ตอนที่ 8-22 โลกกว้างใหญ่
หนึ่งเดือนต่อมาคำสั่งจากประมุขตระกูลชาร์คก็ส่งมาถึง คีนรับตำแหน่งเจ้าเมืองปกครองเมืองเซียร์ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะอายุบรรลุนิติภาวะเจนน์พี่สาวของเขาจะช่วยเขาดูแลกิจการของเมือง
“พี่ลีย์, ท่านจะไปจริงๆ หรือ?”
เจนน์คีนและแลมเบิร์ตทุกคนมองดูลินลี่ย์อย่างประหลาดใจ
เมื่อคีนเป็นเจ้าเมืองและเจนน์เป็นผู้ดูแลของเขาเทียบกับตอนนี้สองพี่น้องนับว่ามีชีวิตที่สบายแล้ว เพียงแต่ทั้งสองคนต้องการหาทางตอบแทนลินลี่ย์แต่จู่ๆ เขาประกาศว่าเขาตั้งใจจะแยกออกไปจากเมืองเซียร์
“พี่ลีย์” เจนน์มองทำตาแดงๆ
ลินลี่ย์สะพายดาบหนักและบีบีอยู่บนไหล่ของเขา เสือดำเมฆาแฮรุยืนอยู่ด้านข้างของเขา ลินลี่ย์ยิ้มพลางกล่าว “ในสภาพแวดล้อมที่พัฒนาแล้วและมีสิ่งก่อสร้างในเมืองเซียร์การฝึกฝนของข้าจะส่งผลไม่ดีต่อเมือง ข้าไม่ได้ไปไกลมากนัก แค่ตั้งใจไปในหุบเขาใกล้ๆเมืองเซียร์และฝึกฝีมือเงียบๆ สักระยะหนึ่ง”
สำหรับลินลี่ย์สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นการฝึก ลินลี่ย์ยังคงฝึกฝนพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เมื่อยังไม่ถึงสภาวะคอขวดของการฝึกฝนจึงทำให้การฝึกฝนนั้นสำคัญมากขึ้น ในเวลาอย่างนี้เขาต้องฉวยโอกาสเพิ่มพลังของเขาให้มากเท่าที่เป็นไปได้
มีบันทึกว่านักรบเลือดมังกรของตระกูลบาลุคสามารถบรรลุถึงระดับเซียนและมีอำนาจเหนือโลกเป็นเวลาหลายทศวรรษเนื่องจากการฝึกฝนอย่างเข้มข้น
ยอดฝีมือต้องอดทนต่อความเดียวดายได้
“หุบเขาหรือ?” เจนน์และคีนลอบถอนหายใจโล่งอก
“ถูกแล้ว ถ้าข้ามีเวลาว่าง ข้าจะมาเยี่ยม ข้าช่วยพวกเจ้ามากเท่าที่จะช่วยได้แล้วในอนาคตพวกเจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองแล้วนะ” ลินลี่ย์พูดพลางหัวเราะ
เมื่อเขามองดูสองพี่น้องคีนและเจนน์ ลินลี่ย์มักจะคิดถึงวอร์ตันน้องชายของเขาเองตอนนี้เขากับวอร์ตันก็กำพร้าพ่อแม่เช่นกัน
“สงสัยจริงๆ ว่าวอร์ตันจะเป็นยังไงบ้าง หลังจากข้าเข้าใจเคล็ด ‘กำหนด’ มากขึ้น ข้าค่อยไปเยี่ยมหาเขาก็ได้”
ลินลี่ย์รู้ดีว่าตอนนี้วอร์ตันจะต้องฝึกฝนอยู่ในจักรวรรดิโอเบรียนอย่างหนักแน่นอนเขายังไม่จำเป็นต้องไปรบกวนวอร์ตัน นอกจากนี้เมื่อเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้วอร์ตันเติบใหญ่รวดเร็วที่สุด
เมื่อลินลี่ย์อยู่ข้างๆวอร์ตัน บางทีวอร์ตันอาจได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
…..
ด้านตะวันออกของเมืองเซียร์มีแนวเทือกเขาเขียวชอุ่มซึ่งมีหุบเขาเล็กๆ ซ่อนอยู่ ลินลี่ย์สร้างห้องไม้ที่นี่จากนั้นเริ่มฝึกฝนอย่างเงียบสงบ
ตกดึกภายในหุบเขามีทุ่งหญ้าเขียวขจีและมีทะสาบเล็กอยู่ตรงกลาง
ลินลี่ย์นั่งทำสมาธิอยู่ใกล้ทะเลสาบ เขาหลับตาปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ ข้างตัวของเขามีกองไฟสว่างแสงไฟวูบวาบอยู่บนใบหน้าลินลี่ย์
ลินลี่ย์สามารถสัมผัสรู้ได้ถึงแผ่นดินที่กว้างหญ่สายลมที่พัดโบกและกระแสน้ำและรู้สึกถึงภาวะของเปลวไฟ
ในฐานะจอมเวทที่มีสายสัมพันธ์สองสายธาตุดีเป็นพิเศษคือธาตุลมและธาตุดินความสามารถของลินลี่ย์ในการปรับตัวเข้ากับธรรมชาติเหนือล้ำกว่านักรบทั้งหมด
นี่คือสาเหตุที่บรรพบุรุษของตระกูลบาลุคผู้ใช้ค้อนหนักเป็นอาวุธคู่มือสามารถเข้าถึงระดับ‘กำหนด’ ได้หลังจากเข้าสู่ขอบเขตเซียน ที่สำคัญคือนักรบปรับตัวให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับนักเวท
“เคล็ดสายฟ้าฟาดข้าได้เรียนรู้เมื่อตอนถึงระดับกวัดแกว่งของหนักดุจของเบามีพลังระเบิดแฝงอยู่เหมือนกับภูเขาไฟปะทุ ส่วนเคล็ดที่ชื่อว่า ‘กำหนด’ จะประกอบไปด้วยพลังคุณสมบัติที่เป็นธรรมชาติของตนเองของธาตุ ดิน ไฟน้ำและลม อย่างไรก็ตาม...”
หลังจากเข้าสมาธิเป็นเวลานานลินลี่ย์ก็เข้าใจทันที
“ระดับ ‘กำหนด’ก็คือพลังคุณสมบัติที่ยืมมาจากพลังที่อยู่ในธรรมชาติรอบตัว ระดับที่อยู่เหนือกว่า ‘กำหนด’ น่าจะครอบคลุมทั้งหมด ข้าจำเป็นต้องไล่ไปตามเส้นทางนี้อย่างเหมาะสมที่สุด”
ในความมืดยามราตรี ลินลี่ย์ยังคงอยู่ในท่านั่งสมาธิที่เดิม จากนั้นเขาลืมตาพลัน ดวงตาของเขาสดใสเหมือนกับดวงดาวในท้องฟ้ายามราตรี
“อาวุธที่แตกต่างคงจะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างพลังของดาบหนักอยู่ที่น้ำหนักของมัน! เพราะดาบนี้มีชื่อว่าเบลดเลส(ดาบไร้คม) จึงเป็นธรรมดาที่มิได้อาศัยคมของมัน มันอาศัยน้ำหนักที่มหาศาลอย่างชัดเจนและทำการโจมตีอย่างตรงๆ
จิตวิญญาณของลินลี่ย์รู้สึกถึงเค้าลางบางอย่าง
หลักการฝึกด้วยดาบหนักคล้ายกับหลักการพื้นฐานของตัวแผ่นดินเอง
“แผ่นดินกว้างใหญ่หนาแน่นและหนัก แผ่นดินกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแผ่นดินกว้างใหญ่มั่นคง...” ลินลี่ย์ถือดาบหนักอดาแมนเทียมในมือของเขาแต่หัวใจของเขาผสานเข้ากับชีพจรของแผ่นดิน
ชีพจรของแผ่นดินสั่นสะเทือนไม่เหมือนใครสั่นเป็นจังหวะเหมือนหัวใจ กล่าวโดยทั่วไปมีแต่คนที่เข้าถึงแผ่นดินในระดับสูงได้จึงจะรู้สึกได้
ลินลี่ย์ยกเท้าข้างหนึ่ง
เขาเริ่มกวัดแกว่งดาบหนักอดาแมนเทียมเงียบๆขณะที่ดาบหนักอดาแมนเทียบร่ายรำ ความเคลื่อนไหวของตัวลินลี่ย์เองและความเคลื่อนไหวของดาบเริ่มเป็นจังหวะเฉพาะตน
นี่เป็นจังหวะที่เป็นเหมือนชีพจรของหัวใจคน
“ควั่บ”
ดาบหนักอดาแมนเทียมดูเหมือนจะแบกน้ำหนักเป็นล้านปอนด์ ขณะที่มันฟันใส่อากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ลินลี่ย์เหวี่ยงดาบหนักของเขาซ้ำๆกัน เขารู้สึกเหมือนกับเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับแผ่นดิน เพียงฝึกด้วยดาบหนักของเขาเขาก็รู้สึกเหมือนกับตัวเขาเองแบกน้ำหนักโลกไว้ทั้งโลก
“บึ้ม!”
ดาบหนักอดาแมนเทียมของลินลี่ย์แทงฝ่าอากาศทันที เสียงระเบิดดังหลายครั้งได้ยินอย่างต่อเนื่อง การแทงใส่อากาศว่างเปล่านี้ทำให้ตัวอากาศระเบิดได้เอง ไม่อยากเชื่อเลย นี่เป็นเพราะไม่ว่าอาวุธจะเคลื่อนได้ไวเพียงไหนก็มีแนวโน้มจะเกิดเสียงระเบิดทลายกำแพงเสียงเพียงครั้งเดียว การจะเกิดเสียงระเบิดตามมาหลายครั้งนั้นเป็นไปไม่ได้
“หืม?” ตาของลินลี่ย์เป็นประกายทันที
แต่ก็เพียงแค่นั้นเมื่อเลิกกังวลใจ ลินลี่ย์ไม่ดูดซับความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบตัวอีกต่อไป
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าไม่ได้ใช้ปราณยุทธอะไรเลย แต่พลังของข้ากลับแบ่งออกเป็นหลากหลายจังหวะชีพจรที่หลากหลาย
ลินลี่ย์เริ่มไตร่ตรองถึงข้อสงสัยนี้
เมื่ออยู่ในระหว่างการฝึกฝน บางครั้งผู้ฝึกจะเข้าสู่สภาวะบางอย่างแน่นอนและเข้าถึงระดับพลังที่น่าทึ่ง แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถเข้าใจสภาวะที่พวกเขาเข้าถึงนั้น พวกเขาจะไม่สามารถใช้พลังนั้นได้อีกโดยง่าย
สิ่งที่ลินลีย์จำเป็นต้องทำตอนนี้คือไตร่ตรองและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
เขาจำเป็นต้องเชี่ยวชาญให้ได้ทุกอย่างและควบคุมให้ได้อย่างสิ้นเชิง
……
ท้องฟ้าสีเหมือนน้ำทะเล สีฟ้าบริสุทธิ์ไม่มีสีอื่นเจือปนมีเมฆสองสามก้อนลอยขวางอ้อยอิ่ง ชีวิตของลินลี่ย์ในหุบเขาช่างเงียบสงบนัก
สายลมพัดโบกเกิดระลอกคลื่นในทะเลสาบ
ตอนนี้ลินลี่ย์ไม่ได้ฝึก เขาตกปลาอยู่ในทะเลสาบกลางหุบเขา คนเราไม่สามารถฝึกอยู่ตลอดเวลาได้ ถ้าพวกเขาทำอย่างนั้น ก็อาจมีผลต่อความสมบูรณ์ก็ได้
ถ้าเขาต้องการตกปลา เขาจะทำ ถ้าเขาต้องการไปนอน เขาจะไปนอน
ใจของเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลก หนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
เมื่อเขาฝึกนี่จะทำให้ระดับความก้าวหน้าสูงมาก
“พี่ลีย์” เสียงหนึ่งดังมาจากนอกหุบเขา ลินลี่ย์หันไปมองเห็นเจนน์อยู่บนหลังม้า ด้านหลังนางมีหญิงรับใช้หน้าตางดงามสองคนขี่ม้าติดตาม หญิงรับใช้ทั้งสองคนนี้ดูมีความสามารถเนื่องจากความเคลื่อนไหวบนหลังม้าของพวกนางบ่งบอกว่าเป็นนักขับขี่ที่มีประสบการณ์
“เจนน์” ลินลี่ย์วางคันเบ็ดลงและลุกขึ้นยืน
บีบีกับแฮรุไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็น ทั้งสองชอบเข้าไปในภูเขาลึกเพื่อล่าสัตว์ป่ากิน สัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาที่ลินลี่ย์อยู่อาศัยนี้จะเป็นสัตว์ป่าธรรมดา อสูรเวทจะหาได้ยากมาก
“พี่ลีย์, อาหารเหล่านี้ข้าเตรียมไว้ให้ท่าน” เจนน์แก้ห่อสัมภาระจากหลังม้า สัมภาระถูกห่อไว้อย่างดี “ที่นี่ท่านไม่สามารถหาอาหารดีๆ กินได้มาเถอะพี่ลีย์ นี่คืออาหารเลิศรส”
เจนน์แก้สัมภาระทีละชั้นภายในเป็นกล่องโลหะกล่องหนึ่งบรรจุไปด้วยข้าวปลาอาหารทุกอย่าง
ลินลี่ย์สูดกลิ่น
“ฮืมม.. กลิ่นหอมจริงๆ ด้วย” ลินลี่ย์หัวเราะ
หน้าของเจนน์แดงด้วยความตื่นเต้น
แต่ลินลี่ย์ลอบถอนหายใจ ลินลี่ย์จะบอกความรู้สึกเจนน์ได้ยังไง? ในแง่ของรูปลักษณ์และนิสัยอารมณ์ทั้งสองอย่าง เจนน์สมบูรณ์พร้อม แต่ลินลี่ย์มีประสบการณ์มากยากที่ลินลี่ย์จะยอมเปิดหัวใจส่วนลึกรับคนอื่นเข้ามาในหัวใจ
“รัก?”
ลินลี่ย์ลอบถอนหายใจให้ตอนเอง
เขาไม่มีความสนใจเรื่องราวของหัวใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตอนนี้ก็คือมุ่งมั่นฝึกฝน ช่วงนี้เองฉากภาพหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของลินลี่ย์อย่างช่วยไม่ได้
หลังจากบิดาของลินลี่ย์ตายพวกชนชั้นสูงที่มาคารวะในงานศพที่เมืองอู่ซันทุกคน เดเลียมาเยี่ยมเขา นางต้องการบอกลินลี่ย์ว่านางจะกลับไปจักรวรรดิยูลาน และคืนนั้นก่อนที่นางจากไป เดเลียจูบเขา
“เดเลีย?”
นอกจากอลิซแล้วบางทีมีเพียงคนเดียวที่ลินลี่ย์รู้สึกมีใจให้ด้วยก็คือสาวน้อยคนนี้ผู้ที่เขารู้จักตั้งแต่ปีแรกในสถาบันเอินส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากนางแสดงความในใจต่อเขา แม้ว่าลินลี่ย์จะไม่ได้ยอมรับโดยเปิดเผยแต่ในใจของเขาภาพของเดเลียประทับอยู่ในใจของเขา
“พี่ลีย์ ทานเสียเถอะ” เจนน์พูดอย่างมีความหวัง
ลินลี่ย์ถอนหายใจกับตัวเอง “ข้าไม่ยอมให้เจนน์ต้องเสียช่วงเยาว์วัยของนางไปในลักษณะนี้” ขณะที่เขาคิดในใจลินลี่ย์เริ่มกินพลางชื่นชมไปด้วย “นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ อร่อยมาก”
เมื่อได้ยินคำชมของลินลี่ย์ เจนน์ยิ้มเต็มหน้า
“เจนน์ ต่อไปคราวหน้าเจ้าไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมข้าแล้ว เมื่อข้ากำลังฝึก ข้าไม่อยากถูกรบกวน” ลินลี่ย์พูดกับเจนน์
เจนน์สะดุ้ง
“โอว” เจนน์พึมพำ จากนั้นนางฝืนยิ้ม “อย่างนั้นเมื่อท่านมีเวลาว่างพี่ลีย์ต้องมาเยี่ยมเราที่ปราสาทบ้าง”
“ย่อมได้” ลินลีย์ได้แต่ตอบยืนยันเท่านั้น
….
วันคืนที่ลินลี่ย์ฝึกฝนอยู่ในหุบเขาผ่านไปอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวผ่านไปเกินกว่าหนึ่งเดือน เรื่องการใช้ดาบหนักอดาแมนเทียมของเขาลินลี่ย์ค่อยๆ พบวิธีการที่เหมาะสม
ตราบเท่าที่เขายังคงเพียรพยายามอยู่ในเส้นทางนี้ ในช่วงเวลาสองสามปีเขาคงสามารถบรรลุระดับใหม่ที่เหนือยิ่งกว่าระดับ ‘กำหนด’ แน่นอน!
….
ภายในโรงแรมที่เงียบสงบของเมืองเซียร์
โรงแรมแห่งนี้มีไฟเพียงสลัวๆและบรรยากาศค่อนข้างมืดมัวในช่วงพลบค่ำ แต่ละโต๊ะจัดแถวอย่างเป็นระเบียบและช่วงระหว่างนั้นจะมีฉากกั้น
นี่คือโรงแรมที่เงียบมากแต่เต็มไปด้วยบรรยากาศยิ่งใหญ่ เพียงครั้งแรกที่ลินลี่ย์มาที่นี่ เขาก็ชอบมัน
ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเช่นกัน
ขณะที่เขากำลังฝึกฝนกล่าวโดยทั่วไปแล้วทุกๆ เจ็ดหรือแปดวันลินลี่ย์จะมาที่นี่และดื่มเหล้าฟังเพลงของโรงแรมที่ไพเราะ และบ่อยครั้งที่เขาได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของคนเดินทาง
“ใกล้เดือนกรกฎาคมแล้ว ปีการศึกษาใหม่ของวอร์ตันน่าจะเริ่มในไม่ช้า” ลินลี่ย์คิดเอง
ตอนนี้ในโรงแรมมีลูกค้าค่อนข้างน้อย ลูกค้าทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสนทนาจะพยายามเบาเสียงลงขณะที่พวกเขาพูดคุย แต่เมื่อลินลี่ย์ตั้งใจฟังเขาสามารถได้ยินทุกคำพูดสนทนาได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้นเสียงสนทนาเบาๆรายหนึ่งดึงดูดความสนใจของลินลี่ย์
“เจ้าเคยได้ยินมาบ้างไหม?ในเมืองหลวงจักรวรรดิมีอัจฉริยะที่เหลือเชื่อถือกำเนิด อายุสิบเจ็ดปีเองชื่อวอร์ตัน” ที่โต๊ะต่อจากลินลี่ย์มีบุรุษวัยกลางคนสามคนนั่งอยู่ พวกเขาพูดคุยกันถึงพวกอัจฉริยะต่างๆ ในจักรวรรดิ
วอร์ตัน?
ลินลี่ย์เพ่งความสนใจฟังเต็มที่
หลังจากใช้เวลามามากครั้งในจักรวรรดิโอเบรียนลินลี่ย์ยังคงติดตามเรื่องราวของวอร์ตัน
“เจ้ากำลังพูดถึงอัจฉริยะที่โผล่ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในสถาบันโอเบรียนน่ะหรือ?” บุรุษศีรษะโล้นตาเป็นประกาย “ข้าก็เคยได้ยินชื่อเขาเช่นกัน นักเรียนปีเจ็ดซึ่งเป็นปีสำเร็จการศึกษามักจะได้รับความสนใจอย่างมากมาย แม้กระทั่งนักเรียนบางคนที่ถึงระดับแปดก็มีส่วนร่วมในโอกาสนี้”
เนื่องจากสถาบันโอเบรียนสถาบันนักรบอันดับหนึ่งของทวีปยูลานแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับชั้น
เมื่อถึงระดับเจ็ดนักรบก็จะได้รับให้เข้าเรียนในชั้นที่เจ็ด
นักรบระดับเจ็ดมีมีคุณสมบัติจะจบการศึกษา แต่มีหลายคนเลือกจะอยู่ในสถาบันต่อ แม้ว่านักรบระดับแปดบางส่วนก็ยังไม่รีบจบ
“เจ้าแร้งหัวโล้น เจ้าได้ยินข่าวนี้มาด้วยหรือ? เจ้าวอร์ตันผู้นั้นจริงๆแล้ว โอว..” บุรุษวัยกลางคนผมเขียวถอนหายใจ “อายุเพียงสิบเจ็ดปีในอดีตเขาไม่เคยร่วมแข่งขันประจำปีแต่อย่างใดเลย ครั้งนี้เมื่อเขาเข้าร่วมแข่งขันในเด็กชั้นปีเจ็ด เขาเอาชนะนักรบระดับแปดกลายเป็นผู้ชนะเลิศของชั้นปีที่เจ็ด”
“อะไรนะ? อายุสิบเจ็ดปีและเอาชนะนักสู้ระดับแปดได้เหรอ? พูดจริงหรือเปล่า? เรื่องจริงหรือเปล่า?” บุรุษอ้วนเตี้ยคนหนึ่งที่นั่งฟังจนตอนนี้โพล่งขึ้นด้วยความตกใจทันที
บุรุษหัวโล้นชำเลืองมองเขา“จริงแท้แน่นอน ข้าเห็นมากับตาตัวเองเจ้าไม่รู้หรอก วอร์ตันผู้นี้สูงเกือบสองเมตรและร่างใหญ่กำยำมาก แค่ลักษณะร่างกายภายนอกเพียงอย่างเดียวก็สร้างแรงกดดันให้ผู้คนได้ อาวุธที่เขาเลือกใช้เป็นดาบศึกขนาดยักษ์ดูน่ากลัวมากยามกวัดแกว่งดาบศึกนั้น วอร์ตันผู้นั้นสามารถเอาชนะนักรบระดับแปดกลายเป็นผู้ชนะเลิศของปีที่เจ็ดไปเลย”
“จากสิ่งที่ข้าได้ยินเพราะวอร์ตันผู้นี้สามารถเอาชนะนักรบระดับแปดได้ตอนนี้ก็หมายความว่าเขามีแนวโน้มว่าจะถึงระดับแปดด้วยตัวเองตอนอายุราวๆ ยี่สิบปี ในอดีตเซียนกระบี่อัจฉริยะโอลิวิเย่ว์ถึงระดับเก้าตอนอายุสามสิบความสามารถตามธรรมชาติของวอร์ตันนี้ถือว่าไม่ไกลเกินไป” บุรุษผมเขียวยกย่องเช่นกัน “สำหรับเด็กอายุสิบเจ็ดปีสามารถเอาชนะนักรบระดับแปดได้น่าทึ่งจริงๆนานเพียงไหนแล้วที่จักรวรรดิได้สร้างอัจฉริยะเช่นนี้ออกมา นับว่าเขาเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสถาบันโอเบรียนและองค์จักรพรรดิได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เคานท์ให้กับเขาด้วย”