887 - เก้าญาณวิเศษลึกลับอีกชิ้น
887 - เก้าญาณวิเศษลึกลับอีกชิ้น
ตอนนี้ความแตกต่างระหว่างเย่ฟ่านกับฮั่วอวิ๋นเฟยคืออาณาจักรเล็กๆ สามอาณาจักร เขาต้องตามให้ทัน มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายมากในอนาคต
และสิ่งที่กวนใจเขามากที่สุดก็คือหลี่เสี่ยวม่าน นางยืมพลังแห่งการดำรงอยู่ใดมา? เขาคิดเรื่องนี้ทั้งคืนและค้นหาในใจ แต่ก็ไม่สามารถค้นหาคำตอบได้
“มีปัญหาที่ตรงไหน…”
เย่ฟานรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเขานึกถึงกระแสน้ำวนสีทอง แต่เขาไม่สามารถกล่าวได้ว่ามันคืออะไร
พลังศักดิ์สิทธิ์แบบนั้นไม่ได้ถูกบ่มเพาะด้วยตัวเอง แต่มาจากโลกภายนอก อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ครั้งนี้เย่ฟ่านได้รับประโยชน์มากมาย เขาพบ "เต๋า" ของตัวเองซึ่งสำคัญมาก!
จักรพรรดิในสมัยโบราณไม่เคยเดินตามทางของบรรพบุรุษของพวกเขา แต่ทุกคนล้วนสร้างเส้นทางบ่มเพาะของตัวเองขึ้นมา
ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะมีทักษะเฉพาะตัวที่เข้ากับพวกเขามากที่สุดโดยใช้คัมภีร์โบราณเป็นเพียงข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น
เวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่งในพริบตา เย่ฟ่านได้นำไขกระดูกที่หายากมาใช้ไปกว่าครึ่งและประสบความสำเร็จในการเข้าสู่จุดสูงสุดของนิกายตระกูลฉิน โดยที่ตอนนี้เขากำลังมองหาเก้าญาณวิเศษลึกลับ แต่ก็ยังไม่มีเงื่อนงำ
ต้องบอกว่าการเข้าสู่ยอดเขาหลักนั้นค่อนข้างอันตราย ในปีนี้มีคนเสียชีวิตหลายคน สาเหตุการตายนั้นอธิบายไม่ได้และยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
ปรมาจารย์ในนิกายต่างตื่นตระหนก พวกเขาส่งราชาปี้หลัวผู้ยิ่งใหญ่และยอดฝีมือคนอื่นๆ ออกไปเพื่อค้นหาผู้กระทำความผิดที่แท้จริง
ตอนนี้เย่ฟ่านรู้แล้วว่าฮั่วอวิ๋นเฟยเข้าสู่ยอดเขาหลักของนิกาย เมื่อไม่กี่ปีก่อนแต่จากไปเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่แล้ว ในเวลาเดียวกันหลี่เสี่ยวม่านก็หายตัวไปเช่นกัน
ระหว่างการต่อสู้ในภูเขาฉินหลิง เย่ฟ่านไม่เห็นอีกฝ่ายใช้เก้าญาณวิเศษลึกลับ แต่เขาไม่สามารถแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายจะมีมันหรือไม่
ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของเย่ฟ่านพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขารู้สึกกดดันและต้องฝึกฝนอย่างหนัก ตอนนี้เขามาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งที่แปดของอาณาจักรแปลงมังกรแล้ว และความก้าวหน้าของเขาก็น่าทึ่งมาก
ในช่วงเวลานี้เขายังต้องต่อต้านภัยคุกคามร้ายแรงอีกอย่างหนึ่ง เขาเห็นด้วยตาของเขาเองว่าคนสองคนที่อยู่บนยอดเขาหลักได้กลายเป็นศิษย์ที่เคร่งครัดของนิกายคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างดลใจอย่างฉับพลัน
นี่คือกลุ่มของสัตว์ประหลาดเก่าแก่ แต่พวกเขากลับยอมสยบให้กับสถานที่แห่งนี้โดยไม่คิดจะออกไปจากที่นี่ตลอดชีวิต
เย่ฟ่านขมวดคิ้ว และหากเขาไม่เข้าสู่ยอดเขาหลักคงเป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อกับเก้าญาณวิเศษลึกลับซึ่งทำให้เขาต้องอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากการสังเกตเขาพบว่าชายชราที่เข้ามาพร้อมกันก็ไม่ได้ไปที่ยอดเขาหลักจริงๆ
ยิ่งกว่านั้น ศิษย์คนอื่นๆดูเหมือนจะอยากพบองค์หญิงเยว่หลิงเป็นพิเศษและมักหาโอกาสไปที่ยอดเขาหลักเสมอ แต่ตัวเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้
สิ่งนี้ทำให้เย่ฟ่านประหลาดใจมีสตรีเพียงคนเดียวในหมู่คนที่ขึ้นไปบนยอดเขาหลัก แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางจะไม่ธรรมดา แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่างดงามล่มเมือง
นางสามารถถูกมองว่างดงามกว่าระดับธรรมดาทั่วไปได้นิดหน่อยเท่านั้น หากกล่าวว่าหญิงสาวคนนี้คือองค์หญิงเยว่หลิงก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไร้สาระเกินไปหน่อย
“ข้าคิดว่านางมีสมบัติลับอยู่ในตัว แม้แต่ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของข้าก็ยังถูกหลอกได้…” เย่ฟ่านกล่าวกับตัวเอง
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มสนใจนางมากขึ้น และพบว่านางมักจะไปที่ภูเขาหินและนั่งอยู่ที่นั่นเกือบทั้งวัน
ภูเขาหินลูกนี้อยู่ตรงข้ามกับยอดเขาหลักไม่ไกลมาก ไม่มีหญ้าขึ้นบนนั้น มันสะอาดและแห้ง แต่ไม่มีอะไรเลย
ในคืนเดือนหงายเย่ฟ่านปีนขึ้นไปบนภูเขาหินนี้และแสงจันทร์เป็นเหมือนหมอกบางๆ เขานั่งสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเต๋า แต่หลังจากผ่านไปทั้งคืนเขาก็ไม่พบอะไรแม้แต่น้อย
เย่ฟ่านส่ายหัว ยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปที่ยอดเขาหลัก คราวนี้เขาตกลงใจแล้วว่าจะเริ่มค้นหาความลับจากที่นี่
แสงจันทร์เป็นดั่งน้ำสว่างนวล บนกำแพงหินของภูเขาด้านหลังมีภาพแกะสลักบนกำแพงสองสามภาพซึ่งเป็นรูปอาวุธทั้งหมด เช่น หม้อ ระฆัง หอคอย ทวน กระบี่
เขาเคยเห็นมันมาก่อนแล้ว และรู้สึกว่ามันถูกแกะสลักโดยศิษย์บางคนเมื่อพวกเขารู้สึกเบื่อ เพราะมันเงอะงะเกินไปและไม่รู้สึกถึงความรู้สึกสวยงาม และภาพแกะสลักนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่กี่ปีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้แสงจันทร์ตกลงมาเหมือนหมอกสีขาว และเครื่องหมายของอาวุธเหล่านี้ดูแตกต่างออกไปเล็กน้อย เพราะมันมีกลิ่นอายของความผันผวน
“นี่คือ…” เย่ฟ่านผงะ
ตราสัญลักษณ์เหล่านี้มีมาช้านานแล้ว และไม่น่าเชื่อว่ามันจะหลอกลวงดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้
ยิ่งเขาจ้องมองมัน เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความลึกลับมากขึ้น ร่องรอยสลัก ลายเส้นที่เงอะงะดูเหมือนนกเฟิ่งหวงศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหว และกำลังจะทะลุทะลวง!
พระจันทร์ดวงหนึ่งลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า สว่างและใสเหมือนน้ำในทะเลสาบ พื้นที่ภูเขานี้เป็นเหมือนชั้นของผ้าโปร่ง
บนกำแพงหิน มีรอยประทับอาวุธไม่มากนักและลายเส้นในการสลักก็ดูไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ แต่คราวนี้มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แสงจันทร์ส่องประกาย เงียบสงบ และรอยประทับส่องแสงระยิบระยับ
“นี่คืออะไร เปลี่ยนความเสื่อมสลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์…” เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจ เขาจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่ง
รอยขีดข่วนเงอะงะกลายเป็นเสน่ห์ของเต๋า 'ทุกรอยเหมือนมังกร คุนเผิง รวมทั้งอสูรศักดิ์สิทธิ์อีกหลายตัว
ในขณะนี้ หม้อ ระฆัง หอคอย เตาหลอม กระจก ทวน ฯลฯ ทั้งหมดเริ่มหมุนและเริ่มจัดระเบียบใหม่ จากนั้นพวกก็พังทลายพร้อมกับเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
ในขณะนั้นเย่ฟ่านรู้สึกว่าแก้วหูของเขาส่งเสียงดังลั่น มันเป็นเสียงสวรรค์ที่ปรากฏออกมาจากส่วนลึกของท้องฟ้าและทำให้เขาสูญเสียการได้ยินไปชั่วขณะ
คลื่นพลังที่หลุดออกมาจากภาพแกะสลักเหมือนใบมีดที่ตัดเฉือนจิตวิญญาณผู้คน คนธรรมดาย่อมไม่สามารถทนรับสิ่งเหล่านี้ได้ มันเกือบจะทำลายจิตใจของเย่ฟ่านโดยเปลี่ยนให้เขากลายเป็นหุ่นเชิดไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตามวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่ฟ่านได้รับการชำระล้างจากภัยพิบัติมากกว่าสิบครั้งแล้ว ตอนนี้เขาสามารถปกป้องตัวเองจากการโจมตีของแผนภาพนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถึงกระนั้นเขาก็ยังได้รับผลกระทบเล็กน้อย ราวกับว่าอาวุธอมตะเหล่ากำลังปราบปรามเขาอย่างหนักจนทำให้เย่ฟ่านแทบจะประคองร่างกายของตัวเองไม่ไหวและต้องการออกจากที่นี่ทันที
“อา!”
เย่ฟ่านอดทนต่อความเจ็บปวด เขารู้ดีว่ามันจะต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงพยายามอดทนอย่างเต็มที่
ในท้ายที่สุด หลังจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นสูญหายไปหมดก็ปรากฏอักขระโบราณหลายตัวที่มีความลึกซึ้งและยากที่จะเข้าถึงได้ปรากฏขึ้นแทน
อักขระเหล่านี้เป็นเช่นเดียวกับรูปแกะสลักอาวุธ พวกมันมีพลังความกดดันที่น่าสะพรึงกลัว ทุกคำกล่าวบาดลึกถึงหัวใจของผู้คนและทำให้จิตวิญญาณของผู้ฝึกฝนสั่นคลอน คัมภีร์นี้มีความยาวมากและยากที่จะประทับลงไปในความทรงจำได้
ยอดเขาหลักไม่สูงตระหง่านแต่สูงกว่าภูเขาอื่นๆ เพียงไม่กี่ร้อยจั้ง ด้านหลังภูเขาล้อมรอบด้วยต้นไม้โบราณ ทำให้ที่นี่เงียบสงบ บางครั้งมีเสียงนกร้องตอนกลางคืน ทำให้บรรยากาศรอบๆดูสงบยิ่งขึ้น
ทุกตัวอักขระที่เย่ฟ่านอ่านทำให้หูของเขาดังก้องคล้ายกับถูกสายฟ้าฟาดตลอดเวลา
เย่ฟ่านได้รับความเจ็บปวดอย่างหนักเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเรียกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นชายร่างสีทองให้ปรากฏออกมาภายนอก ในขณะเดียวกันเมล็ดโพธิ์ของเขาก็ถูกเรียกออกมาห้อยอยู่บนศีรษะด้วยเช่นกัน
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นจากสภาพที่น่าอัศจรรย์นี้ พระจันทร์ศักดิ์สิทธิ์สว่างและนุ่มนวล และภูเขาด้านหลังเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ราวกับขนนกศักดิ์สิทธิ์มากมายที่กระจัดกระจาย
“นี่คือเก้าญาณวิเศษลึกลับที่ใช้ในการควบคุมอาวุธศักดิ์สิทธิ์!”
เย่ฟ่านตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาไม่คิดมาก่อนว่าเก้าญาณวิเศษลึกลับจะถูกแกะสลักไว้บนหน้าผาซึ่งทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดายแบบนี้
“ถ้าเข้าใจความลับนี้ แม้ว่าศัตรูจะมีอาวุธชนิดใดหรือแม้แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดมาจากยุคโบราณข้าก็สามารถยึดมันมาเป็นสมบัติของตัวเองได้อย่างง่ายดาย!”
เย่ฟ่านรู้สึกตกใจ ด้วยทักษะชนิดนี้ย่อมหมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ขอแค่เพียงมีพลังมากพอเขาก็สามารถยึดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นของตัวเองได้
เป็นไปได้ว่าหากฐานการบ่มเพาะแข็งแกร่งพอและการฝึกฝนของเขาไปถึงระดับหนึ่ง ต่อให้เป็นอาวุธเต๋าสุดขั้วของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เขาก็อาจจะยึดมาเป็นสมบัติของตัวเองได้เช่นกัน
“ความลับนี้น่ากลัวเกินไป นั่นเป็นเหตุผลให้มหาอำนาจหลายแห่งในโลกไม่ต้องการให้ญาณวิเศษชนิดนี้ปรากฏขึ้น”
เย่ฟ่านประหลาดใจ ถ้าผู้ฝึกฝนเข้าใจความลับนี้บางทีเขาอาจจะปูเส้นทางให้กับตัวเองกลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต
อาวุธซึ่งเป็นที่พึ่งสูงสุดของผู้ฝึกฝน สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่เมื่อความลับถูกเปิดเผย นี่เป็นข่าวร้ายสำหรับหลาย ๆ คน และมันจะทำลายความสมดุลในการต่อสู้
“เก้าญาณวิเศษลึกลับ ทุกความลับล้วนท้าทายสวรรค์ไม่น่าแปลกใจที่พวกมันจะถูกทำลาย”
ในความเป็นจริงด้วยความลับนี้เขาไม่จำเป็นต้องยึดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำ เขาสามารถควบคุมเมล็ดทรายหรือแม้กระทั่งอากาศให้กลายเป็นอาวุธของตัวเองได้