ตอนที่ 18 : โอสถฟื้นฟูสี่สายโลหิต
คนดูแลร้านเดินไปหาเสื้อผ้าให้หลินมู่และกลับมาใน 5 นาที เขานำเสื้อผ้าออกมาสิบชุด ซึ่งทั้งหมดต่างกันทั้งสีและลวดลาย เขาวางไว้หน้าหลินมู่และให้เขาเลือก
หลินมู่เลือกชุดดำที่ไม่เหมือนกันสองชุด ชุดสีเทา และชุดขาวไร้ที่ติที่เขาชื่นชอบ เขาจ่ายเงิน 10 เหรียญเงินสำหรับชุดก่อนจะเก็บในถุง หลินมู่ตอนนี้ใช้เงินที่มีไปมากกว่าครึ่งจากการที่เขาขายกระต่ายม่านหิมะ ตอนนี้เขาเหลือเงินเพียงแค่ 30 เหรียญเงิน
สิ่งต่อมาที่เขาอยากจะก็คือวัตถุดิบปรุงอาหาร เขาไปที่ร้านเดิมและซื้อข้าว น้ำมัน เครื่องเทศเพิ่มเติม และซื้อเครื่องปรุงรสที่เขาไม่ได้ซื้อในครั้งที่แล้ว เขาใช้ไปอีก 3 เหรียญเงิน
หลินมู่ต้องกินมื้อกลางวันก่อนจะกลับกระท่อม เขาไปยังถนนที่มีร้านอาหารและร้านข้างทาง ขณะที่เดินอยู่นั้นเอง เขาเห็นความวุ่นวายเกิดขึ้นที่กลางถนน เขาเข้าไปดูใกล้ ๆ และได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น รถม้ากำลังเข้ามาใกล้ มีทหารรับจ้างเดินออกมา เขารู้ทันทีจากชุดเกราะที่ทหารรับจ้างสวม พวกเขาคือทหารรับจ้างเขี้ยวแดงที่เคยเจอมาก่อน
คนหลีกทางให้ทหารรับจ้างเข้าใกล้ หลินมู่จึงได้เห็นว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาเห็นทหารรับจ้างคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสและกำลังถูกทหารรับจ้างสามคนที่บาดเจ็บเช่นกันแบก คนที่บาดเจ็บสาหัสนั้นขาขาด ชิ้นกระดูกที่หักแทงออกมาปะทะอากาศภายนอก ภาพอันน่าหวาดผวาทำให้หลินมู่คลื่นไส้
เขาเห็นทหารรับจ้างนำตัวชายที่บาดเจ็บขึ้นรถม้า อาจจะเพื่อพาไปรักษา ผู้คนสลายตัวในไม่นานหลังจากรถม้าแล่นออกไป หลินมู่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้นักและเดินต่อไปจนถึงถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและเริ่มหิว เขาเลือกร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องก๋วยเตี๋ยวและเดินเข้าไป
หลินมู่เห็นว่าร้านคนเยอะและลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นทหารรับจ้างจากที่อื่นที่มาเมืองในวันนี้ เขาหาที่นั่งว่างและนั่งสั่งก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม ขณะที่รออาหารมาถึง เขาก็ฟังที่พวกทหารรับจ้างคุยกัน
“เห็นบนถนนที่วุ่นวายนั่นรึไม่?”
ทหารรับจ้างที่พูดนั่งอยู่โต๊ะข้างหลินมู่
“เห็นซี่ ทหารรับจ้างเขี้ยวแดงบาดเจ็บมาจากในป่า คงเจอสัตว์อสูรทำร้ายมาสิท่า”
ทหารอีกคนที่นั่งบนโต๊ะเดียวกันพูด
“รู้ไหมว่าสัตว์อสูรแบบไหนที่โจมตีพวกเขา?”
ทหารรับจ้างคนแรกถาม
“พวกเขาบอกไม่ได้ว่ามันเป็นสัตว์อสูรแบบไหน ยกเว้นแต่ว่ามันเป็นหมีตัวใหญ่ พวกเขาโดนหมีดักโจมตีและพยายามหนีออกมา แต่ก็มีหนึ่งคนที่เจ็บหนัก”
ทหารรับจ้างคนที่สองตอบ
“น่าเสียดายนัก คนที่เจ็บหนักคนนั้นต้องพิการถาวร ขานั่นคงเดินไม่ได้อีกแล้ว”
ทหารรับจ้างคนแรกถอนหายใจ
“ข้าว่ายังรักษาได้นะ แต่ราคาคงสูงลิ่ว มีแต่โอสถเท่านั้นที่จะยื้อขานั่นไว้ได้”
ทหารรับจ้างอีกคนที่ฟังเรื่องอยู่พูดออกมา
ทหารรับจ้างสองคนแรกหันไปมองชายที่พูด
“จะมีโอสถอะไรรักษาได้เล่า? โอสถฟื้นฟูได้ผลกับผู้บ่มเพาะปราณเท่านั้นไม่ใช่รึ? ทหารรับจ้างคนนั้นไม่ใช่ผู้บ่มเพาะพลังนะ”
“มิใช่ มีโอสถที่ระดับสูงกว่าที่มีผลกับคนทั่วไปด้วย โอสถธรรมดาที่สุดคงจะเป็นโอสถฟื้นฟูสี่สายโลหิต โอสถจะมีกลิ่นสมุนไพรแรงแล้วก็มีลายเกลียวบนเม็ดโอสถ”
ทหารรับจ้างคนที่สามตอบ
เมื่อได้ฟังคำตอบของทหารรับจ้าง หลินมู่หูผึ่งขึ้นมา ดวงตาเขาจับจ้องมองทหารรับจ้างที่กำลังพูดต่อ
“ถึงการได้โอสถฟื้นฟูสี่สายโลหิตมาแทบจะเป็นไปไม่ได้แม้แต่กับหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างเขี้ยวแดงก็เถอะ ที่เดียวที่จะได้มาในแถวนี้ก็น่าจะเป็นนิกายสามหม้อโบตั๋น และข้าก็บอกไม่ได้ว่ามันราคาเท่าไหร่ สำหรับคนธรรมดาอย่างเรา โอสถคงแพงจนซื้อไม่ไหว”
ทหารรับจ้างสองคนแรกฟังด้วยความสนใจมากราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ หลินมู่ที่อยากจะรู้มากขึ้นรวบรวมความกล้าถามออกไป
“ต้องมีพลังบ่มเพาะระดับไหนถึงโอสถจะใช้ได้ แล้วมันฟื้นฟูบาดแผลแบบไหนได้บ้างรึ?”
ทหารรับจ้างคนที่สามหันมามองหลินมู่และตอบ
“เท่าที่ข้าได้ยินมา มันใช้ได้ผลกับทุกระดับพลังไปจนถึงขั้นสูงสุดของขอบเขตรวมแกน เป็นเหตุผลที่โอสถแพงมากนัก ส่วนเรื่องบาดแผลที่รักษาได้ ตราบเท่าที่อวัยวะสำคัญไม่ถูกทำลาย มันรักษาได้ทุกรูปแบบ รวมถึงช่วยให้แขนขาที่ขาดออกจากกันติดกันได้ด้วย”
หลินมู่ตกใจมากเมื่อได้ฟังคำตอบของทหารรับจ้าง
‘ถ้าทหารรับจ้างคนนี้พูดจริงมันก็เยี่ยมมาก โอสถสามเม็ดที่ข้าเจอในรอยแยกมิติน่าจะเป็นโอสถฟื้นฟูสี่สายโลหิตแน่’
หลินมู่คิดในใจ
ชามก๋วยเตี๋ยวมาวางบนโต๊ะในไม่นานหลังพวกเขาคุยจบ หลินมู่รับประทานก๋วยเตี๋ยวเลิศรสอย่างเอร็ดอร่อยและจ่ายเงินก่อนจะออกจากร้าน วันนี้เป็นวันที่ดีของหลินมู่ เพราะเขาถึงกับได้รู้ว่าโอสถที่เขาได้มานั้นมีฤทธิ์อย่างไรและยังได้ซื้อดาบเล่มแรกด้วย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็กลับมาถึงกระท่อม หลินมู่เก็บชุดสำรองและของทั้งหมดไว้ในแหวนเมื่อออกจากเมือง เขาเดินไปที่กับดักอีกครั้งเพื่อดูว่าจับอะไรได้ แต่ครั้งนี้โชคไม่ได้เข้าข้างเขาเพราะกับดักทั้งหมดล้วนว่างเปล่า เขาจึงกลับบ้านมามือเปล่า
เมื่อถึงกระท่อม หลินมู่รู้สึกถึงแหวนลึกลับในมือที่สั่นสะเทือนและเตรียมพร้อมกับรอยแยกมิติที่กำลังจะเปิดออก ในครั้งนี้ เขาตั้งตารอว่ารอยแยกมิติจะให้อะไรกับเขาหลังจากได้รู้เรื่องโอสถฟื้นฟูสี่สายโลหิต เขาตื่นเต้นว่าเขาจะได้สมบัติล้ำค่าอะไรในนั้นอีก
รอยแยกมิติเปิดที่หน้าหลินมู่และดึงมือเขาเข้าไป เขาใช้เวลาหนึ่งนาทีควานหาของข้างในจนกระทั่งได้สัมผัสกับของที่เหมือนกับแผ่นไม้หัก เขาดึงมือออกมาจากรอยแยกจากนั้นจึงเรียกของออกมาจากแหวน เขาสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นของในมือ
“อะไรกัน รั้วไม้แตกงั้นเรอะ?”
หลินมู่คิด
ของในมืือหลินมู่นั้นดูเหมือนกับชิ้นรั้วไม้ที่ยาวเท่ากับครึ่งของมือเขา มันไม่ได้ดูพิเศษเลยหลังจากตรวจดูแล้ว เขาเก็บมันไว้ในแหวน จากนั้นเขาก็ชักดาบสั้นออกมาฝึกฝน หลินมู่พยายามเลียนแบบการฝึกที่เขาเคยเห็นทหารทำ
เขาฝึกการจู่โจมหลากหลายรูปแบบเช่นการฟัน ตัด แทงด้วยดาบสั้น การเคลื่อนไหวของเขาดูประหลาดแต่เขาก็ทำต่อไปจนกระทั่งเหนื่อยแทบจนไม่ไหวและปวดแขน มันทำให้เขานึกถึงตอนที่เขาวิ่งหนีโจรและบทสงบใจที่ช่วยให้เขาเหนื่อยล้าลดลง
ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงสายตาคุกคามของจิงเหว่ยและคลื่นพลังที่แพร่กระจายออกมาจากแหวนและเสียงท่องบทสวดอันดังก้องในใจที่ช่วยลดแรงกดดันจากสายตาชายชรา เขานึกถึงบทสวดดังสนั่นและรู้สึกว่ามันคล้ายกับบทสงบใจแต่ก็แตกต่างกันอยู่บ้าง
หลังจากเขาฝึกดาบเสร็จ หลินมู่นั่งสมาธิและท่องบทสงบใจ พลังในกล้ามเนื้อแผ่ออกมาเป็นคลื่นเข้มข้น มันเคลื่อนไหวขึ้นลงเป็นจังหวะที่เข้ากัน ทันใดนั้นพลังก็ไหลมาถึงผิวหนัง ทุกระเบียดนิ้วของผิวระเบิดความเจ็บปวดออกมา จากนั้นความเจ็บปวดทั้งหมดก็หายไป
หลินมู่ลืมตาและรู้สึกถึงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป เขาทะลวงพลังมีร่างกายขั้น 5 และเป็นยอดฝีมือที่มีร่างกายชั้นกลางแล้ว
ขอบเขตบ่มเพาะร่างกายนั้นแบ่งคร่าว ๆ ได้เป็นสี่ส่วน
ในขั้นต้นนั้นคือขอบเขตบ่มเพาะกายขั้น 1 ถึง 4 และในระดับนี้ ร่างกายจะปรับกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่งขึ้น
ในขั้นกลางนั้นคือขอบเขตบ่มเพาะกายขั้น 5 ถึง 7 เป็นระดับที่ผิวหนังจะแข็งแรงขึ้น เพิ่มการต้านทานจากสิ่งภายนอก
ในขั้นสูงนั้นคือขอบเขตบ่มเพาะกายขั้น 8 ถึง 10 และในระดับนี้จะปรับเส้นโลหิตให้แข็งแรงขึ้น และยังเป็นขั้นพลังที่สามารถเริ่มบ่มเพาะปราณได้ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายแข็งแกร่งพอจะรับพลังปราณไหว
ในขั้นสุดยอดนั้นคือขอบเขตบ่มเพาะกายขั้น 11 ถึง 13 และในระดับพลังนี้จะเป็นการปรับกระดูกและเนื้อในกระดูกให้ดีขึ้น ซึ่งยากมากที่จะมีคนมาถึงขั้นนี้ได้เพราะมันนับว่าเป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีผู้ใดที่บ่มเพาะร่างกายมาได้ถึงระดับนี้เพราะพวกเขาจะกลายเป็นผู้บ่มเพาะปราณก่อนขั้นนี้ซึ่งแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือในระดับนี้มาก
ศิษย์หลักของนิกายระดับสูงจะฝึกฝนจนมีร่างกายในขั้น 10 เพราะแม้แต่วิชาบ่มเพาะที่ดีที่สุดก็มีความต้องการสูงสุดในขั้น 10