ตอนที่ 8-29 สืบสวน
มณฑลพายัพหนึ่งในเจ็ดมณฑลใหญ่ของจักรวรรดิโอเบรียนมีเนื้อที่กว้างใหญ่ มีประชากรอาศัยอยู่เป็นสิบล้าน เมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้คือเมืองเบซิลมีความเจริญมากที่สุดในบรรดาเมืองของมณฑลนี้เฉพาะภายในกำแพงเมืองเบซิลก็มีผู้คนเกินกว่าล้าน
ในเมืองเบซิลมีตระกูลเก่าแก่อยู่หลายตระกูลด้วยเช่นกัน
เคานท์เพอร์รี่เป็นผู้สูงศักดิ์ที่อ่อนน้อมอยู่ในเมืองเบซิล แต่ในบรรดาตระกูลเก่าแก่ทั้งหลายเขามีอิทธิพลค่อนข้างน้อย นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่น่าคบหาไม่เคยทะเลาะหรือพยายามสร้างอิทธิพลกับคนอื่นตระกูลชั้นสูงในเมืองเกือบทั้งหมดล้วนมีไมตรีที่ดีกับเขา
“ท่านเคานท์, ท่านกลับมาแล้ว” พนักงานเฝ้าประตูคฤหาสน์ยิ้มและคำนับเขา
เคานท์เพอร์รี่อายุสองร้อยปีผมของเขาขาวโพลนเป็นสีเงินทั้งศีรษะ แต่เครายาวของเขายังดูเป็นเงางามเหมือนเมื่อตอนของยังเยาว์ เคานท์เพอร์รี่ผงกศีรษะให้ยามเฝ้าประตูเล็กน้อยและหัวเราะอย่างเป็นกันเอง“โอว, เจ้าตัดผมมาแล้วหรือ ทรงนี้เหมาะกับเจ้าดี เจ้าไปทำผมที่ร้านตาเฒ่าล็อคใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดชื่นชมทหารยามยิ้มทันที “ขอรับเฒ่าล็อคฝีมือดีจริงๆ”
เคานท์เพอร์รี่เดินดุ่มเข้าไปในคฤหาสน์ของเขา
“เคานท์เพอร์รี่เป็นดีจริงๆ” ยามเฝ้าประตูถอนหายใจรำพึง
เคานท์เพอร์รี่เป็นคนที่ใจดีมากจริงๆ นี่คือความเห็นของทุกคนในเมืองเบซิล เคานท์เพอร์รี่ไม่ชอบฆ่าคนและไม่ชอบพูดหยาบคาย ทุกการกระทำของเขาแสดงให้เห็นถึงจรรยาบรรณและความสง่างามของสุภาพบุรุษจากตระกูลผู้ดี
เขาเข้าไปในลานภายในบ้าน
หน้าของเคานท์เพอร์รี่สลดลงทันที
“เกิดอะไรขึ้น?มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหลายครั้งได้ยังไง?” เคานท์เพอร์รี่ผิดหวังมาก แค่เพียงสองสามวันที่ผ่านมา เขาได้รับข่าวว่าคาร์ดินัลแลมพ์สันและพวกโยคีและมือปราบพิเศษหายสาปสูญไปในเมืองเซียร์ และตอนนี้เขายังได้รับข่าวว่าหน่วยที่คุ้มกันเด็กผู้หญิงสองคนถูกสังหารและเด็กผู้หญิงหายไป
เคานท์เพอร์รี่หลังจากเป็นผู้รับผิดชอบงานของศาสนจักรเจิดจรัสในเขตมณฑลพายัพของจักรวรรดิโอเบรียน ไม่ได้เผชิญกับอุปสรรคขวากหนามมาเป็นเวลานานแล้ว
“ข้าหวังว่าใต้เท้าแลมพ์สันคงไม่พบกับเรื่องยุ่งยากใดๆ”
เพอร์รี่ภาวนาเงียบๆ
ถ้าเด็กผู้หญิงสองคนได้รับการช่วยเหลืออย่างนั้นพวกนางคงถูกช่วยไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องกังวลหลัก แต่แลมพ์สันและคนอื่นอีกห้าคนเป็นยอดฝีมือระดับเก้ากันทั้งนั้น และคนที่พวกเขากำลังคุ้มกันก็คือพ่อมดจอมเวทระดับเก้า นี่เป็นงานสำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยพบหลังจากได้รับหน้าที่รับผิดชอบมณฑลพายัพ
“ท่านเคานท์” บุรุษร่างผอมสูงจมูกงองุ้มเหมือนเหยี่ยวผมหยิกเดินเข้ามาข้างในเขาคำนับและกล่าวด้วยความเคารพ “เราสืบเรื่องการหายสาบสูญไปของใต้เท้าทั้งหลายได้แล้ว”
เพอร์รี่มองเขาทันที “รีบพูด”
“ตามรายงานของผู้ที่อยู่ฝ่ายเราในเมืองนั้น ใต้เท้าทั้งหลายยังปรากฏยังในเมืองอื่น นอกจากนี้เครือข่ายผู้ฝักใฝ่เราในเมืองเซียร์ยังไม่พบว่ามีใครเห็นใต้เท้าทั้งหลายออกไปจากเมือง” คนจมูกเหยี่ยวรายงานด้วยความเคารพ
เพอร์รี่จ้อง
“อะไรนะ?” หัวใจของเพอร์รี่ก่อนหน้านี้เครียดจริงๆ ตอนนี้เริ่มสั่นไหว “แลมพ์สันและใต้เท้าคนอื่นๆ ไม่อาจอยู่ในเมืองเซียร์ได้ตลอดเวลา และถ้าพวกเขาพักอยู่ในเมืองเซียร์ ก็ควรจะมีร่องรอยของพวกเขา แลมพ์สันและคนอื่นๆ ต้องถูกโจมตี เป็นไปได้ว่าแลมพ์สันและคนอื่นอาจจะออกไปจากเมืองเซียร์ตอนดึกโดยกระโดดข้ามกำแพงเมือง”
“แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ใต้เท้าแลมพ์สันก็ควรจะปรากฏตัวในเมืองอื่น”
เพอร์รี่เริ่มกังวลใจจริงๆ
เขามีลางสังหรณ์ไม่ดี
“เป็นไปได้ไหมว่าใต้เท้าแลมพ์สันเผชิญกับการโจมตีจากศัตรูที่แข็งแกร่งและถูกฆ่า?” เพอร์รี่ไม่กล้าเชื่อเช่นนั้น ที่สำคัญแลมพ์สันและคนอื่นมีพลังแข็งแกร่งกันมากทุกคน จะฆ่าคนทั้งหกให้ได้ ฝ่ายตรงข้ามจำเป็นต้องมียอดฝีมือระดับเก้าหลายคนหรือมีนักสู้ระดับเซียนสักคน
ทันใดนั้นเพอร์รี่มองดูบุรุษจมูกเหยี่ยว เขาสั่งการเสียงเย็นชา “จงไปตามผู้เฒ่าโพริมาให้เร็วที่สุด บอกเขาให้นำเหยี่ยววายุน้ำเงินมาให้ข้าสามตัว”
“ขอรับ ท่านเคานท์” บุรุษจมูกเหยี่ยวรู้ว่าสถานการณ์สำคัญขนาดไหน
เพอร์รี่รีบเดินไปที่ห้องหนังสือของเขาและเขียนจดหมายขึ้นสามฉบับเกี่ยวกับงานของแลมพ์สัน อีกฉบับหนึ่งเป็นฉบับคัดลอกมอบให้เหยี่ยววายุน้ำเงินส่งไปที่ต่างๆและเกาะศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่าตั้งแต่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เฟนไลถูกทำลายไปแล้ว ศาสนจักรเจิดจรัสสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่บนเกาะที่ไม่ไกลจากทวีปยูลาน พวกเขาประกาศต่อสาธารณชนว่าสถานที่นี้คือเกาะศักดิ์สิทธิ์
…….
ภายในหุบเขาเงียบสงบนอกเมืองปกครองเซียร์
ตอนนี้ มีห้องไม้สี่ห้องอยู่ที่นี่ห้องหนึ่งสำหรับลินลี่ย์และบีบี อีกห้องหนึ่งสำหรับซาสเลอร์ ห้องที่สามสำหรับรีเบ็คกาและลีนา ขณะที่ห้องสุดท้ายเป็นของแฮรุ
เช้าตรู่หุบเขาทั้งเงียบและสงบ
เด็กสาวงามฝาแฝดผู้น่ารัก พวกนางดูเหมือนกับภาพมายากำลังพูดคุยหัวเราะขณะซักผ้าชุดเหล่านี้เป็นของพวกนาง ลินลี่ย์และซาสเลอร์ ภายในหุบเขาพวกนางต้องทำหน้าที่ปรุงอาหารและทำความสะอาดทั้งหมด
“พี่ลีนา,พี่คิดว่าปู่ซาสเลอร์จะเหน็ดเหนื่อยจากการฝึกฝนในห้องทั้งวันหรือเปล่า?” รีเบ็คกาถามลีนาเบาๆ
ห้องของซาสเลอร์ปกคลุมไปด้วยสีดำมีกลิ่นอายแห่งความตาย รังสีดำหนาแน่นมีกลิ่นอายแห่งความตายทำให้รีเบ็คกาและลีนากลัวที่จะเข้าไปใกล้
ลีนาย่นจมูกทำหน้านิ่วดูน่ารัก นางพูดอย่างไตร่ตรอง “บางทียอดฝีมือที่แข็งแกร่งต้องฝึกหนักอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ข้ายังรู้สึกว่าดูพี่ลินลี่ย์ฝึกแล้วยังสบายใจมากกว่า” ขณะที่นางพูด นางหันไปมองสระน้ำเงินในระยะไกล รีเบ็คกาก็หันไปมองเช่นกัน
ในใจกลางสระลินลี่ย์ยืนอยู่บนผิวน้ำ ไม่จมลงแม้แต่น้อย
วูบบบ วูบบบบ
น้ำที่ใต้เท้าของลินลี่ย์อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำรอบๆเขาสองสามเซนติเมตร เพราะลินลี่ย์ปลดปล่อยปราณยุทธออกจากเท้าของเขาสร้างระลอกคลื่นตรงกลางสระ
ลินลี่ย์กำลังควงดาบหนักอดาแมนเทียมในมือขวา บางครั้งเขาก็ฟันลง ขณะที่บางครั้งเขาแทง ทุกๆการเคลื่อนไหวทำให้อากาศใกล้ๆ สั่นสะเทือน เหมือนกับว่าอากาศทำด้วยโคลน และเมื่อดาบหนักอดาแมนเทียมฟันใส่อากาศจะมีความรู้สึกว่ามันทำลายมิติด้วยตัวมันเอง
“นี่คือวิชาสัจจะลึกซึ้งแห่งแผ่นดินบางครั้งก็ใช้ได้ บางครั้งก็ใช้ไม่ได้”
ลินลี่ย์ขมวดหน้าผาก
เมื่อเขาฆ่าแลมพ์สัน แม้ว่าลินลี่ย์จะฟันแลมพ์สันด้วยดาบของเขาร่างกายภายนอกของแลมพ์สันไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่อวัยวะภายในของเขาถูกทำลายหมดสิ้น
ขณะที่ลินลี่ย์เห็นนั้น การใช้ดาบหนักอดาแมนเทียมขั้นที่สามคือขั้น ‘กำหนด’แต่ระดับที่สี่ก็คือ ‘สัจจะลึกซึ้งแห่งแผ่นดิน”
ด้วยการใช้อาวุธหนักอย่างดาบหนักอดาแมนเทียมนี้ ตอนนี้ลินลี่ย์สามารถปลดปล่อยเคล็ดสัจจะแห่งแผ่นดินได้บางส่วน การโจมตีรูปแบบนี้ ก็คือแปลงพลังโจมตีเป็นพลังสั่นสะเทือนซึ่งถ่ายเข้าร่างของศัตรูได้ในพริบตา
พลังโจมตีสั่นสะเทือนนี้เมื่อเชี่ยวชาญเต็มที่ ก็ไม่ต้องสนใจพลังป้องกันของคู่ต่อสู้เลย
ที่สำคัญจังหวะสั่นสะเทือนตามชีพจรโลกคือสิ่งที่มีอยู่แล้วตั้งแต่เกิดฟ้าและดินขึ้น ความลับนี้มีความลึกซึ้ง
หลักการของ ‘สัจจะลึกซึ้งแห่งแผ่นดิน’นั้นคือ
แปลงพลังโจมตีของนักสู้ให้เป็นพลังสั่นสะเทือนเหมือนจังหวะการเต้นชีพจรของโลก เมื่อความสั่นสะเทือนเหล่านี้เข้าไปในร่างของคู่ต่อสู้ อวัยวะภายในจะเริ่มสะท้อน แรงสะท้อนจะทรงพลังมาก ที่สำคัญมันถูกสร้างผ่านพลังโจมตีของลินลี่ย์
อวัยวะภายในของร่างกายไม่ทนทานเท่าพลังป้องกันภายนอก
แรงสะท้อนนี้สามารถทำลายอวัยวะภายในของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายสั่นสะเทือนจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเชื่อในการเปลี่ยนพลังโจมตีเป็นพลังสะท้อนสั่นสะเทือน” ลินลี่ย์เข้าใจว่าปราณยุทธและความแข็งแกร่งโดยปกติเขาจะใช้โจมตีได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เทียบกับพลังโจมตีคลื่นสะท้อนนี้
แค่เพียงอาศัยความเข้าใจกฎของธาตุดินบางส่วนก็ทำให้ลินลี่ย์สามารถเปลี่ยนพลังโจมตีธรรมดาของเขาให้เป็นพลังคลื่นสะท้อนได้
สำหรับแนวคิดของลินลี่ย์ยิ่งคลื่นสะท้อนถูกสร้าง ความสำเร็จในการแปลงพลังก็มีมากขึ้น
“บางครั้งข้าสามารถสร้างสามารถสร้างความสั่นไหวสิบครั้งได้ในพริบตา แต่บางครั้ง ข้าก็ไม่สามารถสร้างได้” ลินลี่ย์ปวดหัว
ลินลี่ย์เข้าใจว่าเมื่อทักษะในการใช้ดาบหนักของเขามาถึงระดับขั้นนี้ เขานับว่าสามารถเข้าสู่ขอบเขตการใช้กฎแห่งธาตุดินแล้ว
แต่ลินลี่ย์ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสิ้นเชิง
“ข้าไม่อาจโลภมากเกินไป ตอนนี้ ข้าไม่ควรเพ่งกับการสร้างพลังสั่นสะเทือนมากเกิน ข้าควรจะเพ่งถึงแค่คลื่นพลังสะท้อน” เมื่อกวัดแกว่งดาบหนักอดาแมนเทียมด้วยมือหนึ่งหน้าของลินลี่ย์เคร่งเครียดมาก
ทันใดนั้น...
ดาบหนักอดาแมนเทียมดูเหมือนจะฉีกอากาศขาดจากกันขณะที่ฟันลงใส่ทะเลสาบ
สิ่งประหลาดก็คือไม่ใช่ระลอกคลื่นถูกสร้างบนพื้นผิวบ่อ แต่ทันใดนั้นทั่วทั้งสระเริ่มเปล่งเสียงประหลาด และจากนั้น ผิวสระเหมือนกับถูกยักษ์ยกขึ้นมาเป็นกำแพงน้ำสูงหนึ่งเมตร
“ครั้งนี้ข้าทำสำเร็จอีกแล้ว”
ความจริงลินลี่ย์ไม่ได้ตื่นเต้นมากเกินไป บางครั้งเขาก็ทำสำเร็จและบางครั้งก็ไม่สำเร็จเมื่อฝึกเคล็ด ‘สัจจะลึกซึ้งแห่งแผ่นดิน’ เขาไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้เหมือนเดิมอย่างสม่ำเสมอ
“พี่ลินลี่ย์ ได้เวลาอาหารแล้ว” ลีนายืนอยู่ไม่ห่างฝั่งเกินไป นางหัวเราะขณะที่เรียกเขา
“ปู่ซาสเลอร์ ได้เวลาอาหารแล้ว หยุดฝึกก่อน!” รีเบ็คกาเริ่มเรียกจากด้านนอกห้องไม้ของซาสเลอร์
แค่เพียงพลิกมือลินลี่ย์ก็ส่งดาบหนักอดาแมนเทียนลอยขึ้นไปในอากาศ เมื่อดาบตกลงมาก็พอดีสอดเข้าฝักดาบ ลินลี่ย์เชี่ยวชาญเคล็ด ‘กำหนด’ ดีแล้วและน้ำหนักของดาบหนักอดาแมนเทียมไม่เป็นอุปสรรคต่อลินลี่ย์แม้แต่น้อย
บนพื้นหญ้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ตัวหนึ่ง
ลินลี่ย์ ซาสเลอร์ รีเบ็คกาและลีนานั่งล้อมโต๊ะกัน
“ลินลี่ย์ เจ้ากำลังฝึกอะไรอยู่หรือ? ข้าเห็นวิธีฝึกที่น่าทึ่งของเจ้ามันใช้ได้ดี ข้าไม่เคยเห็นนักรบคนใดฝึกแบบนั้นมาก่อน” ซาสเลอร์พูดด้วยความสงสัย
ซาสเลอร์มีความรู้มากมายแต่เมื่อพูดโดยเปรียบเทียบแล้ว เขาไม่รู้เรื่องวิธีฝึกของนักรบมากนัก
ความจริงสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อให้นักรบระดับเก้าชั้นสูงเข้าสู่ระดับเซียนก็คือความก้าวหน้าในความเข้าใจระดับสูง และสำหรับนักรบชั้นเซียนจะก้าวหน้าเข้าสู่ระดับเทพพวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจกฎฟ้าและดินให้มากก่อน พวกเขาจึงจะได้รับประกายเทพ
“ข้ากำลังฝึกเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ ก็คล้ายกับความเพียรพยายามของจอมเวทเพื่อให้เข้าถึงธรรมชาติเนื้อแท้ของธาตุต่างๆ” ลินลี่ย์อธิบายตามปกติ
ซาสเลอร์ค่อยเข้าใจทันที
ในฐานะพ่อมดจอมเวทระดับเก้า ซาสเลอร์พัฒนาตนเองด้วยรัศมีมรณะไร้ขอบเขตจากแดนยมโลกและเข้าใจกฎแห่งความตายที่ยากและล่อลวงได้ง่าย
“ซาสเลอร์ เราฆ่าแลมพ์สันและคนของพวกเขา ท่านคิดว่าศาสนจักรเจิดจรัสจะสามารถอดกลั้นความโกรธของพวกเขาได้ไหม?” ลินลี่ย์ยังกังวลเรื่องนี้
ซาสเลอร์หัวเราะด้วยความมั่นใจ “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะบอกให้จักรวรรดิโอเบรียนและศาสนจักรเจิดจรัสอยู่ห่างไกลกันมาก ต่อให้พวกเขาใช้อสูรเวทบินส่งข่าวสารไป พวกเขาจะต้องใช้เวลาสิบวันหรือครึ่งเดือน และถ้าพวกเขาส่งยอดฝีมือมาก็ยังต้องใช้เวลาอีกชั่วระยะหนึ่ง
“แต่ถ้าเป็นยอดฝีมือระดับเซียนสามารถจะบินมาที่นี่ได้ พวกเขาสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว” ลินลี่ย์กล่าวอย่างเคร่งขรึม
หลังจากฆ่าคนของศาสนจักรเจิดจรัสไปหลายคนเป็นไปได้มากว่าศาสนจักรเจิดจรัสจะส่งนักสู้ระดับเซียนออกมา
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วง พวกเขาไม่กล้าส่งนักสู้ระดับเซียนคนไหนมาแน่ คิดดูสิ ทำไมพวกเขาไม่ส่งยอดฝีมือระดับเซียนมาจับข้า และกลับส่งนักสู้ระดับเก้ามาแทน” ซาสเลอร์หัวเราะยินดี
ลินลี่ย์สงสัยเรื่องนี้เช่นกัน
ถ้านักสู้ระดับเซียนถูกส่งไปจับซาสเลอร์การจับเขาก็คงเป็นเรื่องง่าย
“ลินลี่ย์ เจ้าต้องเข้าใจไว้ก่อน จักรวรรดิโอเบรียนดูแลโดยเทพศึก นานมาแล้วเทพศึกได้ตรากฎว่านักสู้ระดับเซียนของประเทศอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำการรุนแรงภายในเขตแดนของจักรวรรดิโอเบรียน ถ้าพวกเขามาดีก็นับว่าดีไป แต่ถ้าพวกเขาถูกพบว่ามีส่วนร่วมในการกระทำที่รุนแรง ผลกระทบที่ตามมาก็จะรุนแรงไปด้วย”
ซาสเลอร์หัวเราะอย่างเยือกเย็น “แม้ว่าศาสนจักรเจิดจรัสจะมีความกล้ามากกว่านี้ถึงสิบเท่าพวกเขาก็ไม่กล้าต่อต้านบัญชาของเทพสงคราม”
ศักดิ์ศรีของเทพสงครามไม่อาจละเมิดได้
“ไม่จำเป็น”
ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ “ท่านเพิ่งจะพูดไม่ใช่หรือ? ถ้าพวกเขาถูกพบว่ามีส่วนร่วมในการกระทำที่รุนแรง แต่จะเป็นยังไงถ้าพวกเขาไม่ถูกพบ? จำไว้ว่าเมืองปกครองเซียร์ไม่มียอดฝีมือแต่อย่างใดและเทพสงครามก็อยู่ห่างไกลในนครหลวงนั่น ถ้านักสู้ระดับเซียนปรากฏตัวในเมืองเซียร์อย่างฉับพลัน เขาคงไม่จำเป็นต้องรู้”
ซาสเลอร์สะดุ้ง
“ศาสนจักรเจิดจรัสคงไม่บ้าหรอกใช่ไหม?” ซาสเลอร์ชักไม่แน่ใจ
“ยากจะพูดได้ ที่สำคัญ เราฆ่านักสู้ระดับเก้าไปหกคนในอึดใจเดียวในครั้งนี้ และเมื่อพวกเขาพยายามจะจับท่านท่านก็ฆ่าพวกเขาไปมากเช่นกัน ศาสนจักรเจิดจรัสคงไม่ทนดูเฉยๆ โดยไม่ต่อสู้แน่” ลินลี่ย์พูดอย่างจริงจัง
ซาสเลอร์พิจารณาชั่วครู่แล้วจึงหัวเราะ “ก็ดีแล้ว แม้ว่าเมืองเซียร์จะไม่มีนักสู้ระดับเซียน แต่เมืองเบซิลมีอยู่หนึ่งคน แม็คเคนซี ถ้ายอดฝีมือระดับเซียนของศาสนจักรเจิดจรัสถูกส่งมาที่นี่เพื่อสู้กับเรา แม็คเคนซีจะสังเกตได้แน่นอน แม็คเคนซีจะไม่ยอมให้กองกำลังของศาสนจักรเจิดจรัสมากระทำการเสียมารยาทในสนามบ้านของเขาเป็นแน่ จากนั้นด้วยยอดฝีมือระดับเซียนสองคนต่อสู้กันที่นี่เทพศึกก็จะพบอย่างแน่นอน”
“จริงสิ” ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะเช่นกัน
ถ้าเขาสามารถปลุกเร้าศาสนจักรเจิดจรัสจนเกิดการสู้รบกับจักรวรรดิโอเบรียน ศาสนจักรเจิดจรัสคงได้เจ็บกันบ้าง
“ลินลี่ย์เมื่อตอนที่ข้าถูกแลมพ์สันและคนอื่นคร่ากุมตัวในมณฑลพายัพมีคนที่ศาสนจักรเจิดจรัสลอบวางตัวไว้ในมณฑลพายัพมาต้อนรับพวกเขา ข้าจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือชายชราคนหนึ่งนามว่าเพอร์รี่เป็นคนที่รับผิดชอบกิจการในมณฑลนี้ พิจารณาจากการสนทนาของพวกเขาเพอร์รี่นั้นน่าจะเป็นคนของเมืองเอกเบซิล”
ซาสเลอร์หัวเราะอย่างน่ากลัว “เนื่องจากเราจะต้องไปที่เบซิลอยู่แล้ว เราอาจกำจัดเจ้าเพอร์รี่นั้นด้วย บางทีเราอาจพบความลับบางอย่างของศาสนจักรเจิดจรัสเพิ่มขึ้นก็ได้”
“ผู้จัดการกิจการในมณฑลพายัพของพวกเขางั้นหรือ?” ลินลี่ย์นัยน์ตาเป็นประกาย “ก็ได้ เราจะไปกันพรุ่งนี้”