ตอนที่ 8-27 ความลับศาสนจักร
ซาสเลอร์รู้ว่าสำหรับคนอายุยี่สิบเอ็ดปีที่สามารถบรรลุถึงระดับนั้นได้ ก็หมายความว่าในอนาคต เขาจะทิ้งซาสเลอร์อย่างไม่เห็นฝุ่น
“ตอนนี้นับว่าเราได้รู้บางอย่างที่เกี่ยวกับความสามารถของกันและกันแล้วเจ้าไม่ต้องการรู้เรื่องศาสนจักรเจิดจรัสหรือ?”มาดท่าทีมั่นใจในตนเองปรากฏอยู่บนใบหน้าของซาสเลอร์ เกี่ยวกับความลับของศาสนจักรเจิดจรัส ซาสเลอร์รู้มากพอๆกับสมาชิกระดับสูงของศาสนจักรเอง
“พูดไป”ลินลี่ย์เริ่มตั้งใจฟังอย่างระมัดระวังทันที
ซาสเลอร์พยักหน้า “พูดง่ายๆก็คืออำนาจของศาสนจักรเจิดจรัสระดับผิวเผินที่สุด ได้แก่ ผู้เผยแพร่คนสอน บาทหลวงบิช็อพ, ไวคาร์และคาร์ดินัล พวกเขายังมีแปดกองพลอัศวินที่รู้จักกันดีว่าเป็นกองอัศวินที่ทรงอำนาจที่สุดของวิหารเจิดจรัส นี่สามารถนับได้ว่าเป็นกองทหารที่สองของพวกเขา นอกจากนี้พวกเขายังมีพวกข้าทาสบริวารของศาลศาสนจักรและพวกโยคีอีกเป็นจำนวนมากเช่นกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลินลี่ย์ยังคงเงียบอยู่ เขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ดีแล้ว
“แต่นอกจากกองกำลังที่เปิดเผยเหล่านี้แล้ว พวกเขายังมีกองกำลังลับอีกสองกอง” คำพูดนี้ดึงดูดความสนใจของลินลี่ย์ทันที
พวกโยคีและมือปราบของศาลศาสนจักรถือได้ว่าเป็นกองกำลังลับหรือเปล่า?
“กองกำลังลับทั้งสองนี้น่ากลัวอย่างมาก มีพลังมากกว่ากองกำลังอื่น กองกำลังลับแรกมีชื่อว่า ผู้คลั่งศาสนา!” ซาสเลอร์ขมวดคิ้ว “พวกคลั่งศาสนานี้น่ากลัวมากพวกเขามีพลังที่แปลกประหลาดซึ่งไม่ใช่พลังแห่งแสง ข้าไม่สามารถระบุได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลินลี่ย์ได้ยินเรื่องราว“ผู้คลั่งศาสนา”
“และกองกำลังที่สองเล่า?” ลินลี่ย์ถาม
หน้าของซาสเลอร์ยิ่งเคร่งขรึม “กองกำลังที่สองเป็นกองกำลังที่ทรงพลังอำนาจที่สุดซึ่งศาสนจักรเจิดจรัสมี ถือว่าเป็นไม้ตายที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขาจะไม่ใช้กองกำลังนี้เว้นแต่จะถึงจุดสุดท้าย หรือวิกฤติ นั่นคือเทวทูตอัญเชิญ”
“เทวทูต?” ลินลี่ย์ใจสั่น
ในอดีตตอนอยู่ที่สถาบันเอินส์ ลินลี่ย์อ่านหนังสือเกี่ยวกับเทวทูตมามาก ความประทับใจที่เขามีต่อเทวทูตก็คือพวกเขาทรงพลังและทรงพลังอย่างมาก
“เพราะข้อจำกัดของการมีกายเนื้อเทวทูตอัญเชิญจึงไม่ได้มีพลังระดับสูงสุดยอด อย่างไรก็ตามแม้แต่เทวทูตอัญเชิญที่อ่อนแอที่สุดก็เป็นนักสู้ระดับเก้า หลายคนเป็นระดับเซียน เทวทูตอัญเชิญเป็นกองกำลังที่น่ากลัวที่สุดอย่างแท้จริงของศาสนจักรเจิดจรัส” ซาสเลอร์ถอนหายใจ
ใจของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความตกใจ
“ซาสเลอร์, ข้าเคยอ่านเรื่องเทวทูตมาบ้าง กล่าวอธิบายถึงเทวทูตที่ทรงพลังมากที่สุดไว้ว่าพวกเขามีพลังของมหาเทพ ถ้าศาสนจักรเจิดจรัสมีเทวทูตที่ทรงพลังอยู่เป็นจำนวนมากพวกเขาคงไม่มีสภาพดังปัจจุบันนี้” ลินลี่ย์แย้ง
ซาสเลอร์ส่ายศีรษะ “ไม่,พลังของเทวทูตอัญเชิญขึ้นอยู่กับมนุษย์ที่เป็นร่างประทับที่ศาสนจักรเจิดจรัสเตรียมไว้”
“ร่างประทับมนุษย์?” ลินลี่ย์มองซาสเลอร์ด้วยความสงสัย
“ถูกแล้วตอนนี้เทวทูตไม่สามารถสร้างรอยแยกมิติและลงมายังโลกของเราได้ เงื่อนไขของพวกเขาในตอนนี้คือใช้วิธีการพิเศษและประทับลงในร่างมนุษย์ ความแข็งแกร่งหรือจุดอ่อนของร่างมนุษย์นี้จะเป็นตัวตัดสินว่าเทวทูตจะสามารถใช้พลังได้มากเพียงไหน” ซาสเลอร์อธิบาย
“ลินลี่ย์ แม้ว่าโลกนี้จะมีนักสู้ระดับเก้าและนักสู้ระดับเซียนก็ตาม...ถ้าไม่ใช่เพราะปราณยุทธของพวกเขา พลังภายนอกของพวกเขาค่อนข้างจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อย มนุษย์ธรรมดาสามารถฝึกพลังกายภายนอกได้ถึงระดับหก”
ลินลี่ย์เห็นด้วยกับการประเมินนี้
“เมื่อเทวทูตอัญเชิญประทับในร่างของร่างมีพลังกล้ามเนื้อแข็งแกร่งระดับหก พวกเขาสามารถใช้พลังได้มากที่สุดถึงระดับเก้า ดังนั้นศาสนจักรเจิดจรัสจึงต้องการร่างของนักสู้ระดับเจ็ดหรือที่สูงกว่า” ซาสเลอร์กล่าวอย่างมั่นใจ
“แม้แต่ร่างที่ทรงพลังมากกว่าด้วยหรือ?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว
“แม้ว่าร่างมนุษย์ธรรมดาจะมีพลังแข็งแกร่งได้ถึงระดับหก แต่ก็ยังมีอัจฉริยะบางส่วนที่แข็งแกร่งอย่างมาก คนพวกนั้นมีพรสวรรค์และกำลังมากเป็นพิเศษอาจบรรลุขีดจำกัดเป็นนักสู้ระดับเจ็ดได้ด้วยพลังกล้ามเนื้ออย่างเดียว และร่างกายซึ่งบรรลุถึงระดับเจ็ดโดยธรรมชาติว่ากันในเรื่องพลังก็น่าจะเพียงพอให้เทวทูตได้ใช้พลังจนถึงระดับเซียน”
เมื่อได้ยินคำพูดของซาสเลอร์ลินลี่ย์อดขมวดคิ้วไม่ได้
เพราะปู่ทวดของลินลี่ย์สามารถฝึกจะถึงระดับเจ็ดด้วยพลังกล้ามเนื้อล้วนๆ แต่หลังจากนั้นทวดของลินลี่ย์ก็ตายในการรบ ในอดีตที่ผ่านมา ลินลี่ย์ไม่เคยสงสัยเรื่องนี้ แต่ตอนนี้...
