟืนและรวบรวมเชื้อไฟไปในตัว เขาหากิ่งไม้แห้งที่บางจากต้นไม้ที่ตายและใช้ดาบสั้นฟันมันลงมา
ในทีแรก เขาต้องฟันหลายครั้งในการตัดต้นไม้ แต่หลังจากฟันได้สิบต้นเขาก็จับทางได้และตัดต้นไม้ได้ในการฟันสองครั้ง
เขามองดูคมดาบสั้นและพบว่ามันยังคงคมเช่นเดิมและไม่มีที่ติหรือสิ่งใดเลย
‘นี่เป็นดาบที่ยอดเยี่ยมนัก ต้องถูกตีขึ้นมาจากปรมาจารย์ช่างตีดาบไม่ผิดแน่’
หลินมู่คิด
จากนั้นหลินมู่จึงแบกไม้ไปที่กระท่อมและวางมันไว้ในช่องเก็บฟืนข้างกระท่อม เขาเรียกเนื้อออกมาเพื่อปรุงในเตาขณะที่แบกหินก้อนใหญ่มาทำเตาที่ใหญ่กว่าเดิมนอกกระท่อม กว่าจะทำเตาใหม่เสร็จ เนื้อในกระท่อมก็สุกพร้อมรับประทานแล้ว