วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0117
บทที่ 37 ชายแดนใต้ (3)
* * *
ฉันวิ่งหนีออกไปพร้อมลิลี่ แต่ไม่นานก็ต้องกลับมาที่หอคอยอีกครั้ง
ท่ามกลางสายตาที่ลุกโชนเหนือยอดหอคอย ฉันถูกจับตัวด้วยเหตุผลค่อนข้างตลก
แถมยังเป็นฝีมือสตรีชาวนัคชารอนที่เพิ่งคุยกันเมื่อครู่
แน่นอนว่าฉันไม่ถูกจับง่ายขนาดนั้น
ถ้าจะระบุให้ชัดเจนก็คือ ฉันไม่ได้ถูกจับ แต่เป็นฝ่ายหยุดให้จับ
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”
“…”
“ได้โปรด! ช่วยให้ข้าจบการศึกษาด้วยเถอะ!”
“…”
“ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี! ล้างจานให้ตลอดชีวิตเลยก็ได้เอ้า!”
ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดวิ่ง ดูเหมือนจะถูกจี้จุดอ่อนในใจ
“…ความเห็นอกเห็นใจคือสิ่งที่ดี แต่เจ้าไม่ควรใจอ่อนกับทุกเรื่อง”
แน่นอนว่าลิลี่ไม่เห็นด้วย พวกเรามักตัดสินใจต่างกันในหลายสถานการณ์
นิสัยที่แท้จริงของฉัน ผิดไปจากสิ่งที่คนรอบข้างรู้จักมากแค่ไหน?
แต่ยังไงก็ช่าง ฉันไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดจะทิ้งคนที่กำลังคุกเข่าอ้อนวอน
และอันที่จริง เธออาจมีประโยชน์กับฉัน
การหยิบยื่นความช่วยเหลือไม่ได้ทำให้ฉันเดือดร้อนขนาดนั้น
นั่นคือเหตุผลที่หยุดให้จับ
ลิลี่เข้าใจเจตนาของฉัน จึงหยุดวิ่งและยืนถอนหายใจ
“แฮ่ก… แฮ่ก… แฮ่ก…”
เมื่อเห็นเทลาเทอรีหายใจหอบหลังจากวิ่งออกจากหอคอยได้ไม่เกินสิบเมตร ฉันตัดสินใจเดินกลับไป
* * *
เธอชวนเรากินมื้อค่ำ ศาสตราจารย์แจ้งว่าเขามาหาไม่ได้เพราะติดการทดลองสำคัญ
ที่นี่จึงมีเพียงฉัน เทลาเทอรี ลิลี่ และนักบุญหญิง
นักบุญหญิงทำได้แค่ก้มหน้ามองอาหารเพราะในปากยังคาบมีด เทลาเทอรีจ้องนักบุญหญิงด้วยความสนอกสนใจ และถามว่าทำไมเธอถึงคาบมีด ฉันพยายามอธิบายให้กำกวมพอเป็นพิธี
เหตุผลข้อแรก ฉันเองก็ไม่ทราบ และข้อสอง ถ้าเทลาเทอรีรู้ว่ามีดนั่นคืออะไร เธอคงไม่อยากคุยกับพวกเราต่อ
เทลาเทอรีไม่ทราบว่ามีดในปากนักบุญหญิงคือปีศาจ เป็นธรรมดาที่ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์หนึ่ง จะแทบไม่มีความรู้ในอีกศาสตร์หนึ่งเลย ฉันจึงพยายามปล่อยผ่าน
ตอนแรกก็กังวลเกี่ยวกับอาหารเพราะเธอคือลูกหลานอันเดด แต่เมนูกลับดูคุ้นเคยและน่าอร่อย เป็นอาหารง่ายๆ ที่ฉันกินได้เกือบทั้งหมด
ไม่สิ ไม่ใช่แค่คุ้นเคย แต่เหมือนกับอาหารโฮมคุกกิ้งของชาวโลกมาก
“สูตรอาหารของมนุษย์”
ดูเหมือนลิลี่จะจำแนกได้
“แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างกันขนาดนั้นเชียว?”
“ค่อนข้าง ความต่างในเชิงเผ่าพันธุ์จะเห็นได้ชัดเจนกว่าวัฒนธรรม เอลฟ์จะใช้ผงแร่ในป่าแทนเกลือ ส่วนแวมไพร์จะแทบไม่ใช่ไฟ”
“ชักอยากเห็นอารยธรรมอื่นๆ มากกว่านี้แล้วสิ”
ลิลี่จ้องฉันด้วยสายตาผิดคาด ฉันชอบการท่องเที่ยวในที่ที่มีคนอาศัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะในต่างโลก มันต้องสนุกกว่าบนโลกแน่
เทลาเทอรีจ้องพวกเราด้วยรอยยิ้ม อาจดูน่าขนลุก แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสีหน้าของเธอดูอ่อนเพลีย
อารมณ์ที่แฝงมาในแววตาไม่ได้แย่นัก
“งั้นหรือ… นิสัยการกินของนัคชารอนคงเหมือนกับมนุษย์สินะ… ข้าเองก็ไม่แน่ใจ… พวกเราอาจเป็นมนุษย์ก็ได้…”
“หืม?”
“จากคำบรรยายในตำนาน เอลเดอร์ลิช เนโครแมนเซอร์คนแรกและคนสุดท้ายคือมนุษย์… และมนุษย์สองคนที่ท่านคืนชีพให้ ก็กลายมาเป็นต้นตระกูลนัคชารอน น่าตลกดีใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นพวกเรานัคชารอนกับมนุษย์อย่างเจ้า คือเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน แต่มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน… พวกเราจึงสนใจมนุษย์มาก… เผ่าพันธุ์ที่ช่วยให้เราเห็นภาพบรรพบุรุษชัดขึ้น”
มีรากเหง้าเดียวกัน แต่ปัจจุบันกลายเป็นสองสายพันธุ์ที่แตกต่าง
อันที่จริง ฉันไม่ได้เลิกหนีเพราะความเห็นใจเพียงอย่างเดียว เข็มชี้ทองคำเล็งมายังที่ใดสักแห่งทางทิศใต้ และเห็นได้ชัดว่าสตรีชาวนัคชารอนคนนี้มีข้อมูลบางอย่าง
ฉันตัดสินใจถามเข้าประเด็น
“เธออาจจะแปลกใจ แต่ฉันเป็นมนุษย์ที่ใช้รูนได้”
เทลาเทอรีพยักหน้า แววตาสดใสยิ่งกว่าเดิมแม้รอยคล้ำใต้ตาจะยังอยู่
“ข้ารู้ตั้งแต่เห็นเจ้าอ่านหนังสือโบราณเล่มนั้นแล้ว… เด็กใหม่ของพวกเรามาจากไหนกันนะ~ หรือว่าท่านเอลเดอร์ลิชเกิดเห็นใจในความพยายามของข้า จึงอยากให้เรียนจบการศึกษาเสียที?”
“โมห์ส mohs”
ฉันเหยียดแขนไปในอากาศและเปล่งเสียง มันคือภาษารูนที่ถูกต้อง แต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“น่าทึ่งมาก… สำเนียงสมบูรณ์แบบ เส้นเสียงกับลิ้นมนุษย์ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ”
“แต่ก็เปล่าประโยชน์ ใช้งานไม่ได้ตั้งแต่เข้ามาที่นี่”
“สำหรับที่นี่ เจ้าจะใช้รูนอื่นนอกจาก ‘ทัล talle’ ไม่ได้”
“เพราะอะไร?”
โชคเข้าข้าง ดูจากสีหน้าเทลาเทอรีแล้ว คล้ายกับเธอทราบสาเหตุ
“เพราะพระเกียรติของเทวราชาส่องมาไม่ถึงที่นี่”
“พระเกียรติของเทวราชาส่องมาไม่ถึง?”
“พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว ตามมาสิ ข้าจะพาไปดู”
เทลาเทอรีพยุงร่างอันไร้เรี่ยวแรงและพาเราไปที่ระเบียง
พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า จนสามารถมองเห็นเอกลักษณ์ของเมฆดำที่ค่อนข้างโปร่งใสแตกต่างจากเมฆดำปกติ หมายความว่าพวกเรายังมองเห็นพระจันทร์หรือดวงดาวด้านหลังเมฆได้อย่างเลือนราง
“ดูนั่น”
เทลาเทอรีชี้นิ้ว เราสามคนแหงนมองฟ้าพร้อมกัน
ที่นั่นมีพระจันทร์ดวงเล็ก — อุนเดรา กำลังส่องแสงมายังพื้นโลกในตำแหน่งตายตัว
“อ๊ะ!”
พวกเราอุทานพร้อมกัน
ถึงจะถูกเมฆบัง แต่เรามองเห็นอุนเดราได้ชัดเจน
อุนเดรายังคงส่องแสงเหมือนเดิมในตำแหน่งเดิม
แต่มันกำลังสั่น
ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนหน้าจอทีวีที่ไร้สัญญาณ ทั้งสั่นและบิดเบี้ยวตลอดเวลาจนมิอาจฉายแสงลงมาบนพื้นได้คมชัด
“อุนเดรามิอาจเฝ้ามองพื้นดินแถบนี้ได้ทั่วถึง”
“เฉพาะแถบนี้?”
ฉันยังไม่ลืมบาเรียบางๆ ที่ได้พบก่อนมาถึงหอคอย
บาเรียแผ่นดังกล่าวสร้างมิติโดดเดี่ยวจนเกิดความผิดปกติ?
“เกิดจากอะไร?”
“ข้าก็ไม่ทราบ อาจจะเป็นฝีมือปีศาจในพายุสีดำนั่นก็ได้…”
ถ้าจำไม่ผิด ตำนานกล่าวไว้ว่าอุนเดราจะคอยป้องกันมิให้โลกวิญญาณผสานเข้ากับโลกวัตถุ
บางที โลกวิญญาณอาจหมายถึงโลกแห่งความตาย
ดังนั้น เมื่ออุนเดรามิอาจสำแดงพลังได้เต็มประสิทธิภาพ ที่นี่จึงถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความตาย
“เมื่ออิทธิพลของเทวราชาไม่สมบูรณ์ ภาษารูนจึงใช้การไม่ได้… กล่าวคือ ภาษารูนมีความเกี่ยวข้องกับเทพ ส่วนจะอย่างไรนั้นข้าก็ตอบไม่ได้”
“แล้วทัลไม่ใช่รูนหรือ ทำไมถึงยังใช้ทัลได้?”
“ทัลคือภาษาที่ยืมพลังมาจากมหาเทพธรณี… มหาเทพธรณีคือเทพผู้ปลิดชีพตัวเอง ขณะเดียวกันก็เป็นเทพผู้ครองอำนาจแห่งความตาย เป็นภาษารูนที่เอลเดอร์ลิชคิดค้นขึ้น น่าทึ่งไปเลยใช่ไหมล่ะ?”
ใบหน้าของเทลาเทอรีที่กำลังแหงนมองฟ้าเผยความสดใส
“ท้ายที่สุด ความรู้และความศรัทธาก็แยกจากกันไม่ได้… โลกเวทมนตร์และโลกศาสนาเอาแต่ทะเลาะกัน ข้าไม่ชอบเลย พวกเราต่างก็อุทิศตนศึกษาเพื่อเป้าหมายเดียวกัน… นี่คือหลักฐานยังไงล่ะ”
“…เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
เทลาเทอรีมองหน้าฉันด้วยอาการตื่นเต้นและมีความสุข
“อยากวิจัยด้วยกันแล้วหรือ?”
“ไม่เชิงวิจัย แต่ว่า… ฉันไม่รังเกียจที่จะช่วยเธอ เพราะอาจทำให้ฉันบรรลุเป้าหมายเช่นกัน”
ฉันค่อนข้างชอบเรื่องราวที่เทลาเทอรีเล่า ตอนแรกคิดว่าเป็นพวกใกล้ตายที่ชีวิตขาดแรงจูงใจ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความลุ่มหลงที่ซ่อนอยู่ด้านหลังใบหน้าอันขาวซีดจะค่อยๆ เผยออกมา
พวกเราเดินกลับเข้าไปข้างใน แต่ทันใดนั้นก็พบความผิดปกติ เมื่อหันกลับไปก็เห็นนักบุญหญิงกำลังยืนแหงนมองฟ้าในตำแหน่งเดิม
“…?”
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ในเมื่อเธอเป็นคนของศาสนจักรที่นับถือเทวราชา เป็นธรรมดาที่จะอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงของเทวราชา
แต่พอได้มองจากข้างหลังกลับมอบความรู้สึกแตกต่าง
ฉันไม่รู้ว่าเธอทำไปด้วยเหตุผลใด จึงตัดสินใจปล่อยเอาไว้
เทลาเทอรีเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับหนังสือกองสูงเท่าหัว
ตึง!
“มาลุยกันเลย!”
เป็นเสียงสดใสที่สุดเท่าที่เคยได้ยินจากเธอ ลิลี่จ้องกองหนังสือเปื้อนฝุ่นด้วยสีหน้าเอือมระอา ส่วนฉันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมรับชะตากรรมและเก็บซ่อนสีหน้าไม่พอใจ
* * *
เทลาเทอรีมีนิสัยไม่ชอบความขัดแย้ง ส่วนหนึ่งเพราะเผ่าพันธุ์นัคชารอนของเธอมักถูกข่มเหงรังแก
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เทลาเทอรีจึงอุทิศตัวให้กับการศึกษานานถึงห้าสิบปี ที่นี่เธอไม่ต้องทนทุกข์กับสภาพอากาศ ความขัดแย้งและการแบ่งชนชั้น
ถึงจะน่าอึดอัดใจที่ยังไม่ได้รับปริญญาเสียที แต่นั่นก็เป็นแรงกระตุ้นสำหรับเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิตเธอ
เทลาเทอรีชื่นชอบมนุษย์เด็กใหม่มาก เพราะเป็นผู้มาเยือนรายแรกในรอบสิบปีของหอคอยวิจัยในแถบชายแดน แถมยังเป็นมนุษย์คนแรกที่เธอเคยพบ
อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับแวมไพร์และลูกหลานดวงดาว
เธอเคยได้ยินว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ขี้ระแวง และเดาว่านั่นคงเป็นเหตุผลที่ถูกเก้าเทพทอดทิ้ง
นอกจากนั้น แวมไพร์ยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่ค่อยผูกมิตร
เธอไม่อยากเชื่อว่าแวมไพร์จะเป็นเพื่อนกับมนุษย์ได้
เทลาเทอรีชอบในจุดนี้มาก
ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นความบริสุทธิ์จากสายตาของมนุษย์
เธอจึงมีความสุขเมื่อมนุษย์ยอมเปิดใจ
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เทลาเทอรียอมเปิดเผยเนื้อหาที่เธอกำลังวิจัย
มนุษย์นั่งฟังอย่างตั้งใจ เธอจึงยิ่งมีความสุข ยิ่งผ่านไปนานก็ยิ่งมีรุ่นน้องคนอื่นมาล้อมวงฟัง
“หมายความว่ารูนที่เริ่มด้วยทัลทั้งหมดเกี่ยวข้องกับความตาย?”
“ใช่ เป็นระบบรูนที่เอลเดอร์ลิชคิดค้นขึ้น… ทัล… คำหนึ่งคำที่บรรจุความลับทั้งหมดของวิญญาณและความตาย เจ๋งไปเลยใช่ไหม?”
มนุษย์พยักหน้าอย่างกระตือรือร้นก่อนจะพูด
“ระบบทัลทั้งหมดมุ่งไปยังจุดเดียว?”
“ดูนี่”
เทลาเทอรีวาดภาพรูนทัลทั้งหมดที่เธอเคยศึกษา เกือบทั้งหมดถูกวาดหยาบๆ จนไม่สามารถแสดงผล แต่ละเอียดพอที่จะให้ช่วยจำแนกรูปแบบดั้งเดิม
“เดิมทีข้าจะเก็บไว้วิจัยคนเดียว แต่ว่า… มีเด็กใหม่อัจฉริยะเข้ามาทั้งที คงไม่เหมาะถ้าข้าจะหวงความรู้…”
มือของเทลาเทอรีที่เคยเชื่องช้าและซังกะตาย รวดเร็วและแม่นยำอย่างที่ไม่เคยเป็น มือที่เคยสั่นเทาจนวางหนังสือได้ลำบาก กำลังวาดเส้นที่ชัดเจนและประณีต
อักษรรูนหลายสิบตัวถูกวาดเรียงกัน เป็นการเรียงโดยอาศัยหลักการบางอย่าง
ทันใดนั้น
“…โฮ่”
“เห็นแล้วหรือ”
มนุษย์ส่งเสียงอุทานก่อนที่คำอธิบายจะเริ่มขึ้น
“พิกัดสินะ”
ใกล้เคียงกับหมุดหมายมากกว่าแผนที่ เมื่อบรรดารูปทรงเรขาคณิตมารวมตัวกัน มันกลายเป็นพิกัดที่ชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่ง
“แน่นอนว่าเรากระตุ้นการทำงานไม่ได้ เพราะแม้แต่คาห์ส kaahz ก็ถือเป็นรูนชนิดหนึ่ง แต่หลังจากลองศึกษาอย่างละเอียด ข้าค้นพบว่าอักษรเหล่านี้ต่างชี้เข้าไปในหุบเขาแห่งความตาย”
“ในนั้นมีปราสาทเก่าอยู่ใช่ไหม”
เทลาเทอรีพยักหน้ารับ มนุษย์ยังคงจ้องพิกัดอย่างเงียบงัน
ไม่มีใครพูดอะไรอยู่พักใหญ่ บรรดารุ่นน้องต่างกลืนน้ำลายเมื่อเห็นเด็กใหม่กำลังศึกษารูนที่พวกตนอ่านไม่ออก
ท้ายที่สุด มนุษย์เปิดปาก
“ปราสาทเก่าแก่ตั้งอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่โบราณกาล เรื่องที่แปลกก็คือ ระยะเวลาที่ปราสาทและปีศาจนั่นดำรงอยู่บนโลก ตรงกันอย่างน่าทึ่ง”
“เดี๋ยวนะ… ทำไมเจ้าถึง…”
“เงียบก่อน”
เหล่านัคชารอนปิดปากสนิทด้วยความอับอาย เทลาเทอรีเจ้าของดวงตาสีฟ้าอ่อนรีบชะงักคำพูด
มนุษย์เปิดปากอีกครั้ง
“มันถูกเขียนไว้ตรงนี้ พิกัดรูนไม่ได้อธิบายแค่ในแง่พื้นที่ แต่ยังรวมถึงเวลา”
“…เจ้าอ่านออก? จะให้เชื่อได้ยังไง…”
“มันยังบอกด้วยว่า ในหุบเขามีเดธไนท์” (Death Knight)
เทลาเทอรีสบตากับนัคชารอนคนอื่นด้วยสีหน้าสุดทึ่ง
นี่คือข้อเท็จจริงที่พวกเธอทราบแต่ยังไม่ได้เล่า
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มนุษย์คนนี้ตีความรูนบอกพิกัดออก
“เทลาเทลลี่ สิ่งที่เธออยากรู้อยู่ข้างในนั้นใช่ไหม”
“ข้าชื่อเทลาเทอรี แต่ช่างเถอะ การจะเข้าไปในนั้นยังติดปัญหา…”
“ฉันจะไปเอง อยู่ไม่ไกลเท่าไร”
“…หา?”
มนุษย์ลุกจากเก้าอี้ ท่าทีบ่งบอกชัดเจนว่าเตรียมลงมือทันที
“เอ่อ…?”
“ใช้เวลาประมาณสี่วัน หรืออาจจะนานกว่านั้น”
“นี่… หยุดก่อน!”
เทลาเทอรีพยายามห้ามมนุษย์
มนุษย์เปิดโอกาสให้เธอพูด
“…ฮึฮึ… ข้าชอบรุ่นน้องที่กระตือรือร้นก็จริง แต่ข้าไม่อยากเห็นเจ้าอายุสั้น… เป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าที่นั่นมีเดธไนท์?”
นัคชารอนคนเดิมที่หาช่องพูดไม่ได้สักที ถือโอกาสนี้เพื่ออธิบาย
“เดธไนท์เกิดจากการรวบรวมวิญญาณคนตายซึ่งเป็นเหล่าผู้พิทักษ์เวทมนตร์โบราณ…”
“ผิดแล้ว เดธไนท์คืออันเดด เกิดจากการสังหารหมู่กองอัศวินของศาสนจักร”
“…หา?”
เป็นอีกครั้งที่นัคชารอนรู้สึกอับอาย เทลาเทอรีก็เช่นกัน แต่เธอฝืนเยือกเย็นและพูดต่อ
“จะเกิดจากอะไรก็ช่างเถอะ แต่เดธไนท์ไม่มีวันถูกทำลายด้วยแรงปะทะ… ถ้าเจ้าทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อโจมตี อย่างมากก็ทำให้ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่จะไม่มีประสิทธิภาพในระยะยาว”
เวลาเดียวกับที่เทลาเทอรีส่งสัญญาณ รุ่นน้องคนหนึ่งนำเกราะไหล่ตัวใหญ่ออกจากกล่อง
“นี่คือเกราะไหล่เดธไนท์ มันจะไม่ถูกทำลายด้วยดาบหรือค้อน แต่มีรูนชนิดหนึ่งเอาชนะมันได้… พวกเราต้องเริ่มศึกษาจากตรงนั้นก่อน เข้าใจหรือยังพ่อเด็กใหม่?”
เทลาเทอรีใช้มือสัมผัสชุดเกราะ หลับตาลงพลางเพ่งสมาธิก่อนจะเปล่งเสียง
“ทัลนามาธ tallenamath”
กึก—!
เวลาเดียวกัน เกิดรอยร้าวบางๆ บนเกราะไหล่
“ฟู่ว… ไม่ได้ใช้มานาน โชคดีที่ไม่ปล่อยไก่ต่อหน้าเด็กใหม่ นี่คือคาถาสำหรับทำให้พันธะวิญญาณคลายออก ใช้ได้ผลดีกับศัตรูประเภทซอมบี้และเดธไนท์”
มนุษย์จ้องเกราะไหล่ที่ถูกล่ามโซ่
“เด็กใหม่ของเราเป็นอัจฉริยะใช่ไหมล่ะ ไม่นานก็คงเรียนได้ อย่างเร็วที่สุดน่าจะประมาณสองเดือน แต่ก่อนหน้านั้น…”
เคร้ง——!
เทลาเทอรีสะดุ้งเฮือก เกือบล้มด้วยแข้งขาที่อ่อนแรง
แต่ที่ยังไม่ล้มเพราะเธอไม่อยากพลาดฉากอันน่าอัศจรรย์
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา
เกราะไหล่เดธไนท์ที่ไม่เคยเกิดรอยขีดข่วนไม่ว่าจะใช้พละกำลังมากแค่ไหน
อวัยวะบางส่วนของเดธไนท์ ซึ่งน่าจะซุกซ่อนความลับของ ‘ทัล talle’ ที่เอลเดอร์ลิชผู้ยิ่งใหญ่สร้างขึ้น ถูกผ่าครึ่งในพริบตา
ใจกลางซากชุดเกราะมีดาบสีเงินกำลังส่องแสง
ด้ามจับถูกถือด้วยมือมนุษย์
ทุกคนเห็นเต็มสองตา มีแสงสว่างเอ่อล้นจากมือมนุษย์ก่อนที่จะกลายเป็นดาบ
ดาบซึ่งตัดสิ่งที่ตัดไม่ขาด
“ทีนี้เชื่อใจได้หรือยัง”
มนุษย์พูดพลางยกมุมปาก แวมไพร์ข้างๆ ถอนหายใจแผ่วเบา
เทลาเทอรีมองสลับระหว่างดาบที่สามารถตัดความตายประหนึ่งเต้าหู้ กับมนุษย์ที่ยืนถือมัน
เธออดหวนนึกถึงตำนานเอลเดอร์ลิชไม่ได้
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel