ตอนที่แล้วข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 7 ขอบเขตห้วงลี้ลับขั้นที่เจ็ด, ดัชนีวชิระ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 9 บุปผากลืนวิญญาณ (กินทุกอย่าง)

ข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 8 สาวกมาร จงตายซะ!


ข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 8 สาวกมาร จงตายซะ!

ตำแหน่งที่ฉู่เซวียนอยู่นั้นคือชายขอบของอาณาเขตตระกูลฉู่ และเป็นตำแหน่งที่เปราะบางทำให้แอบเข้าไปได้ง่ายที่สุด

ต้นไม้รอบเรือนสี่ประสานขึ้นอย่างหนาแน่น ทำให้ง่ายต่อการซ่อนตัว

การปล่อยหมอกพิษกับเพลิงพิษยังสามารถแพร่กระจายเร็วได้ขึ้น ทำให้ดับได้ยากขึ้น

ตกกลางดึก ฉู่เสวียนกินโอสถบำรุงวิญญาณและนอนบนเตียงพร้อมกับหล่อเลี้ยงเจตจำนงวิญญาณ

ด้วยการหล่อเลี้ยงของโอสถบำรุงวิญญาณและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเจตจำนงวิญญาณ ถึงไม่ต้องนอน ฉู่เซวียนก็ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของตนเองเอาไว้ได้

ทว่าหากไม่เพลิดเพลินไปกับชีวิตจะมีความหมายอะไร ฉู่เซวียนจึงยังคงนอนหลับเป็นระยะ ๆ

ในเวลานี้ สาวกมารทั้งสองที่อยู่นอกเรือนสี่ประสานได้หยุดฝีเท้าลง

พวกเขาเห็นเรือนสี่ประสานและมองหน้ากัน ดูเหมือนทั้งคู่จะเข้าใจความคิดของกันและกัน

จากนั้นพวกเขาก็แอบย่องเข้าไปใกล้เรือนสี่ประสานอย่างเงียบ ๆ

ทั้งคู่หยุดอยู่หน้าเรือนสี่ประสานและสื่อสารกันผ่านการส่งเสียง

“ตามข่าวกรองของข้า คนที่อาศัยอยู่ที่นี่คือบุตรชายขยะของฉู่ชิวหลัวที่ถูกขับไล่ออกจากจวนบรรพชน”

“เจ้าหมายความว่า?”

“ข้าคิดว่านี่คือโอกาสดี หากเราควบคุมเขาได้ ภารกิจในคืนนี้คงราบรื่นและประสบผลสำเร็จมากกว่าเดิม เราอาจมีโอกาสปล่อยหมอกพิษและเพลิงพิษไปยังจวนบรรพชนของตระกูลฉู่ อีกอย่างเรายังหลบหนีออกไปได้โดยไม่มีใครรู้”

“ลงมือกันเถอะ ข้าบังเอิญครอบครองโอสถลวงใจอยู่กับตัว หากมีสิ่งนี้เราจะสามารถสั่งให้เขาทำตามที่เราบอกได้”

สาวกมารทั้งสองพูดคุยกันและในไม่ช้าก็ตัดสินใจที่จะควบคุมฉู่เซวียน

“ถึงข้าจะได้ยินมาว่าบุตรชายของฉู่ชิวหลัวเป็นขยะ แต่เราก็ห้ามประมาท ใช้ตาข่ายผนึกวิญญาณ”

“ได้!”

สาวกมารคนหนึ่งหยิบตาข่ายออกมาเปิดใช้งานเพื่อลดเสียงที่เกิดขึ้น ทั้งสองต่างพากันถือตาข่ายไปติดตั้งรอบเรือนสี่ประสาน

ตาข่ายผนึกวิญญาณเป็นอาวุธวิญญาณแบบพิเศษที่ใช้ในการผนึกความผันผวนของพลังวิญญาณ

พลังวิญญาณที่ผันผวนทั้งหมดภายในเขตของตาข่ายผนึกวิญญาณจะถูกปิดผนึก ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านไปยังภายนอก

ตราบใดที่ตาข่ายผนึกวิญญาณถูกเปิดใช้ คนภายในก็จะไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากภายนอกได้

สาวกมารทั้งสองตรวจสอบอย่างรอบขอบหลังจากติดตั้งตาข่ายเพื่อไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้ จากนั้นทั้งคู่ก็เปิดใช้งาน ตาข่ายขนาดใหญ่ก็ผนึกเรือนสี่ประสานที่ฉู่เซวียน อาศัยอยู่ไว้อย่างแน่นหนา

ทันทีที่ตาข่ายผนึกวิญญาณถูกเปิดใช้งาน ฉู่เซวียนสังเกตเห็นมันทันที

เขาพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นดำทมึน

จากนั้นก่นด่าอยู่ในใจ ตระกูลฉู่ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีศัตรูจ่อมาถึงตัว

จากนั้นฉู่เซวียนสัมผัสได้ว่าสาวกมารที่บุกรุกบ้านของเขาฐานพลังยุทธ์ไม่สูงนัก และถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ทั้งสองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้วงลี้ลับขั้นที่สาม

เขาอยู่ในขอบเขตห้วงลี้ลับขั้นที่เจ็ดและมีอาวุธสมบัติระดับสูง ดาบสะบั้นวิญญาณ สาวกมารทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา

สำหรับตาข่ายผนึกวิญญาณ เขาไม่สนใจมันแม้แต่นิด

หลังจากที่สังหารพวกคลั่งลัทธิ ตาข่ายผนึกวิญญาณก็จะทำลายตัวเอง

อีกอย่าง ฉู่เซวียนยังเคยสังหารสาวกมารสองคนที่มารบกวนความเป็นส่วนตัวของเขา ครั้งนี้เขาจะได้รับรางวัลสุ่มจากระบบไหมนะ?

หลังจากเปิดใช้งานตาข่ายผนึกวิญญาณสำเร็จ ทั้งคู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาไม่ได้พูดคุยผ่านการส่งเสียงกันต่อ

“ทำไมฉู่ชิวหลัวถึงให้กำเนิดบุตรชายที่ขยะเช่นนี้? ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยจริงๆ”

“ข้าได้ยินมาว่าเขายังบรรลุขอบเขตห้วงลี้ลับด้วยซ้ำ เขาจะสังเกตเห็นได้ยังไง”

“รีบเข้าลงมือเถอะ ให้โอสถลวงใจกับหมอกพิษกับเพลิงพิษแก่เขา แล้วพาเขาไปที่จวนบรรพชนของตระกูลฉู่เพื่อปล่อยพิษ”

“จู่ ๆ ข้าก็มีความคิดหนึ่ง ทำไมเราไม่ควบคุมเขาและทำให้เขาเป็นสายลับคอยแฝงตัวภายในตระกูลฉู่ ไม่ดีกว่าหรือที่จะกำจัดเขาหลังจากใช้งานครั้งเดียว”

ทันใดนั้นหนึ่งในสาวกมารได้กล่าวขึ้น

“เขาเป็นสายเลือดหลักของตระกูลฉู่ แถมยังเป็นบุตรชายของฉู่ชิวหลัว ด้วย ต่อให้ฉู่ชิวหลัวหายตัวไป แต่ใครจะรู้ว่าเขาตายหรือยังมีชีวิตอยู่? การควบคุมบุตรชายของเขาอาจเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคต อีกอย่างเมื่อเราช่วยให้เขาทะลวงไปยังขอบเขตห้วงลี้ลับและกลับเข้าสู่ใจกลางสายเลือดหลักของตระกูลฉู่ เขาจะทำประโยชน์ให้แก่เราได้มากมาย”

สาวกมารทั้งสองพูดคุยกันเบา ๆ ถึงเรื่องควบคุมฉู่เซวียน และเรื่องการใช้ประโยชน์จากขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ยิ่งฉู่เซวียนฟังมากเท่าไหร่ เขายิ่งมีสีหน้าคล้ำขึ้นเท่านั้น ให้ตายสิ ทำไมถึงคิดว่าควบคุมข้าได้แล้ว?

ข้าควบคุมง่ายและใช้งานง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?

“เจ้าสองคนคุยกันเสร็จแล้วหรือ”

ฉู่เซวียนเปิดประตูเดินออกมาด้วยสีหน้ามืดมน

ตาข่ายผนึกวิญญาณได้ผนึกเรือนสี่ประสานเอาไว้แล้ว อีกอย่างนี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน ในเวลานี้เขาสามารถสังการพวกมันได้โดยไม่ทำให้มีข่าวแพร่กระจายออกไป

ฉู่เซวียนไม่อยากเปิดเผยฐานพลังยุทธ์ของตนเองเพียงเพราะสังหารสาวกมารสองคน เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป

เวลานี้เขาแค่อยากเก็บตัวอยู่บ้านและสะสมความแข็งแกร่งเท่านั้น

สาวกมารทั้งสองต่างตกใจ พวกเขามองไปยังฉู่เซวียนอย่างระแวดระวังจนกระทั่งรู้ว่าฉู่เซวียนอยู่แค่ขอบเขตมนุษย์ขั้นรวบรวมลมปราณ ทั้งคู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที

“เจ้าหนู บิดาของเจ้าฉู่ชิวหลัวกำราบคนทุกคนในรุ่นเดียวกัน ไม่คิดหรือว่าเหตุใดเจ้าถึงถูกคนรอบข้างกดขี่ข่มเหง? นั่นเป็นเพราะเจ้าเป็นขยะยังไงละ”

หนึ่งในสาวกมารหัวเราะอย่างน่ากลัว

“มาสิ หากเจ้าเข้าร่วมลัทธิมารของเราและเราขอรับรองว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมากว่าเดิม แม้แต่การควบคุมตระกูลฉู่ในอนาคตก็ไม่ใช่ปัญหา ใครก็ตามที่มีหัวคิดจะรู้ว่าอะไรดีอะไรเลว”

สาวกมารทั้งสอง หนึ่งอยู่ทางซ้าย อีกหนึ่งอยู่ทางขวา

“อย่าแม้แต่จะคิดขอความช่วยเหลือ ภายในตาข่ายผนึกวิญญาณนั้นไม่มีใครเข้ามาได้ ต่อให้เจ้าจะตะโกนจนปากแหกก็ตาม”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนที่ข้าเห็นผิวอันเนียนนุ่มของเจ้า ข้ารู้แล้วว่าเจ้าไม่สามารถอดทนต่อความลำบากได้ จงเชื่อฟังและมาเพลิดเพลินกับผลประโยชน์ของลัทธิของเราเถอะ รับรองว่าถูกใจเจ้าแน่นอน ในอนาคตไม่ใช่แค่ความฝันที่จะได้เป็นผู้นำตระกูลฉู่ แม้แต่แคว้นฉินก็สามารถปลี่ยนชื่อแคว้นฉู่ได้”

ในขณะที่สาวกมารกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย มันก็เริ่มนำโอสถออกมา

ฉู่เซวียนมองไปยังสาวกมารที่ล้อมตัวเขา พอมาถึงจุดนี้ เขากำลังไตร่ตรองว่าตนเองควรใช้หมัดวิญญาณมังกรอสรพิษหรือควรใช้ดัชนีวชิวะเพื่อสังหารพวกมัน

หรือควรใช้ดาบสะบั้นวิญญาณดี?

การใช้ดาบสะบั้นวิญญาณมากเกินไปรึไม่?

เขาควรลองใช้ดัชนีวชิวะดี?

ในที่สุดฉู่เซวียนก็ตัดสินใจให้สาวกมารสองคนนี้ได้ลิ้มลองดัชนีวชิวะ

หมัดวิญญาณมังกรอสรพิษเมื่อสังหารคน มันจะเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นกองเนื้อ ทำให้ยากที่จะทำความสะอาด

แต่พลังสายฟ้าของดัชนีวชิระมีอำนาจในการเจาะทะลวง เหลือไว้เพียงรอยแผลไหม้ ทำให้ง่ายที่จะจัดการกับศพ

“เจ้าพูดจบรึยัง? หากจบแล้วก็ตายซะ”

ฉู่เซวียนยกมือขวาขึ้นและมองไปยังสาวกมารทั้งสองอย่างเย็นชา

ทั้งคู่ต่างพากันตกใจและรู้สึกถึงสังหรณ์ใจไม่ดี อีกฝ่ายสงบเกินไปทั้งที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตมนุษย์

แถมนี่ไม่ใช่ท่าทางของขยะอย่างที่คนเขาลือกัน

ในขณะที่พวกเขากำลังจะโจมตี พวกเขาก็เห็นฉู่เซวียนยกนิ้วขึ้นมา จากนั้นสายฟ้าสองสายก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้ว

พวกเขาต้องการหลบหรือป้องกัน แต่ก็สายเกินไปแล้ว

พวกเขาทำได้เพียงโคจรพลังวิญญาณเพื่อสร้างเกราะพลังวิญญาณรอบตัวเพื่อพยายามสกัดกั้นสายฟ้า

ทั้งคู่ต่างก็ฝึกฝนวิชามาร พวกเขาจึงถูกสายฟ้าควบคุมไว้อย่างอยู่หมัด อีกอย่างความแข็งแกร่งของฉู่เซวียนยังเหนือกว่าพวกเขามาก เกราะพลังวิญญาณเพียงอย่างเดียวจะต้านทานไว้ได้ยังไง?

สายฟ้าแลบแวบเดียวก่อนพวกเขาจะทันได้กรีดร้อง รูไหม้เกรียมขนาดเท่าหัวแม่มือที่เต็มไปด้วยเขม่าดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของพวกเขา

สายฟ้าจากดัชนีวชิระได้เจาะทะลุหัวของสาวกมารทั้งสองในทันที ทำให้เกิดรูไหม้เกรียมขนาดเล็กสองรู

ตึง!

ทั้งสองศพล้มลงกับพื้น

ยังคงเหลือไว้ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

ฉู่เซวียนมองไปยังทั้งสองศพบนพื้นและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ พลังของดัชนีวชิระค่อนข้างรุนแรง

ฐานพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้อ่อนแอ พลังสายฟ้าเองก็ไม่กระจายมากนัก จึงไม่ได้เผาทั้งร่าง เหลือทิ้งไว้เพียงรอยแผลไหม้เกรียม

หากพลังสายฟ้าไม่กระจายเลย พลังเจาะทะลวงจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและยากที่จะการต้านทานได้

แต่เมื่อเขามองไปยังทั้งสองศพบนพื้น ฉู่เซวียนก็รู้สึกหนักใจอีกครั้ง เขาจะจัดการกับศพยังไงละทีนี้?

ฉู่เซวียนไม่สามารถออกจากเรือนสี่ประสานได้ เมื่อเขาออกจากไป บันทึกจะถูกรีเซ็ตทันที

เขาไม่สามารถฝังศพไว้ในเรือนสี่ประสานได้ใช่ไหม?

หากมีศพสองศพถูกฝังอยู่ในเรือนสี่ประสานของตน ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็รู้สึกขยะแขยงอยู่ดี

“โฮสต์สังหารสาวกมารที่พยายามมารบกวนวิถีชีวิตของโฮสต์ โฮสต์ได้รับรางวัลคือบุปผากลืนวิญญาณ”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด