ตอนที่ 13 : ฝึกฝน
ที่นิกายกฎนภา หยกสื่อสารของหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นที่กำลังบ่มเพาะพลังในห้องของตัวเองอย่างเงียบเชียบสั่นสะเทือน เขาลืมตาแตะหยกเพื่อรับข้อความ ข้อความนั้นมาจากศิษย์อันดับหนึ่งของยอดจับดารา
‘ฮื่มม มีรอยแยกมิติที่แดนเหนืออีกแล้ว และยังเกิดขึ้นทุกวัน เหนือธรรมดายิ่งกว่าที่ข้าคิดเสียอีก ต่อให้จะเป็นรอยแยกที่เกิดตามธรรมชาติ มันก็มิได้เกิดบ่อยเช่นนี้ เราต้องรีบสืบเรื่องนี้โดยเร็ว ไม่รู้ว่าเรื่องจะเลวร้ายได้อีกเพียงใด’
เมื่อคิดจบกระบวนความ หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง เขาเงยหน้ามองท้องนภาและก้าวเดินก่อนจะหายตัวลับไป อีกนาทีต่อมาเขาได้ปรากฏตัวหน้าหอภารกิจ
มีศิษย์นิกายหลายร้อยคนเดินขวักไขว่ทั้งด้านในและนอกหอภารกิจ พวกเขาล้วนประสานมือคารวะในทันทีที่เห็นหัวหน้าผู้เฒ่าฮั่น
“คารวะหัวหน้าผู้เฒ่า”
“ข้าน้อยขอคารวะท่านหัวหน้าผู้เฒ่า”
“ขอให้พลังของท่านบ่มเพาะได้อย่างไม่ตัดขัดด้วยเถิด”
ศิษย์ทุกคนต่างกล่าวชมและทักทายเพื่อประจบเอาใจหัวหน้าผู้เฒ่า หัวหน้าผู้เฒ่านั้นชินชากับประสบการณ์เช่นนี้มาหลายสิบปีแล้ว และตามจริงมันก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นถ้าหากมีผู้เฒ่าระดับสูงปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเช่นกัน
ผู้เฒ่าฮั่นไม่สนใจศิษย์เหล่านั้นและเดินตรงเข้าสู่หอภารกิจ เมื่อเข้ามาด้านใน เขาเดินไปหาผู้เฒ่าในหอ เมื่อถึงโถง ประตูก็ได้เปิดอยู่แล้ว ชายหนุ่มอายุเกือบสามสิบยืนอยู่ เขาสวมชุดสีดำและมีตรา ‘หอภารกิจ’ ที่ด้านซ้ายตรงอก
ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนประสานมือคารวะ
“หัวหน้าผู้เฒ่าฮั่นมามีธุระอันใดหรือ?”
“ภารกิจที่เมืองเหนือก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว?”
ผู้เฒ่าฮั่นถามตรงไปตรงมา
“การคัดเลือกศิษย์เสร็จสิ้นแล้ว พวกเขากำลังจะเดินทางไปแดนเหนือในหนึ่งสัปดาห์”
“เหตุใดต้องรอหนึ่งสัปดาห์เล่า?”
ผู้เฒ่าฮั่นเลิกคิ้วถาม
“ศิษย์ที่ได้รับเลือกบางคนยังคงปิดประตูฝึกตนและจะออกมาภายในสัปดาห์นี้ ดูจากความสำคัญของภารกิจ ข้าต้องเลือกศิษย์รุ่นพี่ที่กำลังปิดประตูฝึกตนมามากกว่าหนึ่งปี”
ชายหนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น
ผู้เฒ่าฮั่นพยักหน้าแสดงความเข้าใจและพูดต่อ
“เราเจอมิติปั่นป่วนอีกแล้ว ยอดจับดารารายงานว่ามีหนึ่งครั้งในทุกวัน บอกให้ศิษย์ของเราระวังตัวในตอนสืบเรื่องด้วย”
รอยยิ้มของชายหนุ่มแข็งทื่อไปเมื่อได้ฟังข่าวจากผู้เฒ่าฮั่น
“ขอรับ ข้าจะแจ้งให้ศิษย์ของเราทราบ”
ไม่รอช้า ผู้เฒ่าฮั่นรีบออกจากหอภารกิจและหายตัวไปในพริบตาเดียว ผู้เฒ่าหนุ่มยังคงยืนยิ้มอยู่ในโถง ซึ่งไม่นานรอยยิ้มก็ได้เปลี่ยนเป็นคิ้วขมวดหลังจากหัวหน้าผู้เฒ่าหายไป
แผ่นกลมขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาเมื่อเขายกมือซ้าย ชายหนุ่มวางนิ้วลงบนแผ่นกลมที่ส่องแสงและอักษรโบราณก็เริ่มลอยล้อมรอบ เกิดเป็นหน้าจอขนาดเล็กที่มีรายละเอียดภารกิจทั้งหมด
เขาใช้สัมผัสจิตเปลี่ยนแปลงภารกิจโดยเพิ่มระดับความอันตรายให้สูงขึ้น
จากนั้นผู้เฒ่านิกายวัยหนุ่มก็ได้เก็บแผ่นกลมลงไปและปิดประตูโถงด้วยการโบกมือครั้งเดียว เขามีหลายงานที่ต้องทำ ซึ่งเป็นงานสำคัญมากที่เขารั้งไว้ให้ช้าก่อนที่หัวหน้าผู้เฒ่าจะมายังหอภารกิจ
กลับมาที่ชานเมืองเหนือ หลินมู่กำลังมองหารังนกเผื่อว่าจะได้ขโมยไข่มากินเป็นมื้อเย็น เขาใช้เวลาครึ่งชั่วโมงและได้ไข่ 4 ฟองขนาดเท่าไข่นกกระทา เมื่อเจอไข่แล้วจึงไม่รอช้ารีบกลับกระท่อม
เขาวางไข่ในหม้อต้มและเรียกถุงข้าวออกมาจากแหวน เขาวางถุงข้าวไว้ที่มุมกระท่อมและรอให้ไข่สุกก่อนจะหุงข้าวต่อ ขณะที่รอ เขาท่องพระสูตรสงบใจและปล่อยให้คลื่นความสงบแผ่เข้ามาในร่างกาย เขาไม่รู้สึกว่าพลังเพิ่มขึ้นเลยเมื่อท่องจบ
‘ข้าจะเพิ่มพลังด้วยบทสงบใจยังไงล่ะ? แค่ท่องมันไม่ได้ผลแล้ว ข้าต้องทำยังไงดี?’
ขณะที่คิดเรื่องบทสงบใจ ไข่ที่ต้มไว้ก็สุกดีแล้ว หลินมู่นำไข่ออกจากหม้อและใส่ข้าวลงไปแทน เขาครุ่นคิดว่ามีวิธีอื่นใดที่จะทำให้บทสงบใจใช้ได้ผล
‘ข้าต้องฝึกฝนร่างกายแล้วลองท่องบทสงบใจแล้วดูว่ามีอะไรดีขึ้นไหม ต่อให้ไม่มีตำราฝึกร่างกาย แค่ออกกำลังธรรมดาน่าจะได้ผล’
ขอบเขตฝึกร่างกายนั้นนับว่าเป็นขอบเขตพลังที่ง่ายที่สุดในการบ่มเพาะพลัง มิใช่เพียงเพราะว่ามันเป็นขอบเขตแรกสุด แต่เป็นเพราะมันต้องการทรัพยากรน้อยนิดในการก้าวหน้า ซึ่งแม้แต่คนทั่วไปก็มีร่างกายขั้นสี่ได้จากการใช้แรงงานจนถึงอายุ 30 ปี
และต่อให้ไม่มีตำราฝึกฝน การออกกำลังกายและฝึกตนเองตามปกติก็ทำให้เพิ่มระดับพลังได้เช่นกัน แม้ว่าจะทำได้ถึงแค่ขั้น 7 ก็ตาม การที่จะไปต่อโดยไม่มีตำราที่ดีนั้นเป็นไปไม่ได้เลย มันยากกว่าเดิมอีกหลายเท่านัก
เมื่อวางแผนอนาคตเสร็จสิ้น หลินมู่รอให้ข้าวสุก เขากินข้าวกับไข่ 4 ฟองที่ต้มไว้จนหมด เมื่ออิ่มท้อง หลินมู่จึงเดินออกไปฝึก
อย่างแรกที่เขาคิดจะทำคือการวิ่งและลองออกกำลังแบบอื่นทีหลัง หลินมู่วิ่งไปจนถึงต้นแอปเปิ้ลจนหอบหายใจ เขาพักไม่นานและเริ่มดันพื้น เขาดันพื้นอยู่หลายรอบจนปวดแขนและทำต่อไม่ได้อีก เขาพักอีกไม่นานและเริ่มฝึกปล่อยหมัด เขาใช้หมัดอย่างเป็นจังหวะจนกระทั่งเหนื่อยและล้มลง
นี่คือการฝึกร่างกายอย่างเข้มข้นที่สุดที่หลินมู่เคยทำมา หลินมู่นั้นมีความแน่วแน่ที่จะเป็นผู้บ่มเพาะปราณ เขาต้องทำให้ร่างกายไปถึงขีดจำกัด
หลินมู่ฝืนนั่งขัดสมาธิและท่องบทสงบใจอีกครั้ง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คลื่นความสงบยังคงเดิมแต่เขายังรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ ในความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อนั้น เขารู้สึกคลื่นพลังอ่อน ๆ ที่ไหลเวียน เขายังคงท่องบทสงบใจต่อไปเพื่อให้ใจยังคงจดจ่ออยู่กับคลื่นพลังเล็กน้อยได้
ยิ่งจดจ่อมากเท่าใดมันก็ยิ่งเข้มข้นมากเท่านั้น จนกระทั่งมันถึงขีดจำกัดและแตกซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย! ความเหนื่อยล้าของเขาลดน้อยลงพร้อมกับคลื่นพลังที่หายไป หลินมู่ตาเป็นประกาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่สินะวิธีการฝึกบทสงบใจที่ถูกต้อง”
หลินมู่ตะโกนเสียงดัง
‘ถ้าบทสงบใจมีผลอันลึกล้ำถึงเพียงนี้แม้จะไม่มีตำราฝึกตน แล้วมันจะเป็นอย่างไรถ้าข้ามีตำราฝึกตนล่ะ’
หลินมู่คิดว่าเขาจะไปอาบน้ำก่อนกลับไปหลับพักผ่อนที่กระท่อมเพราะตัวเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อไคลจากการฝึกฝน หลินมู่ถอดเสื้อผ้าและกระโดดลงลำธารข้าง ๆ วารีเยือกเย็นช่วยลดความเจ็บปวดในกล้ามเนื้อ หลินมู่ซักผ้าและบิดให้น้ำออกมาให้มากที่สุด
‘เข้าเมืองครั้งหน้าข้าต้องซื้อชุดเพิ่ม มีอยู่ชุดเดียวเช่นนี้เห็นทีจะไม่ดีแล้ว’
เขาเพิ่มสิ่งที่ต้องทำใหม่ในใจ หลินมู่สวมชุดที่ชื้นเล็กน้อยเดินกลับกระท่อม กว่าจะถึงกระท่อมเสื้อผ้าเขาก็แห้งเต็มที่แล้ว วันนี้เป็นวันที่ประสบความสำเร็จ หลินมู่พอใจกับตัวเองมากและผลอยหลับไป
เช่นเคย เขาพบตัวเองอยู่ในสถานที่มืด เมื่อคุ้นชินกับปรากฏการณ์นี้แล้ว เขาเพียงแค่ใช้เวลาขณะนี้วางแผนอนาคตจนกระทั่งตื่นจากการหลับใหล