วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0116
บทที่ 37 ชายแดนใต้ (2)
* * *
ลิลี่กับฉันมองหน้ากัน
ถึงตรงนี้ ดูเหมือนลิลี่จะเริ่มตระหนัก
นั่นไม่ใช่เสียงซอมบี้ แต่เป็นเสียงคร่ำครวญของผู้คนที่เรียนหนังสือหนักเกินพอดี
พวกเราถอยมายังตำแหน่งที่อีกฝ่ายไม่ได้ยินเสียง จากนั้นก็เปิดปาก
“ลิลี่”
“อื้อ”
“คนพวกนี้… จอมเวทประจำหอคอยใช่ไหม”
ฉันเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาก่อน
ภาษารูนเป็นความลับของอารยธรรมโบราณก็จริง แต่ไม่ใช่สิทธิพิเศษของฉันคนเดียว ลิลี่เองก็ใช้รูนได้ และนักบุญหญิงก็เคยใช้รูนสร้างแสงสว่างในคืนแรกที่พบกัน
แถมจอมเวทผ้าคลุมดำอย่างจอห์นนี่ ก็ยังใช้รูนที่ฉันเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีจอมเวทในต่างโลกกำลังคร่ำเคร่งศึกษารูน
แต่เมื่อได้เห็นสภาพพวกเขา สามัญสำนึกเกี่ยวกับจอมเวทของฉันพังทลายทันที
ลิลี่ไม่ตอบ เธอยังลังเลเล็กน้อย
“…ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“คำตอบคลุมเครือจัง”
“ข้าไม่เคยออกจากดินแดนตัวเอง จอมเวทคนเดียวที่เคยเห็นคืออาจารย์ประจำตัว… คนอื่นแค่เคยได้ยิน”
จากข้อมูลของลิลี่ จอมเวทของหอคอยจะไม่ออกไปไหนจนกว่าจะหลุดพ้นสถานะเด็กใหม่ แต่ที่เธอไม่มั่นใจเพราะอาจมีข้อยกเว้นด้านอื่น
ฉันพยักหน้ารับ
อ้างอิงจากจอห์นนี่ ดูเหมือนว่าจอมเวทที่ศึกษาชีวิตและความตายจะมีความพิเศษกว่าศาสตร์อื่น
รู้สึกสงสารนิดหน่อยแฮะ
พวกเรากลั้นหายใจและค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปมองประตูบานเดิม
คนสามคนที่เคยยืนสนทนากันหายไปแล้ว น่าจะออกไปทางประตูอีกฝั่ง
ทั้งสามไปพร้อมกับตะเกียง แถวประตูจึงมืดมาก มีเพียงแสงสลัวจากหน้าต่างที่ส่องเข้ามาจนเห็นฝุ่นลอยในอากาศ
“ลิลี่ ดูให้หน่อยว่ามีใครอยู่ข้างในไหม”
ได้ยินฉันกระซิบ ลิลี่พยักหน้าพร้อมกับเปลี่ยนรูม่านตาเป็นสีแดง
ลิลี่มองเห็นโฉมวิญญาณ นั่นไม่เพียงจะใช้ตรวจสอบเนื้อแท้ของอีกฝ่าย แต่ยังใช้ดูได้ว่ามีใครซ่อนตัวอยู่หรือไม่
ลิลี่ยืนแนบกำแพงและชะโงกดวงตาหนึ่งข้างออกไปมอง จากนั้นก็ส่ายหน้า
“ไม่มี”
ฉันผงกศีรษะและเดินตรงเข้าไป ลิลี่เดินตามหลังพลางกระซิบ
“เจ้าฝึกเทคนิคนี้มาจากไหน”
“เทคนิคอะไร?”
“ฝีก้าวลบตัวตน ข้าใช้เวลาฝึกนานมากกว่าจะชำนาญ”
“ฉันกำลังทำแบบนั้น?”
แล้วที่ผ่านมาฉันเดินยังไง?
นี่ก็แค่เดินย่องเอง
ดูเหมือนว่าการเดินย่องจะเป็นเทคนิคสำคัญในต่างโลก
ลิลี่จ้องฉันพลางส่ายหน้า
“คงไม่รู้ตัวสินะ ช่างมันเถอะ”
ฉันไม่ใส่ใจนัก เพียงเดินเข้าหาเก้าอี้ตัวหนึ่ง
จอมเวทเมื่อครู่ยืนคุยใกล้กับเก้าอี้ตัวนี้ บางที ‘ศาสตราจารย์’ คงนั่งบนเก้าอี้
ขยับใกล้เก้าอี้ ฉันท่องรูน
“โมห์ส mohs”
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลิลี่กับฉันหยุดเดินพร้อมกัน
“…?”
ฉันท่องอีกครั้ง
“โมห์ส mohs”
ไม่มีการตอบสนอง
ฉันป่วยหรือไง?
“ฉันท่องผิด?”
“…ไม่ เจ้าท่องถูกแล้ว”
ลิลี่ที่ได้ยินฉันท่องภาษารูนจนเบื่อ เชื่อว่าการเปล่งเสียงเมื่อครู่ไม่มีข้อบกพร่อง
หลังจากนั้น ฉันหลับตาลงและท่อง
“ธาม-ทัตซา Tham-tatha”
การมองเห็นของฉันยังคงมืดสนิท
รูนเมื่อครู่มีพลังหยิบยืมประสาทสัมผัสของสิ่งมีชีวิตใกล้เคียง จึงไม่มีทางที่ตาฉันจะยังมืด
ค่อนข้างชัดเจนแล้ว
ที่นี่ใช้รูนไม่ได้
สายตาของพวกเรายังปรับสภาพไม่เสร็จ ทัศนวิสัยจึงยังไม่คมชัด อย่างมากก็แค่เห็นเค้าโครงของวัตถุรอบตัว
เมื่อไม่มีแสงสว่าง เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุดเดิน
แน่นอนว่าฉันเตรียมตัวมาดี
ไม่ได้คิดเผื่อว่าจะใช้รูนไม่ได้ แต่คิดเผื่อว่าฉันอาจพูดไม่ได้
ไฟฉายถูกนำออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน
หลังจากเปิดสวิตช์
ฉันถึงกับสะดุ้งเมื่อเหลือบไปเห็นบางสิ่งสีดำ กำลังยืนอยู่ตรงมุมห้อง
“…ฮึฮึ…”
มือผอมซูบลอยออกจากสิ่งที่ดูคล้ายถุงพลาสติกสีดำขนาดเท่าคน
ฝ่ามือเลื่อนไปทางผนัง เมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่าผนังห้องคือชั้นวางที่เต็มไปด้วยหนังสือ
“ฮึฮึ…”
พวกเรายืนจ้องฉากดังกล่าวในสภาพตัวแข็งทื่อ
ฉันยังไม่ลงมือเพราะอีกฝ่ายไม่แสดงภัยคุกคามให้เห็น
เพียงแต่สถานการณ์ชักจะซับซ้อน
“…ลิลี่”
“อื้อ”
ลิลี่จำแนกภัยคุกคามไม่เก่ง จึงเลื่อนมือลงไปกำด้ามมีดตรงเอวรอ
“เธอไม่เห็นโฉมวิญญาณใช่ไหม”
“เจ้าก็สัมผัสอะไรไม่ได้เลยหรือ? ถ้าเป็นทุกที…”
ฉันส่ายหน้า
อันที่จริง ไม่ถูกนักหากจะบอกว่า ‘ไม่สัมผัสถึงอะไรเลย’
ฉันสัมผัสถึงบางสิ่ง แต่ที่ไม่แยแสก็เพราะว่า สัญญาณของอีกฝ่ายเบาบางมาก หากจะให้เทียบก็ประมาณกระต่ายแก่ที่ใกล้ตาย
ลิลี่ฟังคำอธิบายพร้อมกับพยักหน้ารับ
“…เข้าใจแล้ว ไม่ใช่อีกฝ่ายไม่มีโฉมวิญญาณ แต่เจือจางมากราวกับใกล้ตายเต็มที”
ลิลี่กับฉันเห็นและสัมผัสได้ต่างกัน
แต่ข้อสรุปของเราเหมือนกัน อีกฝ่ายมอบความรู้สึกคล้ายกำลังใกล้ตาย
รู้ตัวอีกที พวกเราจ้องไปทางอีกฝ่ายด้วยสายตาผ่อนคลาย
บุคคลในชุดคลุมดำพึมพำบางสิ่งขณะควานหาหนังสือบนผนัง
“อันที่จริง… ข้ารู้อยู่แล้วว่างานชิ้นนั้นต้องโดนตีกลับ… มันมีข้อบกพร่องโฉ่งฉ่างเหลือเกิน… ก็เลยเตรียมไว้สำรองอีกชิ้น… งานชิ้นนี้ต้องช่วยให้ข้าได้รับปริญญาแน่…”
หลังจากพึมพำอยู่คนเดียว อีกฝ่ายดึงหนังสือออกมาหนึ่งเล่มและเดินตรงมาทางพวกเรา
เธอคือสตรีผมยาวหยักศก รอยคล้ำใต้ตาใหญ่จนลามมาถึงโหนกแก้ม
ดวงตาเล็กๆ กำลังส่องแสงสีฟ้าชนิดพิเศษ
เป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉันรู้จัก
“หือ…? เด็กใหม่หรือ? นึกถึงเมื่อห้าสิบปีก่อนเลย… ช่วยหลีกทางให้หน่อยได้ไหม ข้ากำลังยุ่ง”
ชุดคลุมสีดำสะบัดพลิ้วพร้อมกับสร้างฝุ่นในอากาศ
การได้เห็นมือที่สั่นเทาบรรจงวางหนังสือลงบนโต๊ะ สร้างความอึดอัดไม่น้อยทีเดียว
ฉันมองไปรอบๆ ก่อนจะหยิบไฟแช็กออกมาจุดคบไฟในห้อง
บรรยากาศกลายเป็นสถานที่สำหรับให้มนุษย์อยู่อาศัยเสียที
“ยังไม่ชินกับความมืดอีกรึไง? เป็นพวกยังไม่บรรลุนิติภาวะเหมือนกับจอห์นนี่สินะ…”
เธอจ้องหน้าฉัน
ดวงตาสีฟ้าจางๆ สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของฉันชัดเจน
“…มนุษย์?”
ตึง!
เธอปล่อยมือทันที หนังสือที่กำลังเปิดอ้าตกกระแทกโต๊ะจนพับปิด
* * *
ในที่สุดก็ได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียด
ชื่อของเผ่าพันธุ์เธอคือ ‘นัคชารอน’ ลูกหลานของผู้ที่ถูกคืนชีพโดยความกรุณาของเอลเดอร์ลิช — เนโครแมนเซอร์คนแรกและคนสุดท้ายที่บรรลุความตายอย่างถ่องแท้
“ตามหลักก็คือ… อันเดด?”
“นั่นก็ไม่ผิด แต่ข้ารู้จักความกลัวอยู่นะ… พวกเราไม่ชอบถูกเรียกว่าอันเดดเท่าไร บรรพชนของเราอาจจะใช่ แต่พวกเราคือลูกหลานที่ถือกำเนิดตามปกติจากสายเลือด”
“อันเดดให้กำเนิดทายาทและกลายเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่…”
ลิลี่พึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่เธอไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
“มนุษย์… ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่”
จากนั้นก็เริ่มพูดจาแปลกๆ อีกครั้ง
“มนุษย์… เด็กใหม่… นั่นสินะ… ฮึฮึ… มนุษย์เริ่มสนใจความลึกลับของชีวิตและความตายบ้างแล้วใช่ไหม? จริงด้วย กล่าวกันว่าเอลเดอร์ลิชก็เกิดมาในร่างมนุษย์…”
“เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เด็กใหม่”
ได้ยินคำพูดฉัน สตรีชาวนัคชารอนเหม่อลอยสักพัก ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ
“มุกตลกสินะ มนุษย์นี่ชอบเล่นมุกตลกจริงๆ … ฮึฮึ… พวกเจ้าต้องเป็นประโยชน์กับเราแน่… จากบรรดาลูกหลานเทพ มนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่ใกล้ชิดความตายมากที่สุด… ข้าไม่มีโอกาสได้เจอมนุษย์สักเท่าไร อา… นี่มันวัตถุดิบชั้นเลิศชัดๆ … จริงสิ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากงานชิ้นนี้เลย…”
ดูเหมือนสภาพจิตใจของเธอจะไม่ปกติ
“…ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่เด็กใหม่”
“คิดจะโกหกไปถึงไหน? ไม่มีใครมองเห็นหอคอยหลังนี้ได้หากปราศจากสัญลักษณ์ของเอลเดอร์ลิชบนร่างกาย พวกมนุษย์ก็แบบนี้ล่ะน้า… โกหกหน้าตายจนเป็นนิสัย…”
ฉันปิดปากเงียบ เอาแต่ยืนมองพฤติกรรมของเธอ
ลิลี่จ้องฉันพลางยิ้ม ดูเหมือนจะอ่านความคิดของฉันออก
ด้วยความสัตย์จริง ฉันกำลังนึกสนุก
จอมเวทอาวุโสคิดว่าฉันเป็นเด็กใหม่?
อดใจรอไม่ไหวแล้ว
เธอแนะนำตัวว่าชื่อเทลาเทอรี เป็นชื่อที่ค่อนข้างแปลก แต่ฉันก็ไม่กล้าถามอะไร
เธอเปิดหนังสือเล่มเดิมบนโต๊ะ
“เจ้าโชคดีมากนะ ฮึฮึ… ข้าพบมันจากโบราณสถานการณ์ใต้ดินขณะสำรวจครั้งล่าสุด… อ่านออกไหมว่าช่วงต้นเขียนอะไรไว้?”
“ไม่ออก”
“สมบัติทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของความตายอยู่ที่นี่แล้ว จงอย่าไปกระตุ้น แต่ปล่อยให้มันมีชีวิตที่นั่นไปตลอดกาล”
ดวงตาฉันเบิกกว้างทันที
สมบัติทองคำ?
ลิลี่กับฉันประสานสายตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะกลืนน้ำลายและหันกลับไปถาม
“มีอะไรเขียนไว้อีก?”
“ติดปัญหาอยู่สองข้อ”
“ปัญหา?”
“ข้อแรก หน้าสำคัญถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กน้อยน้อย และข้อสอง… ถ้าไม่หาส่วนที่ถูกฉีกให้พบ ก็คงไม่มีทางอ่านออก”
“เนื้อหาเขียนเป็นภาษารูน?”
เทลาเทอรีส่ายหน้าหลังจากได้ยินคำถาม
“จริงอยู่ มันเขียนด้วยภาษารูน แต่ภาษารูนแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งคือไวยากรณ์สำหรับเวทมนตร์ และสองคือไวยากรณ์สำหรับจดบันทึก แม้แต่คนโบราณก็ยังสับสนระหว่างสองสิ่งนี้ ยกตัวอย่างเช่น การท่องหนังสือประวัติศาสตร์จะไม่กระตุ้นให้เวทมนตร์แสดงผล”
เป็นข้อเท็จจริงที่คนส่วนใหญ่รับรู้
“นี่คือภาษารูนที่เขียนด้วยไวยากรณ์จดบันทึก… แต่ถึงจะเป็นไวยากรณ์จดบันทึก ก็ยังมีระดับความยากแตกต่างกัน”
เทลาเทอรีกางส่วนที่เต็มไปด้วยอักษรรูนให้พวกเราดู
ตามปกติแล้ว อักษรรูนจะมีโครงสร้างแบบวงกลม ลักษณะคล้ายวงแหวนเวทที่พบได้บ่อยในการ์ตูน
แต่บางครั้งก็มีรูนที่เขียนเป็นเส้นตรง ฉันพบบ่อยระหว่างการสำรวจ
จอมเวทในยุคปัจจุบันมักสับสนระหว่างรูนเส้นตรงกับ ‘รูนจดบันทึก’
“ข้าพยายามตีความดูแล้ว… บางทีมันอาจกล่าวถึงปราสาทร้างสักแห่งใกล้กับหุบเขาแห่งความตาย… ข้าค่อนข้างชำนาญการตีความตัวอักษรระดับพื้นฐาน แต่ว่า… ถ้าเกินกว่านั้นก็จนปัญญา”
“มีใครอ่านออกไหม?”
“ได้ยินว่าเจ้าหอคอยน่าจะอ่านออก”
งั้นหรือ?
ฉันเงียบไปสักพัก สมาธิจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มใหญ่
ตัวอักษรเล็กมาก และมีบางส่วนจางไปจนแทบอ่านไม่ออก
เทลาเทอรีใช้ดวงตาหมองคล้ำจ้องฉันสักพักและยิ้ม
“เป็นเด็กใหม่ที่ใฝ่รู้ดีมาก ถึงจะเป็นมนุษย์ แต่ข้าชอบนะ ไว้มาอ่านหนังสือด้วยกันวันหลัง…”
“หากไม่เห็นภาพหลอน จะไม่มีทางเข้าใกล้หุบเขาแห่งความตายได้?”
“…?”
รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าเทลาเทอรี อย่างน้อยฉันก็คิดแบบนั้น ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองเพราะกำลังตั้งใจอ่านหนังสือ
“…ใช่ เจ้ารู้ได้ยังไง? ได้ยินมาจากศาสตราจารย์?”
“ต้องใช้รากของหญ้ากังวานสินะ ที่นี่ปลูกได้ไหม?”
“…ไม่ได้ ต้องออกไปหาจากข้างนอก”
ฉันหยิบกระดาษโน้ตที่พับไว้สองสามแผ่นออกจากเสื้อ
เป็นแผ่นกระดาษที่เกือบลืมไปแล้วว่ามี
มันคือหนึ่งในสิ่งของที่ถูกพบบนแท่นบูชาของโบราณสถานใต้ดิน ที่ฉันเจอลิฟวิงเมทัลเป็นครั้งแรก
ลงล็อกพอดีกับส่วนที่ขาด
แน่นอนว่ายังขาดไปอีกหลายชิ้น แต่เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้อ่านประโยคได้เพิ่มขึ้นมาก
“สูดควันจากหญ้ากังวานและมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกสุดของหุบเขาแห่งความตาย ทำตามเสียงที่ก้องอยู่ในหัว เมื่อนั้นก็จะไปถึงปราสาทโบราณที่มีสมบัติทองคำหลับใหลอยู่ แต่ห้ามครอบครองมันเด็ดขาด จงปล่อยให้หลับใหลเช่นนั้นไปตลอดกาล…”
น่าเสียดาย เนื้อหาหลังจากนี้ขาดหายไป
“ก็ทำนองนั้น”
เทลาเทอรีปิดปากเงียบไปพักใหญ่
ลิลี่ยิ้มพลางชำเลืองไปทางสตรีชาวนัคชารอน
โครม!
เทลาเทอรีลุกพรวดและเริ่มวิ่ง แต่ดันสะดุดขาโต๊ะล้มก้นจ้ำเบ้า
เธอไม่เจ็บมาก จึงรีบลุกขึ้นอีกครั้งและวิ่งออกไปนอกประตู
“ศาสตราจารย์! ศาสตราจารย์!”
“หือ… อา… มีอะไร…”
“เด็กใหม่เจ๋งเป้ง! เขาเป็นอัจฉริยะ! ถ้าตั้งใจเรียนต้องจบการศึกษาในปีนี้แน่! ศาสตราจารย์!”
เอ่อ… แค่จะล้อเล่นนิดหน่อยเอง
“ลิลี่”
“อื้อ”
“หนีกันไหม”
ฉันคิดว่าควรหนี
ไม่อย่างนั้นคงได้เผชิญเรื่องยุ่งยากและน่ารำคาญเป็นกระบุง
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (1/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel