ข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 8 สาวกมาร จงตายซะ!
ข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 8 สาวกมาร จงตายซะ!
ตำแหน่งที่ฉู่เซวียนอยู่นั้นคือชายขอบของอาณาเขตตระกูลฉู่ และเป็นตำแหน่งที่เปราะบางทำให้แอบเข้าไปได้ง่ายที่สุด
ต้นไม้รอบเรือนสี่ประสานขึ้นอย่างหนาแน่น ทำให้ง่ายต่อการซ่อนตัว
การปล่อยหมอกพิษกับเพลิงพิษยังสามารถแพร่กระจายเร็วได้ขึ้น ทำให้ดับได้ยากขึ้น
ตกกลางดึก ฉู่เสวียนกินโอสถบำรุงวิญญาณและนอนบนเตียงพร้อมกับหล่อเลี้ยงเจตจำนงวิญญาณ
ด้วยการหล่อเลี้ยงของโอสถบำรุงวิญญาณและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเจตจำนงวิญญาณ ถึงไม่ต้องนอน ฉู่เซวียนก็ยังคงรักษาความแข็งแกร่งของตนเองเอาไว้ได้
ทว่าหากไม่เพลิดเพลินไปกับชีวิตจะมีความหมายอะไร ฉู่เซวียนจึงยังคงนอนหลับเป็นระยะ ๆ
ในเวลานี้ สาวกมารทั้งสองที่อยู่นอกเรือนสี่ประสานได้หยุดฝีเท้าลง
พวกเขาเห็นเรือนสี่ประสานและมองหน้ากัน ดูเหมือนทั้งคู่จะเข้าใจความคิดของกันและกัน
จากนั้นพวกเขาก็แอบย่องเข้าไปใกล้เรือนสี่ประสานอย่างเงียบ ๆ
ทั้งคู่หยุดอยู่หน้าเรือนสี่ประสานและสื่อสารกันผ่านการส่งเสียง
“ตามข่าวกรองของข้า คนที่อาศัยอยู่ที่นี่คือบุตรชายขยะของฉู่ชิวหลัวที่ถูกขับไล่ออกจากจวนบรรพชน”
“เจ้าหมายความว่า?”
“ข้าคิดว่านี่คือโอกาสดี หากเราควบคุมเขาได้ ภารกิจในคืนนี้คงราบรื่นและประสบผลสำเร็จมากกว่าเดิม เราอาจมีโอกาสปล่อยหมอกพิษและเพลิงพิษไปยังจวนบรรพชนของตระกูลฉู่ อีกอย่างเรายังหลบหนีออกไปได้โดยไม่มีใครรู้”
“ลงมือกันเถอะ ข้าบังเอิญครอบครองโอสถลวงใจอยู่กับตัว หากมีสิ่งนี้เราจะสามารถสั่งให้เขาทำตามที่เราบอกได้”
สาวกมารทั้งสองพูดคุยกันและในไม่ช้าก็ตัดสินใจที่จะควบคุมฉู่เซวียน
“ถึงข้าจะได้ยินมาว่าบุตรชายของฉู่ชิวหลัวเป็นขยะ แต่เราก็ห้ามประมาท ใช้ตาข่ายผนึกวิญญาณ”
“ได้!”
สาวกมารคนหนึ่งหยิบตาข่ายออกมาเปิดใช้งานเพื่อลดเสียงที่เกิดขึ้น ทั้งสองต่างพากันถือตาข่ายไปติดตั้งรอบเรือนสี่ประสาน
ตาข่ายผนึกวิญญาณเป็นอาวุธวิญญาณแบบพิเศษที่ใช้ในการผนึกความผันผวนของพลังวิญญาณ
พลังวิญญาณที่ผันผวนทั้งหมดภายในเขตของตาข่ายผนึกวิญญาณจะถูกปิดผนึก ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านไปยังภายนอก
ตราบใดที่ตาข่ายผนึกวิญญาณถูกเปิดใช้ คนภายในก็จะไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากภายนอกได้
สาวกมารทั้งสองตรวจสอบอย่างรอบขอบหลังจากติดตั้งตาข่ายเพื่อไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้ จากนั้นทั้งคู่ก็เปิดใช้งาน ตาข่ายขนาดใหญ่ก็ผนึกเรือนสี่ประสานที่ฉู่เซวียน อาศัยอยู่ไว้อย่างแน่นหนา
ทันทีที่ตาข่ายผนึกวิญญาณถูกเปิดใช้งาน ฉู่เซวียนสังเกตเห็นมันทันที
เขาพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นดำทมึน
จากนั้นก่นด่าอยู่ในใจ ตระกูลฉู่ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีศัตรูจ่อมาถึงตัว
จากนั้นฉู่เซวียนสัมผัสได้ว่าสาวกมารที่บุกรุกบ้านของเขาฐานพลังยุทธ์ไม่สูงนัก และถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ทั้งสองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้วงลี้ลับขั้นที่สาม
เขาอยู่ในขอบเขตห้วงลี้ลับขั้นที่เจ็ดและมีอาวุธสมบัติระดับสูง ดาบสะบั้นวิญญาณ สาวกมารทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
สำหรับตาข่ายผนึกวิญญาณ เขาไม่สนใจมันแม้แต่นิด
หลังจากที่สังหารพวกคลั่งลัทธิ ตาข่ายผนึกวิญญาณก็จะทำลายตัวเอง
อีกอย่าง ฉู่เซวียนยังเคยสังหารสาวกมารสองคนที่มารบกวนความเป็นส่วนตัวของเขา ครั้งนี้เขาจะได้รับรางวัลสุ่มจากระบบไหมนะ?
หลังจากเปิดใช้งานตาข่ายผนึกวิญญาณสำเร็จ ทั้งคู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาไม่ได้พูดคุยผ่านการส่งเสียงกันต่อ
“ทำไมฉู่ชิวหลัวถึงให้กำเนิดบุตรชายที่ขยะเช่นนี้? ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยจริงๆ”
“ข้าได้ยินมาว่าเขายังบรรลุขอบเขตห้วงลี้ลับด้วยซ้ำ เขาจะสังเกตเห็นได้ยังไง”
“รีบเข้าลงมือเถอะ ให้โอสถลวงใจกับหมอกพิษกับเพลิงพิษแก่เขา แล้วพาเขาไปที่จวนบรรพชนของตระกูลฉู่เพื่อปล่อยพิษ”
“จู่ ๆ ข้าก็มีความคิดหนึ่ง ทำไมเราไม่ควบคุมเขาและทำให้เขาเป็นสายลับคอยแฝงตัวภายในตระกูลฉู่ ไม่ดีกว่าหรือที่จะกำจัดเขาหลังจากใช้งานครั้งเดียว”
ทันใดนั้นหนึ่งในสาวกมารได้กล่าวขึ้น
“เขาเป็นสายเลือดหลักของตระกูลฉู่ แถมยังเป็นบุตรชายของฉู่ชิวหลัว ด้วย ต่อให้ฉู่ชิวหลัวหายตัวไป แต่ใครจะรู้ว่าเขาตายหรือยังมีชีวิตอยู่? การควบคุมบุตรชายของเขาอาจเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคต อีกอย่างเมื่อเราช่วยให้เขาทะลวงไปยังขอบเขตห้วงลี้ลับและกลับเข้าสู่ใจกลางสายเลือดหลักของตระกูลฉู่ เขาจะทำประโยชน์ให้แก่เราได้มากมาย”
สาวกมารทั้งสองพูดคุยกันเบา ๆ ถึงเรื่องควบคุมฉู่เซวียน และเรื่องการใช้ประโยชน์จากขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ยิ่งฉู่เซวียนฟังมากเท่าไหร่ เขายิ่งมีสีหน้าคล้ำขึ้นเท่านั้น ให้ตายสิ ทำไมถึงคิดว่าควบคุมข้าได้แล้ว?
ข้าควบคุมง่ายและใช้งานง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
“เจ้าสองคนคุยกันเสร็จแล้วหรือ”
ฉู่เซวียนเปิดประตูเดินออกมาด้วยสีหน้ามืดมน
ตาข่ายผนึกวิญญาณได้ผนึกเรือนสี่ประสานเอาไว้แล้ว อีกอย่างนี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน ในเวลานี้เขาสามารถสังการพวกมันได้โดยไม่ทำให้มีข่าวแพร่กระจายออกไป
ฉู่เซวียนไม่อยากเปิดเผยฐานพลังยุทธ์ของตนเองเพียงเพราะสังหารสาวกมารสองคน เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจมากเกินไป
เวลานี้เขาแค่อยากเก็บตัวอยู่บ้านและสะสมความแข็งแกร่งเท่านั้น
สาวกมารทั้งสองต่างตกใจ พวกเขามองไปยังฉู่เซวียนอย่างระแวดระวังจนกระทั่งรู้ว่าฉู่เซวียนอยู่แค่ขอบเขตมนุษย์ขั้นรวบรวมลมปราณ ทั้งคู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
“เจ้าหนู บิดาของเจ้าฉู่ชิวหลัวกำราบคนทุกคนในรุ่นเดียวกัน ไม่คิดหรือว่าเหตุใดเจ้าถึงถูกคนรอบข้างกดขี่ข่มเหง? นั่นเป็นเพราะเจ้าเป็นขยะยังไงละ”
หนึ่งในสาวกมารหัวเราะอย่างน่ากลัว
“มาสิ หากเจ้าเข้าร่วมลัทธิมารของเราและเราขอรับรองว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมากว่าเดิม แม้แต่การควบคุมตระกูลฉู่ในอนาคตก็ไม่ใช่ปัญหา ใครก็ตามที่มีหัวคิดจะรู้ว่าอะไรดีอะไรเลว”
สาวกมารทั้งสอง หนึ่งอยู่ทางซ้าย อีกหนึ่งอยู่ทางขวา
“อย่าแม้แต่จะคิดขอความช่วยเหลือ ภายในตาข่ายผนึกวิญญาณนั้นไม่มีใครเข้ามาได้ ต่อให้เจ้าจะตะโกนจนปากแหกก็ตาม”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนที่ข้าเห็นผิวอันเนียนนุ่มของเจ้า ข้ารู้แล้วว่าเจ้าไม่สามารถอดทนต่อความลำบากได้ จงเชื่อฟังและมาเพลิดเพลินกับผลประโยชน์ของลัทธิของเราเถอะ รับรองว่าถูกใจเจ้าแน่นอน ในอนาคตไม่ใช่แค่ความฝันที่จะได้เป็นผู้นำตระกูลฉู่ แม้แต่แคว้นฉินก็สามารถปลี่ยนชื่อแคว้นฉู่ได้”
ในขณะที่สาวกมารกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย มันก็เริ่มนำโอสถออกมา
ฉู่เซวียนมองไปยังสาวกมารที่ล้อมตัวเขา พอมาถึงจุดนี้ เขากำลังไตร่ตรองว่าตนเองควรใช้หมัดวิญญาณมังกรอสรพิษหรือควรใช้ดัชนีวชิวะเพื่อสังหารพวกมัน
หรือควรใช้ดาบสะบั้นวิญญาณดี?
การใช้ดาบสะบั้นวิญญาณมากเกินไปรึไม่?
เขาควรลองใช้ดัชนีวชิวะดี?
ในที่สุดฉู่เซวียนก็ตัดสินใจให้สาวกมารสองคนนี้ได้ลิ้มลองดัชนีวชิวะ
หมัดวิญญาณมังกรอสรพิษเมื่อสังหารคน มันจะเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นกองเนื้อ ทำให้ยากที่จะทำความสะอาด
แต่พลังสายฟ้าของดัชนีวชิระมีอำนาจในการเจาะทะลวง เหลือไว้เพียงรอยแผลไหม้ ทำให้ง่ายที่จะจัดการกับศพ
“เจ้าพูดจบรึยัง? หากจบแล้วก็ตายซะ”
ฉู่เซวียนยกมือขวาขึ้นและมองไปยังสาวกมารทั้งสองอย่างเย็นชา
ทั้งคู่ต่างพากันตกใจและรู้สึกถึงสังหรณ์ใจไม่ดี อีกฝ่ายสงบเกินไปทั้งที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตมนุษย์
แถมนี่ไม่ใช่ท่าทางของขยะอย่างที่คนเขาลือกัน
ในขณะที่พวกเขากำลังจะโจมตี พวกเขาก็เห็นฉู่เซวียนยกนิ้วขึ้นมา จากนั้นสายฟ้าสองสายก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้ว
พวกเขาต้องการหลบหรือป้องกัน แต่ก็สายเกินไปแล้ว
พวกเขาทำได้เพียงโคจรพลังวิญญาณเพื่อสร้างเกราะพลังวิญญาณรอบตัวเพื่อพยายามสกัดกั้นสายฟ้า
ทั้งคู่ต่างก็ฝึกฝนวิชามาร พวกเขาจึงถูกสายฟ้าควบคุมไว้อย่างอยู่หมัด อีกอย่างความแข็งแกร่งของฉู่เซวียนยังเหนือกว่าพวกเขามาก เกราะพลังวิญญาณเพียงอย่างเดียวจะต้านทานไว้ได้ยังไง?
สายฟ้าแลบแวบเดียวก่อนพวกเขาจะทันได้กรีดร้อง รูไหม้เกรียมขนาดเท่าหัวแม่มือที่เต็มไปด้วยเขม่าดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของพวกเขา
สายฟ้าจากดัชนีวชิระได้เจาะทะลุหัวของสาวกมารทั้งสองในทันที ทำให้เกิดรูไหม้เกรียมขนาดเล็กสองรู
ตึง!
ทั้งสองศพล้มลงกับพื้น
ยังคงเหลือไว้ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ฉู่เซวียนมองไปยังทั้งสองศพบนพื้นและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ พลังของดัชนีวชิระค่อนข้างรุนแรง
ฐานพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้อ่อนแอ พลังสายฟ้าเองก็ไม่กระจายมากนัก จึงไม่ได้เผาทั้งร่าง เหลือทิ้งไว้เพียงรอยแผลไหม้เกรียม
หากพลังสายฟ้าไม่กระจายเลย พลังเจาะทะลวงจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและยากที่จะการต้านทานได้
แต่เมื่อเขามองไปยังทั้งสองศพบนพื้น ฉู่เซวียนก็รู้สึกหนักใจอีกครั้ง เขาจะจัดการกับศพยังไงละทีนี้?
ฉู่เซวียนไม่สามารถออกจากเรือนสี่ประสานได้ เมื่อเขาออกจากไป บันทึกจะถูกรีเซ็ตทันที
เขาไม่สามารถฝังศพไว้ในเรือนสี่ประสานได้ใช่ไหม?
หากมีศพสองศพถูกฝังอยู่ในเรือนสี่ประสานของตน ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็รู้สึกขยะแขยงอยู่ดี
“โฮสต์สังหารสาวกมารที่พยายามมารบกวนวิถีชีวิตของโฮสต์ โฮสต์ได้รับรางวัลคือบุปผากลืนวิญญาณ”