ข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 9 บุปผากลืนวิญญาณ (กินทุกอย่าง)
ข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 9 บุปผากลืนวิญญาณ (กินทุกอย่าง)
อย่างที่คาดเอาไว้ การสังหารสาวกมารที่โจมตีเขาทำให้กระตุ้นระบบสุ่มรางวัล
แต่คราวนี้รางวัลนั้นไม่ใช่วิชา พลังลี้ลับ โอสถ หรืออาวุธ แต่เป็นพืช
บุปผากลืนวิญญาณ!
ฉู่เซวียนตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับบุปผากลืนวิญญาณ
“บุปผากลืนวิญญาณ พืชพิศวงแห่งฟ้าดิน สามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ชอบกินกลืนพิษ สมบัติหยินและซากศพเป็นพิเศษ เมื่อเติบโตในวัยเยาว์มันสามารถเบิกสติปัญญาเรียบง่ายขึ้นมาและลุกขึ้นเดินได้ บุปผานั้นสวยงามทว่ากลับมีอำนาจในการนำพาความวุ่นวาย...”
หลังจากอ่านคำอธิบายของบุปผากลืนวิญญาณ ฉู่เซวียนก็รู้สึกประหลาดใจ
ด้วยบุปผากลืนวิญญาณ จัดการกับซากศพก็ง่ายเลยสิ
นอกจากการกลืนกิน บุปผากลืนวิญญาณยังให้กำเนิดผลไม้อันน่าอัศจรรย์ในการรักษาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ผลไม้นี้สามารถชำระล้างร่างกายและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แถมเพิ่มพูนพรสวรรค์และความตระหนักรู้
แถมยังช่วยทะลวงคอขวด
และการโจมตีของบุปผากลืนวิญญาณยังทรงพลังอีกด้วย
นอกจากนี้มันสามารถกลืนกินเจตจำนงวิญญาณกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และบันทึกเจตจำนงวิญญาณหรือความทรงจำของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งหมด
ฉู่เซวียนหยิบบุปผากลืนวิญญาณออกมา เจ้าต้นไม้นี้มีขนาดเท่ากำปั้นเล็ก ๆ และมีความสูงหนึ่งเมตร ดอกไม้หลากสีขึ้นตามลำต้น
กิ่งก้านของมันอ่อนยุ่นเหมือนเถาองุ่น ไม่มีใบแม้แต่ใบเดียว ทั้งต้นเต็มไปด้วยดอกไม้รูปทางต่าง ๆ ที่ดูสดใสและสวยงามส่งกลิ่นหอมชวนหลงใหลออกมา
ทันทีที่นำบุปผากลืนวิญญาณออกมา ฉู่เซวียนตรวจพบการเชื่อมโยงวิญญาณอย่างแผ่วเบากับมัน ทำให้มันจดจำได้ทันทีว่าเขาเป็นเจ้านายของมัน
“กินมันเสีย!”
ฉู่เซวียนต้องการเห็นความสามารถในการกลืนกินของบุปผากลืนวิญญาณ เขาจึงชี้ไปที่ซากศพบนพื้นและออกคำสั่ง
รากของบุปผากลืนวิญญาณนั้นรัดพันกันอย่างหนาแน่น ทว่าหลังจากร่อนลงบนพื้น มันกลับเดินได้ราวกับภูตต้นไม้ตัวน้อย
ทันทีที่เดินไปถึงหน้าทั้งสองศพ มันก็พลันแผ่รากออกออกเหมือนตาข่ายหนาทึบคลุมทั้งสองศพ
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าทั้งสองศพกำลังสลายหายไปอย่างรวดเร็วภายใต้รากของบุปผากลืนวิญญาณ ในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ทั้งสองศพก็หายไปหมดสิ้น
แม้แต่เสื้อผ้าบนศพก็เปื่อยยุ่ยและสหายหายไปเช่นกัน
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งของที่ติดตัวอยู่บนศพ
หลังจากกลืนกินซากศพเสร็จ บุปผากลืนวิญญาณก็ส่ายไปส่ายมาอย่างน่ารัก ทำให้มันทรงเสน่ห์ สวยงาม และน่าจับต้อง
ฉู่เซวียนถึงกับกลืนน้ำลาย บุปผากลืนวิญญาณน่าประทับใจยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก นี่แค่ตอนมันยังเด็กนะ
ในขณะที่มองไปยังบุปผากลืนวิญญาณที่ทรงเสน่ห์ สวยงาม และน่าจับต้องซึ่งส่ายไปส่ายมาอย่างน่ารักตรงหน้าเขา ฉู่เซวียนจึงตัดสินใจลองใช้ความสามารถทางเวทอาคมอีกอย่างของมัน
บันทึกความทรงจำเจตจำนงวิญญาณและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของศัตรูที่ถูกกลืนกิน
ก่อนตายนั้นสาวกมารทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้วงลี้ลับ เจตจำนงวิญญาณของพวกเขาจึงยังไม่หายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง บุปผากลืนวิญญาณจะต้องได้กลืนกินเจตจำนงวิญญาณของพวกเขาเข้าไป
เขาสามารถตรวจสอบได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาได้แอบลงมือกับตระกูลฉู่หรือไม่
เขาไม่อยากให้ตระกูลฉู่ได้รับความเสียหายครั้งใหญ่จากฝีมือของลัทธิมาร หากตระกูลฉู่ถูกคุกคาม เขาจะเก็บตัวอยู่บ้านอย่างปลอดภัยได้อย่างไร
ในไม่ช้าเขาจึงสั่งการบุปผากลืนวิญญาณ
บุปผากลืนวิญญาณส่งเสียงหวีดหวิว จากนั้นกลีบของมันก็เปล่งแสงก่อนสร้างภาพขึ้นมากลางอากาศ
ในภาพคือความทรงจำของสาวกมารทั้งสอง ฉู่เซวียนสั่งให้บุปผากลืนวิญญาณมองหาความทรงจำที่สำคัญ โดยเฉพาะความทรงจำของเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีความทรงจำที่ฝังอยู่ในส่วนลึกที่เกี่ยวข้องกับลัทธิมารหรือตระกูลฉู่อีกด้วย
หลังจากดูความทรงจำของทั้งคู่เสร็จ ฉู่เซวียนก็เข้าใจจุดประสงค์ในการเดินทางของพวกเขาคร่าวๆ
การลงมืออย่างฉับพลันของตระกูลฉู่ ทำให้เหล่าสาวกมารในเมืองฉู่ระวังตัวกันมากขึ้น พวกเขาได้ประสบความสูญเสียอย่างหนักโดยไร้การเตือนล่วงหน้า
เพื่อทำให้ตระกูลฉู่อ่อนแอลง พวกเขาเลยต้องจ่ายราคาอย่างหนัก ถึงกับนำอาภรณ์วิญญาณเร้นออกมาสองชุด คัดเลือกสาวกมารสองคนที่เก่งในด้านลอบเร้นและซ่อนตัว จากนั้นมอบอาภรณ์ซ่อนเร้นให้แก่พวกเขาก่อนแอบเพื่อเข้าไปทำลายอาณาเขตตระกูลฉู่
ลัทธิมารครอบครองหมอกพิษกับเพลิงพิษ พวกเขาไม่จำเป็นต้องลักลอกเข้าไปในจวนบรรพชนของตระกูลฉู่ ถึงอยากเข้าไปก็ไม่สามารถทำได้ พวกเขาจึงต้องการเพียงแค่ปล่อยหมอกพิษกับเพลิงพิษในอาณาเขตตระกูลฉู่เท่านั้น
นี่ไม่ใช่หมอกพิษกับเพลิงพิษทั่วไป หมอกพิษกับเพลิงพิษชนิดนี้หากถูกปลดปล่อยจะทำให้เกิดผลกระทบที่ยิ่งใหญ่และสร้างความเสียหายอย่างมากต่อผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้วงลี้ลับ
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือหมอกพิษจะเกาะตามต้นไม้ใบหญ้า แม้ใช้เวลานานก็ไม่หายไป หากไม่ใช้โอสถพิเศษก็ยากกำจัดให้หมดสิ้นได้
หากให้หายไปตามธรรมชาติต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีถึงจะกำจัดออกไปได้ ยิ่งหมอกพิษเผาไหม้นานยิ่งเท่ากับการทำลายอาณาเขตตระกูลฉู่มากเท่านั้น
ต่อให้ตระกูลฉู่มีความสามารถกำจัดพิษที่ตกค้างจากควัน แต่ตระกูลฉู่ก็ยังต้องจ่ายราคาสูง นี่พอที่จะสร้างความเสียหายให้แก่ตระกูลฉู่แล้ว
เพลิงพิษเองก็ตรงไปตรงมาไม่ต่างกัน
มันเป็นพิษที่ไม่เหมือนพิษอื่น หลังจากปล่อยออกมา เพลิงพิษจะเผาไหม้เหมือนกับเปลวไฟ มันมีคุณสมบัติพิเศษในการดูดซับและเผาผลาญปราณวิญญาณ
เพลิงพิษดับยากมาก เพราะวิธีเดียวที่จะดับมันได้โดยสิ้นเชิงคือการแยกปราณวิญญาณออกไป
แถมหลังจากแยกปราณวิญญาณ เพลิงพิษสามารถลุกไหม้ได้นานถึงครึ่งวันก่อนดับลงอย่างสมบูรณ์ หากเพลิงพิษดูดซับปราณวิญญาณเพียงเล็กน้อยระหว่างลุกไหม้ มันจะลุกไหม้ต่อไปอีกครั้ง
หากเพลิงพิษถูกปล่อยเข้าไปในอาณาเขตตระกูลฉู่ ตระกูลฉู่จะต้องระดมทั้งผู้ฝึกยุทธ์เหนือขอบเขตวิญญาณและอาวุธวิญญาณจำนวนมากเพื่อแยกปราณวิญญาณออกไปเป็นวงกว้าง
แถมตระกูลฉู่ยังต้องแยกปราณวิญญาณออกไปนานถึงครึ่งวัน ซึ่งต้องอาศัยผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมาก ในช่วงเวลานี้การป้องกันของตระกูลฉู่จะต้องอ่อนแอที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ตระกูลฉู่จะเผชิญกับอันตรายในระดับหนึ่ง
เพื่อดำเนินการตามแผนนี้ อาจกล่าวได้ว่าลัทธิมารใช้จ่ายในราคามหาศาล
หลังจากที่ฉู่เซวียนอ่านความทรงจำของสาวกมาร เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายต้องการควบคุมเขาเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ ในวันนี้อาณาเขตตระกูลฉู่คงตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว
คงมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่เป็นข้ารับใช้ ต้องไม่ลืมว่าสมาชิกแกนหลักของตระกูลฉู่ยังอาศัยอยู่ในจวนบรรพชน
เรื่องนี้ทำให้ฉู่เซวียนระวังตัวมากขึ้น ไม่ออกปล่อยผ่านเข้าไปในอาณาเขตตระกูลฉู่ได้ จวนบรรพชนไม่อาจเกิดปัญหาอะไรขึ้นได้ ทว่าอันตรายภายในเขตตระกูลนั้นไม่ใช่เล็กเลย
สาวกมารสวมชุดพรางตัวแอบเข้ามาและผนึกจิตสัมผัสของผู้พิทักษ์ แถมเขาเพิ่งค้นพบก็ตอนที่พวกมันมาถึงเรือนสี่ประสานแล้ว
เขายังไม่ระวังตัวดีพอ
ตอนนี้ฉู่เซวียนมีบุปผากลืนวิญญาณ เขาก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม เขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกซุ่มโจมตีอย่างในวันนี้อีกต่อไป
เมื่อมองไปที่ตาข่ายผนึกวิญญาณที่ปกคลุมเรือนสี่ประสานและเห็นกิ่งของบุปผากลืนวิญญาณที่แผ่ขยายขึ้นไปยังด้านบน ดอกไม้บนกิ่งไม้นั้นสวยงามอย่างมาก
ดอกไม้ที่เหมือนกระดิ่งหลายดอกเริ่มเลื่อยไปที่ตาข่ายผนึกวิญญาณและค่อย ๆ กัดกินตาข่ายผนึกวิญญาณทีละนิด
ฉู่เซวียนเลียริมฝีปาก บุปผากลืนวิญญาณช่างยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ขนาดอาวุธวิญญาณก็ยังกินได้
ทว่านี่เป็นเพียงตอนวัยเยาว์เท่านั้น!
หลังจากที่กินตาข่ายผนึกวิญญาณหมด รากของบุปผากลืนวิญญาณก็เลื่อยหลบไปยังมุมหนึ่งของลานบ้านอย่างว่องไว จากนั้นก็หยั่งรากลงไปในดินและดอกไม้ส่วนใหญ่ก็หุบลง เหลือเพียงสองดอกที่บานอยู่บนกิ่ง
ตอนนี้บุปผากลืนวิญญาณดูเหมือนกับบุปผาต้นเล็ก ๆ นอกจากดอกไม้ที่สวยงามแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษกับมันอีก
บุปผากลืนวิญญาณเป็นพืชที่แสนน่าสะพรึงกลัว ตอนที่มองไปยังรูปลักษณ์ปกติของมัน ดูราวกับมันกำลังรอให้เหยื่อมาตกหลุมพรางของมันก็ว่าได้
หลังจากจัดการกับสาวกมารอย่างเงียบ ๆ เรียบร้อยและก็มีบุปผากลืนวิญญาณมาเฝ้าบ้าน ในที่สุดฉู่เซวียนก็สามารถหลับตานอนได้อย่างสงบสุขเสียที
เขาหยิบโอสถบำรุงวิญญาณออกมาโยนเข้าปาก ขณะที่กำลังจะกลับไปที่ห้องเพื่อฝึกฝนเจตจำนงวิญญาณต่อ เขาก็เห็นกิ่งยื่นออกมา ดอกไม้บนกิ่งเริ่มบาน กลีบของมันกำลังส่ายไปมาเหมือนกับว่ามันกำลังขออะไรบางอย่าง
“กินให้หมดเสีย”
ฉู่เซวียนโยนโอสถบำรุงวิญญาณและโอสถห้วงลี้ลับอย่างละสองเม็ดตรงไปยังดอกไม้
หลังจากนั้นบุปผากลืนวิญญาณก็ถอนกิ่งของมันกลับไปด้วยความพึงพอใจ