ตอนที่แล้วตอนที่ 10 : บทสรุป
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 : กลับกระท่อม

ตอนที่ 11 : ขายหนังและเขาสัตว์


เมืองเหนือคือหนึ่งในสี่เมืองรองของเมืองอู๋หลิม แต่ละเมืองถูกทั้งชื่อตามทิศทางของเมืองอู๋หลิม ต่างเมืองก็ต่างลักษณะของเมืองไปด้วย

เมืองเหนือนั้นมีสวนแอปเปิ้ลจิตที่เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของเมืองอู๋หลิม มันทำให้เจ้าเมืองได้กำไรมากที่สุดในแต่ละปี

เมืองตะวันออกมีนาข้าวและยังเป็นต้นกำเนิดแหล่งข้าวของทั้งสามเมืองที่เหลือและเมืองอู๋หลิมด้วย ข้าวสาลี ข้าว ข้าวฟ่างล้วนถูกปลูกที่นี่ และยังเป็นเมืองที่มีประชากรสูงที่สุดอีกด้วย คนส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นชาวนา

เมืองตะวันตกนั้นเดิมทีเป็นทางผ่านของวัตถุดิบที่พ่อค้าจากต่างแดนนำเข้ามา แต่ภายหลังก็ได้เป็นศูนย์กลางการค้าขาย ด้วยชาวเมืองส่วนใหญ่ที่จะทำตามความต้องการของพ่อค้า

อาณาจักรฉวงมีกองทัพที่ตั้งอยู่ในเมืองใต้ มันคือฉากหน้าที่ไม่ให้เจ้าเมืองอู๋หลิมตรวจสอบและไม่ให้อำนาจของเขาแข็งแกร่งเกินไป และเหตุผลของทางการก็คือการให้ความสนับสนุนกับด่านทางเหนือเพื่อป้องกันการรุกราน

และเพราะว่าเป็นกองทัพ เลยมีทั้งช่างตีอาวุธ โรงเหล้า โรงเตี๊ยม และโสเภณีอยู่มากมายในเมืองใต้ ซึ่งเป็นการให้ทั้งบริการและความบันเทิงแก่เหล่าทหาร

สิ่งแรกที่หลินมู่เห็นหลังจากเดินเข้าเมืองคือทหารจำนวนมากอย่างผิดปกติ เขามองทหารใกล้ ๆ และเห็นว่าไม่ใช่แค่มีทหารจากเมือง แต่ยังมีทหารจากเมืองใหญ่มาด้วย

‘ทำไมทหารเมืองอู๋หลิมถึงอยู่ที่นี่ล่ะ? มีเหตุผลอะไรถึงต้องมาที่นี่กัน?’

หลินมู่เดินตามถนนขณะที่กวาดตามองเมืองอยู่เนือง ๆ เขากำลังมองหาร้านค้าที่จะซื้อหนังและเขากระต่ายของเขา เขาจะไปร้านที่เคยไปมาก่อนไม่ได้ เพราะเจ้าของร้านจะต้องปฏิเสธที่จะซื้อเพราะเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าแน่นอน

เขาต้องหาร้านที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน เขาคิดหนักขึ้นและตัดสินใจที่จะไปโรงฟอกหนัง และถ้าพวกเขาไม่ซื้อหนังของหลินมู่ เขาก็จะไปหาร้านอื่น เขาเปลี่ยนทางและเดินไปที่โรงฟอกหนัง กลิ่นเหม็นของเนื้อเน่าและซากศพโชยมาแต่ไกล ยิ่งเดินใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นเหม็นของสารเคมีที่ผสมกัน

หลินมู่ปิดปากและจมูกด้วยมือเพื่อไม่ให้กลิ่นเหม็นในโรงฟอกหนังทำเขาอาเจียน ในที่สุดเขาก็มาถึงทางเข้าโรงฟอกหนังที่เหล่านายพรานและพ่อค้ายืนอยู่ เขาเห็นชายเขียนบางอย่างอยู่ที่จุดลงทะเบียนหลังจากพูดคุยกับนายพรานและพ่อค้า

หลินมู่เดินไปหาเสมียน

“ข้าอยากจะขายหนังสัตว์น่ะ”

เสมียนที่กำลังเขียนใบลงทะเบียนชายตามองหลินมู่

“มีเท่าไหร่?”