“อาจเป็นไปได้ว่าทวดของเรานั้นคงถูกศาสนจักรเจิดจรัสเอาร่างไปใช่หรือเปล่า? ลินลี่ย์คาดเดา
ในความเป็นจริงตระกูลสี่สุดยอดนักรบมีพลังภายในที่เป็นพรสวรรค์อยู่มากมายแล้ว
ซาสเลอร์พูดต่อ “นี่เป็นเหตุให้ศาสนจักรเจิดจรัสสำรวจหาคนที่มีร่างกายแข็งแกร่งทั่วโลกยิ่งมีร่างกายทรงพลังมากขึ้น พลังของเทวทูตอัญเชิญจะมากยิ่งขึ้น แต่มันไม่มีประโยชน์ ในยุคนี้ทวีปยูลานมีนักสู้ระดับเทพถึงสี่คนเมื่อเผชิญหน้ากับนักสู้ระดับเทพเหล่านี้ นักสู้ระดับเซียนทำอะไรไม่ได้ นอกจากตายสถานเดียว”
“สี่เทพนักสู้น่ะหรือ?” ลินลี่ย์จ้องมองซาสเลอร์ด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าซาสเลอร์จะรู้เรื่องความคงอยู่ของยอดฝีมือจากเทือกเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ซาสเลอร์เห็นลินลี่ย์ประหลาดใจเขาหัวเราะและกล่าว “นักสู้ระดับเทพทั้งสี่ก็คือเทพศึกและนักพรตชั้นสูงของมนุษยชาติ ส่วนอสูรวิเศษที่เป็นราชาแห่งป่าทมิฬและราชันย์อสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งเทือกเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปรากฏตัวในวันมหาวิบัติ”
“ลินลี่ย์ เมื่อข้าเล่าเรียนเวทลับของพ่อมด ข้าได้เรียนรู้ว่า...ร่างของเทพก็มีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับนักสู้ชั้นเซียนนี่ว่ากันเฉพาะพลังกายอย่างเดียว” ซาสเลอร์พูดด้วยความมั่นใจ
นักสู้ระดับเทพอาจกล่าวได้ว่าการประกอบของกายเทพ รัศมีเทพและพลังเทพที่เขาใช้นั้นไม่มีทางที่นักสู้ระดับเซียนจะทำร้ายพวกเขาได้
“ดังนั้น ในแง่การใช้พลังของเทพ เฉพาะพลังกายอย่างเดียวเท่านั้นที่มีความแข็งแรงระดับเซียน ส่วนใหญ่ศาสนจักรเจิดจรัสไม่สามารถแสดงเทวทูตระดับเทพออกมาได้ แม้ว่าเทวทูตระดับสูงจะลงประทับก็ตาม พวกเขาไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องกายหยาบ” ซาสเลอร์พูดอย่างมั่นใจ
การสอนเวทพ่อมดมีความลึกซึ้ง นอกจากนี้ซาสเลอร์ยังอายุเกินกว่าแปดร้อยปีเขาต้องรู้เรื่องหลายอย่างมากมาย
“นักสู้ระดับเทพ!” หัวใจของลินลี่ย์หวั่นไหวด้วยความทึ่ง
สี่ยอดฝีมือที่ทรงพลังที่สุดเหล่านี้แห่งทวีปยูลานสามารถสั่นสะเทือนโลกด้วยพลังของพวกเขาได้ ในวันมหาวิบัติ การปรากฏตัวของไดลินทำให้ศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาต้องหลีกหนีเขา
ศาสนจักรเจิดจรัสมีเทวทูตอัญเชิญ แต่ลัทธิเงามีอะไร เพราะพวกเขามีอำนาจเสมอกับศาสนจักรเจิดจรัสมานับปีไม่ถ้วน?
อย่างไรก็ตามมหาอำนาจทั้งสองรวมกันก็ยังไม่กล้าต่อต้านไดลินผู้นั้นราชันย์แห่งเทือกเขาอสูรวิเศษ
จากตรงนี้ ใครๆ ก็ไม่สามารถบรรยาพลังของนักสู้ระดับเซียนได้
“ใครจะรู้ว่าข้าจะมีพลังอย่างนั้นเมื่อใด” ลินลี่ย์เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและหวังว่าจะมีพลังเช่นนั้นบ้าง
….
ซาสเลอร์ยังคงบอกเล่าข้อมูลมากมายเกี่ยวกับศาสนจักรเจิดจรัสต่อไป
“ศาสนจักรเจิดจรัสจะใส่ใจสองเรื่องมากที่สุดคือเรื่องแรกหาร่างที่มีพลังมาก เรื่องที่สองหาวิญญาณที่บริสุทธิ์มาก” ขณะที่ซาสเลอร์พูดเรื่องนี้ ลินลี่ย์สีหน้าเปลี่ยน
วิญญาณบริสุทธิ์?
มารดาของเขาตายเนื่องจากผลเช่นนี้
“ตามที่คาดกันไว้ มหาเทพเจิดจรัสซึ่งศาสนจักรเจิดจรัสเทิดทูนบูชาต้องการเพียงสองสิ่งสิ่งแรกคือการเทิดทูนบูชาของเหล่าสาวกของเขา อย่างที่สองก็คือวิญญาณบริสุทธิ์ ยิ่งศาสนจักรบูชายัญด้วยวิญญาณบริสุทธิ์มาก ของขวัญที่มหาเทพเจิดจรัสประทานให้พวกเขาก็ยิ่งใหญ่มาก”
ตอนนี้ลินลี่ย์มีความเข้าใจศาสนจักรเจิดจรัสดีขึ้นแล้ว
เหตุผลที่ศาสนจักรเจิดจรัสบูชายัญวิญญาณที่บริสุทธิ์แก่มหาเทพเจิดจรัสก็เหตุผลเดียวกับที่พวกเขาค้นหาร่างที่ทรงพลัง เป็นเพราะพวกเขาต้องการใช้เทวทูตอัญเชิญได้อย่างเต็มที่
“ลินลี่ย์, ในทวีปยูลานศาสนจักรเจิดจรัสได้ซ่อนกำลังสำรองไว้ทั่วทุกพื้นที่ ที่สำคัญคือพลังของศาสนาช่างน่ากลัวมาก” ซาสเลอร์พูดพลางถอนหายใจ “แต่ในสี่จักรวรรดิใหญ่ กิจการของศาสนจักรเจิดจรัสค่อนข้างอ่อนแออย่างไรก็ตามในดินแดนอนารยชน อิทธิพลของพวกเขาค่อนข้างมาก”
“ดินแดนอนารยชน?”
แผนที่ลอยขึ้นมาข้างหน้าจากความทรงจำของลินลี่ย์
ทิศตะวันออกของจักรวรรดิโอเบรียนมีพื้นที่ซึ่งใหญ่กว่าจักรวรรดิโอเบรียนเล็กน้อย ในใจกลางพื้นที่แห่งนี้เป็นป่าขนาดมหึมา นั่นคือป่าทมิฬ
ป่าทมิฬกว้างหลายพันกิโลเมตรและยาวหลายพันกิโลเมตรเช่นกันผืนป่าขนาดมหึมานี้กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของดินแดนแถบนี้
ทิศเหนือของป่าทมิฬมีแปดแคว้นอิสระด้านเหนือขนาดเท่ากับมณฑลปกครองของจักรวรรดิโอเบรียน
ด้านใต้ของป่าทมิฬมี48 แว่นแคว้น พื้นที่โดยรวมทั้งหมดของแว่นแคว้นเหล่านี้มีขนาดครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิโอเบรียน ตรงนี้ถือว่าเป็นพื้นที่ซึ่งมีความวุ่นวายในการปกครองมากที่สุดในทวีปยูลาน เนื่องจาก 48 แคว้นอิสระเหล่านี้ชอบก่อสงคราม
“ศาสนจักรเจิดจรัสและลัทธิเงาเป็นสองศาสนาที่ทรงอำนาจที่สุดในดินแดนอนารยชน
ลินลี่ย์สามารถนึกภาพออก
ในสงครามชิงบัลลังก์แผ่นดินอนารยชนเป็นเรื่องธรรมดาที่สามัญชนผู้น่าสงสารจะหันเข้าหาศาสนาเพื่อปลอบขวัญ
“จริงสิ ข้าพูดมากจนปากแห้งแล้ว ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว” ซาสเลอร์หัวเราะลั่น
ซาสเลอร์และลินลี่ย์มีแหวนมิติเก็บสมบัติกันทั้งคู่ และแหวนของคนทั้งสองเก็บไวน์ชั้นดีไว้ได้ดื่มไวน์ขณะกินผลไม้สดไปพลาง ทั้งสองคนปรึกษากันถึงแผนจัดการกับศาสนจักรเจิดจรัส
“โอว จริงสิ ข้านึกอะไรได้ขึ้นมาทันที” จู่ๆซาสเลอร์ก็พูดขึ้นมา
“เรื่องอะไร?” ลินลี่ย์มองซาสเลอร์
ซาสเลอร์หัวเราะเบาๆ “ครั้งนี้ เมื่อข้าถูกพวกการ์ดควบคุมตัว เราผ่านหน่วยของศาสนจักรเจิดจรัสอีกทีมหนึ่ง หน่วยนี้ก็ควบคุมคนกลุ่มหนึ่งเหมือนกัน
“ใครกัน? ยอดฝีมืออย่างท่านหรือ?” ลินลี่ย์ถาม
ถ้าพวกเขาเป็นยอดฝีมือ อย่างนั้นเขากับซาสเลอร์จะไปช่วยพวกเขา ที่สำคัญพวกเขาแต่ละคนเป็นปฏิปักษ์กับศาสนจักรเจิดจรัสทั้งนั้น ถ้าพวกเขารวมตัวกัน พวกเขามีแต่จะแข็งแกร่งขึ้น
“ไม่, เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักสองคน” ซาสเลอร์ส่ายศีรษะ “เดิมทีเมื่อหน่วยนั้นกับหน่วยของแลมสันพบกัน ข้าเห็นเด็กผู้หญิงทั้งสองนั้น ข้าต้องบอกว่าข้าต้องบอกเลยว่าเด็กผู้หญิงนั้นบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเหมือนนางฟ้า เนื่องจากข้าคุ้นเคยกับลักษณะของวิญญาณข้ามั่นใจได้เลยว่าเด็กผู้หญิงสองคนนี้มีวิญญาณที่บริสุทธิ์มาก”
ผู้ฝึกฝนมาทางเวทของพ่อมดเทียบกับจอมเวทชนิดอื่นมีประสบการณ์มากที่สุดเมื่อว่ากันถึงเรื่องดวงวิญญาณ
“อย่างไรก็ตามในสายตาของศาสนจักรเจิดจรัส ความสำคัญของข้ายังเหนือกว่าความสำคัญของเด็กผู้หญิงสองคนนั้น แลมส์สันและคนอื่นเร่งพาข้าเดินทางอย่างรวดเร็ว ขณะที่เด็กผู้หญิงทั้งสองเป็นอีกหน่วยหนึ่งพาไปซึ่งจะค่อนข้างเดินทางช้า” ซาสเลอร์กล่าว
“ดังนั้นความตั้งใจของท่านคือ..?” ลินลี่ย์มองซาสเลอร์ด้วยความสงสัย
ซาสเลอร์หัวเราะเบาๆ “ข้าตั้งใจว่าเราควรไปช่วยเด็กผู้หญิงทั้งสองคนนั้น ที่สำคัญหน่วยนั้นมียอดฝีมือไม่มากมีแค่นักสู้ระดับแปดคนเดียว”
ในสายตาของซาสเลอร์และลินลี่ย์นักสู้ระดับแปดไม่มีอะไร
“หัวหน้าพ่อมดจอมเวทอย่างท่านใจดีมากจนยอมช่วยเหลือเด็กผู้หญิงได้ยังไง?” ลินลี่ย์มองดูซาสเลอร์
ซาสเลอร์หัวเราะ “ข้าพอใจจะขัดขวางงานของศาสนจักรเจิดจรัสทุกครั้งที่ข้ามีโอกาส และที่ยิ่งกว่านั้นด้วยวิญญาณที่บริสุทธิ์มากของพวกนาง ทั้งสองอาจเหมาะฝึกฝนเวทพ่อมดก็ได้”
คุณสมบัติสำหรับคนเรียนเวทพ่อมดนั้นสูงส่งจนน่ากลัว
นี่คือสาเหตุที่ทั่วทวีปยูลานจำนวนพ่อมดจึงน้อยมากและต่ำมาก วิญญาณคือคุณสมบัติสำคัญที่สุดของคน และแม้แต่มหาเทพเจิดจรัสก็ยังต้องการวิญญาณบริสุทธิ์ จากตรงนี้คงสามารถบอกถึงความสำคัญความบริสุทธิ์ของวิญญาณ เพื่อเล่าเรียนมนต์พ่อมดจึงต้องการผู้ที่มีวิญญาณบริสุทธิ์มาก
“ท่านควรจะรู้ว่าพวกเขาใช้เส้นทางไหนใช่ไหม?” ลินลี่ย์ถาม
ซาสเลอร์ผงกศีรษะ “ทางที่พวกเขาใช้ก็ควรเป็นเส้นทางที่ข้าได้ใช้ เว้นแต่หน่วยนี้จะได้รับข่าวสารการตายของแลมพ์สันและคนของเขาแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเขาอาจเปลี่ยนเส้นทางกระทันหันก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ” ลินลี่ย์ลุกขึ้นทันที
“โกรววว” บีบีและแฮรุซึ่งนอนอยู่บนพื้นหญ้าใกล้ๆ ยืนขึ้นพร้อมกัน อสูรเวททั้งสองตื่นเต้นมากตามธรรมดาอสูรเวทมีนิสัยดุร้าย ป่าเถื่อนอยู่แล้ว พวกมันชอบสู้รบ
“ตอนนี้เลยเหรอ?” ซาสเลอร์สะดุ้งเล็กน้อย “เราทำลายร่องรอยของแลมพ์สันและคนของพวกเขาหมดแล้ว ต่อให้คนของศาสนจักรเจิดจรัสพบว่าคฤหาสน์ว่างเปล่า บางทีพวกเขาคงได้แต่คิดว่าแลมพ์สันและคนของเขาจากไป พวกเขาจะไม่พบว่าแลมพ์สันตายเร็วขนาดนี้ ต่อให้พวกเขาพบว่าแลมพ์สันและคนของเขาตายแล้ว พวกเขาคงไม่สามารถส่งข่าวไปให้อีกหน่วยหนึ่งได้เร็วแน่”
“อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านเลย เราจะย้อนไปตามเส้นทางเดียวกับที่ท่านถูกพาไป”ลินลี่ย์พูดทันที
ซาสเลอร์ได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และถอนหายใจจากนั้นลุกขึ้นยืนเช่นกัน