“สองชิ้น”

เสมียนเลิกคิ้วถาม

“แค่สองเรอะ? เจ้าเอาหนังอะไรมาขาย?”

“หนังกระต่ายเขาดำกับหนูหางหนาม”

เสมียนทำหน้ารำคาญเมื่อได้รู้ว่าหลินมู่นำอะไรมาขาย

เขาพูดอย่างรำคาญใจ

“ไปหาเรื่องที่อื่นเถอะเจ้าหนู อย่ามายุ่งกับข้า หนังที่เจ้าขายจะเอาไปทำอะไรได้? พวกข้าซื้อหนังจากสัตว์ที่ใหญ่กว่าเท่านั้น ไม่ใช่แบบที่เจ้าเอามาขาย”

นายพรานที่ได้ยินพวกเขาคุยกันเริ่มหัวเราะ

“ฮ่าฮ่าฮ่า เดี๋ยวนี้ของแบบนั้นเรียกว่าหนังสัตว์แล้วเรอะ”

“ของพวกนั้นมันไร้ค่านะเจ้าหนู มีหนังสัตว์ใหญ่กว่านี้เมื่อไหร่ค่อยกลับมาเถอะ”

“ดูเด็กนั่นสิ ผอมแห้งเช่นนั้นแค่จะล่ากวางธรรมดาซักตัวยังทำไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงสัตว์อสูรหรอก”

หลินมู่อับอายเมื่อถูกเหล่านายพรานเยาะเย้ย เขาไม่อยากจะขายหนังสัตว์ที่นี่อีกแล้ว เขาจึงไปเสี่ยงโชคที่อื่น หลินมู่รู้สึกดีขึ้นเมื่อกลิ่นเหม็นเน่าของโรงฟอกหนังจางไปเหลือเพียงอากาศบริสุทธิ์ เขากำลังคิดว่าร้านใดจะยอมซื้อหนังที่เขาเอามาขายถ้าคนที่โรงฟอกหนังบอกว่ามันไร้ประโยชน์

เขาเดินผ่านถนนและมองหาร้านค้าเช่นร้านตัดเสื้อ ร้านรองเท้า และร้านตีอาวุธ มีร้านอาวุธอยู่ไม่มากในเมืองเหนือและร้านที่เขาเคยไปมาก่อนคงจะไม่ซื้อของจากเขา เขาจึงเหลือทางไม่มาก เขาเดินไปหลายร้านแต่ทุกร้านก็ปฏิเสธเขาหมด ไม่มีใครอยากจะซื้อของที่เขามี

ทุกคนตอบเขาเหมือนกันก็คือ หนังเหล่านี้ใช้อะไรได้ไม่มากนักและให้ไปขายที่อื่น

สุดท้ายก็เป็นเวลาบ่าย หลินมู่ได้ยินเสียงท้องร้องด้วยความหิวโหย เขาหวังใจมาก่อนว่าเขาจะขายหนังสัตว์ได้ก่อนบ่ายและจะได้รับประทานอาหารจากเงินที่ได้ แต่วันนี้โชคไม่เข้าข้างเขา

เขาเดินผ่านถนนต่อไปและพบป้ายเก่าแขวนอยู่ที่หน้าซอยแยกออกจากถนน เขาเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าป้ายเขียนอะไร ป้ายสึกกร่อนไปกับการเวลาและสภาพแวดล้อมอันยาวนาน สิ่งเดียวที่แทบจะมองไม่เห็นก็คือลวดลาดรูปทั่งบนป้าย

‘ลองดูที่นี่ก็แล้วกัน ข้าไม่เหลือทางเลือกมากอยู่แล้ว’

หลินมู่เดินไปในซอยและมองรอบ ๆ ร้านรวงส่วนมากปิดประตูหน้าต่าง ซึ่งก็เป็นเวลานานแล้วจากสภาพที่เขาเห็น สุดท้ายเขาก็เจอร้านที่มีป้ายเดียวกับป้ายทางเข้าซอย

ชื่อบนป้ายอ่านได้ว่า ‘ร้านจิงเหว่ย’ และมีลวดลายบนป้ายที่มากกว่าทั่ง มันมีรูปมีด ดอกไม้เล็ก ๆ และถุงมือเหล็กกับทั่ง หลินมู่จับประตูดันเข้าไปแต่มันก็ไม่ขยับ เขาออกแรงเพิ่มและประตูก็ส่งเสียงดังเอี๊ยด

เห็นได้เลยว่าฝุ่นฟุ้งขึ้นกลางอากาศ จะเดินไปทางใดก็น่าจามทั้งนั้น หลินมู่เห็นสิ่งของมากมายในร้าน บางอย่างก็วางบนชั้นวาง บางอย่างแขวนกับกำแพง บางอย่างก็แค่วางไว้บนพื้น ของทุกอย่างในร้านล้วนมีฝุ่นจับ หลินมู่จึงสงสัยว่าที่นี่จะยังเปิดอยู่หรือไม่

มีของมากมายหลายชนิดจนหลินมู่สงสัยว่ามันเป็นเพียงแค่โรงจำนำ มีอาวุธอย่างดาบเก่าขึ้นสนิม หอก มีด ธนู และชิ้นชุดเกราะที่ไม่รู้ว่าเป็นส่วนใด ตำรา สมุนไพรแห้ง รองเท้า และของอีกมากมายหลายชนิดที่ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะดูหมด

อีกเรื่องที่ทำหลินมู่สับสนก็คือร้านนี้ใหญ่กว่าที่มองจากด้านนอกมาก เขาสงสัยว่าร้านอื่นในซอยจะเป็นเหมือนกันไหม มันไม่มีเจ้าของร้านหรือเสมียนที่จุดซื้อขายให้หลินมู่คุยด้วยเลย เขาสั่นกระดิ่งขนาดเล็กที่โต๊ะคนขายแต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบ

หลินมู่สั่นกระดิ่งอีกหลายครั้งจนได้ยินเสียงผู้หญิงมาจากประตูที่ปิดอยู่หลังโต๊ะขาย

“อดทนหน่อย ข้ากำลังไป”

หลินมู่เรียกหนังและเขากระต่ายออกมาจากแหวนทันทีที่ได้ยินเสียง เพราะมันคงยากที่จะอธิบายกับเจ้าของร้านว่าเขาเอามันมาจากไหนทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถืออะไรในมือมาก่อน เขามองประตูอย่างคาดหวังว่ามันจะเปิด แต่มันก็ไม่เปิดจนกระทั่งห้านาที

ประตูหลังโต๊ะขายเปิดพร้อมกับสตรีในวัยสามสิบต้น ๆ นางสวมชุดสีน้ำเงินและม้วนผมด้วยปิ่นไม้ นางมิได้งดงามอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็มีสเน่ห์ ใบหน้าไร้ริ้วรอยและจะได้เห็นแก้มแดงของนางด้วย

“เจ้ามาทำอะไร?”

นางพูดห้วน ๆ

“ข้ามีของมาขาย ที่นี่รับซื้อหรือไม่?”

หลินมู่ถามเพราะเขาไม่แน่ใจว่าร้านนี้จะรับซื้อสินค้าหรือเพียงแค่ขายอย่างเดียว เพราะว่าถ้าร้านไม่รับซื้อ เขาก็คงจะเสียเวลาในการมาที่นี่

“เอามาให้ข้าดูซิ”

เมื่อได้ฟังคำตอบที่ดีจากนาง หลินมู่เริ่มดีใจ อย่างน้อยก็มีคนคิดจะซื้อของจากเขาไม่เหมือนร้านอื่นที่ปฏิเสธทันทีทันใด หลินมู่วางหนังสัตว์ลงบนโต๊ะด้านหนึ่งและวางเขาสีดำไว้อีกด้านหนึ่ง

นางมองของและพลิกหนังดูทั้งสองด้านเพื่อตรวจสอบความเสียหาย รอยตัด คราบ จากนั้นจึงหันมองหลินมู่

“ถลกหนังประหลาดดี แต่หนังก็ไม่เป็นไรแล้วก็ไร้รอยขาด”

หลินมู่ยิ้มเมื่อนางประเมิน แต่จากนั้นเขาก็หน้าหมองเมื่อได้ฟังประโยคถัดไป

“หนังเล็กเท่านี้มีค่าไม่มาก ข้าซื้อหนังกระต่ายเขาดำ 20 ทองแดง กับหนูหางหนามอีก 10 ทองแดง”

“เอ่อ แล้วเขากระต่ายล่ะ?”

หลินมู่ถามเมื่อไม่ได้ยินราคาเขากระต่าย

“ไม่ล่ะ”

“ว่าไงนะ?”

“เขากระต่ายไม่มีประโยชน์ ข้าไม่ซื้อหรอก”

นางตอบอย่างตรงไปตรงมา

หลินมู่อ้อนวอน

“แต่มันใช้ทำอาวุธได้ไม่ใช่รึ? อย่างน้อยก็ใช้ทำชุด?”

“ค่าแรงที่ต้องเสียกับราคาขายของมันไม่คุ้มกันหรอกนะ”

นางหยุดไปครู่หนึ่งและพูดต่อ

“แทนที่จะเอามาขาย เจ้าเก็บไว้เป็นเครื่องประดับดีกว่า ไม่มีใครซื้อมันหรอก แต่ถ้าเจ้ามาถึงร้านนี้แล้ว ข้าเดาว่าเจ้าคงไปที่อื่นมาก่อน”

หลินมู่รู้สึกเจ็บใจเมื่อฟังนางพูด เขาพยักหน้า

“ย่อมได้ ข้าขายราคานั้นก็ได้ แล้วถ้าข้าเอาของมาขายอีก ท่านจะยังซื้ออยู่หรือไม่?”

นางตอบตรงมาตรงมาเช่นเคย

“ข้าต้องเห็นด้วยตาก่อนตัดสินใจ แต่คงดีถ้าเจ้าเอาของที่ดีกว่านี้มา”

หลินมู่คิดในใจ

‘ถ้าข้าหาได้ข้าก็คงเอาไปขายในร้านอื่นที่ข้าไปมาแล้วสิ ไม่ต้องมาถึงที่นี่หรอก’

แต่เขายังคงสีหน้าไว้ตามเดิมเพราะไม่อยากให้นางโมโห

นางหยิบกระเป๋าเหรียญมานับ 30 เหรียญวางหน้าหลินมู่ผู้เก็บเหรียญไว้ในกระเป๋าเงินใบเล็กที่ผูกไว้กับเอว

เขาเดินออกจากร้านเก่าคร่ำครึ ปิดประตูทางออก ตอนนี้เขามีเงินแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือทำให้หายหิว เขาเดินไปตามถนนที่มีร้านอาหาร

เมื่อหลินมู่ออกมาจากร้าน สตรีที่รับซื้อของยังคงยืนอยู่ตรงโต๊ะขาย นางได้ยินเสียงมาจากประตูข้างหลัง

“ใครรึ เค่อเอ๋อ?”

นางตอบด้วยน้ำเสียงที่ดีกว่าในครั้งนี้ ไม่เหมือนกับตอนที่นางคุยกับหลินมู่

“ก็แค่เด็กผู้ชายคนนึง”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด