ข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 6 วิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลีและดาบสะบั้นวิญญาณ
ข้าอยู่บ้านร้อยปีก็เข้าสู่วิถีไร้เทียมทาน ตอนที่ 6 วิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลีและดาบสะบั้นวิญญาณ
ในวันที่สิบเอ็ด ความปรารถนาของฉู่เซวียนก็เป็นจริง
“โฮสต์ได้เก็บตัวอยู่บ้านสิบเอ็ดวัน ได้เข้าใจแก่นแท้ของการเก็บตัวอยู่บ้านก็คือการทำตัวค้อมต่ำ(低调) โฮสต์ได้รับรางวัลคือวิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลี”
วิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลีเป็นพลังลี้ลับประเภทหนึ่ง
ไม่ใช่เพียงแค่พลังลี้ลับที่ปกปิดกลิ่นอายและซ่อนฐานพลังยุทธ์ แต่ยังเป็นพลังลี้ลับที่สามารถนำมาใช้เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งแวดล้อมและทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้วิชายืนอยู่ข้างต้นไม้ เขาจะถูกมองว่าเป็นต้นไม้
หากผู้ใช้วิชายืนอยู่ข้างหิน ในการรับรู้ของผู้อื่นเขาจะกลายเป็นหินก้อน
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือหากผู้ใช้วิชายืนร่วมกับผู้อื่น เขาจะไม่ปรากฏในการรับรู้ของผู้อื่น เขาจะถูกมองว่าเป็นคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น หรือบางทีอาจเป็นคนที่แปลกหน้าที่ไร้ความสำคัญ
ปกปิดกลิ่นอายและซ่อนฐานพลังยุทธ์เป็นกลอุบายเล็ก ๆ เท่านั้น
ฉู่เซวียนรู้สึกประหลาดใจมาก วิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลีไม่ใช่เคล็ดวิชาจักรพรรดิอย่างแน่นอน
โดยไม่รีรอ ฉู่เซวียนเริ่มฝึกฝนวิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลีทันที
เนื่องจากระบบมอบความเข้าใจในวิชาให้ การฝึกจึงไม่ใช่เรื่องยากมากนัก
หลังจากใช้เวลาครึ่งวัน วิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลีก็บรรลุขั้นพื้นฐาน
หลังจากบรรลุขั้นพื้นฐาน วิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลีก็เริ่มหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ฐานพลังยุทธ์ที่เขาแสดงออกมาอยู่ในขอบเขตมนุษย์ขั้นรวมรวบปราณระดับต่ำ
ในเวลานี้ฉู่เซวียนนอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ ทว่าเมื่อมองจะเห็นได้แต่เก้าอี้จะเห็นเขาได้ก็ต่อเมื่อจิตสัมผัส หากมองด้วยตาเปล่าจะมองไม่เห็นเขา
นี่คือพลังของวิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลี
หลังจากฝึกฝนวิชาหนึ่งเดียวดั่งธุลี ฉู่เซวียนก็เก็บตัวอยู่บ้านได้สบายมากขึ้น ส่วนเรื่องที่ตระกูลฉู่สอบสวนสายลับนั้น เขาไม่ได้สนใจเลย
ทว่าจากปากของคนส่งอาหาร เขารู้ว่าตระกูลฉู่ได้จัดการประลองคัดเลือกข้ารับใช้ที่มีคุณสมบัติสูงเพื่อเข้ารับการฝึกพิเศษ
คนส่งอาหารโชคดีได้รับเลือก ฉู่เซวียนเห็นได้ว่าอีกฝ่ายนั้นตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
พี่ใหญ่สุดของเขา ฉู่ชิงได้รับหน้าที่รับผิดชอบจัดการประลองครั้งนี้
ฉู่เซวียนเข้าใจทันทีว่าตระกูลฉู่กำลังใช้การประลองครั้งนี้เพื่อกรองสายลับที่แฝงตัวอยู่ ตระกูลฉู่จะใช้สายลับที่จับตัวได้เพื่อกำจัดลัทธิมารที่แฝงตัวอยู่ในเมืองฉู่
ในเวลาเดียวกัน ฉู่เทียนหมิงก็ใช้โอกาสนี้ในการฝึกฉู่ชิงเช่นกัน
ฉู่เซวียนไม่สนใจว่าตระกูลฉู่จัดการกับลัทธิมารยังไง เขาไม่อยากสนใจเรื่องอะไร เขาแค่อยากเก็บตัวอยู่บ้านและค่อย ๆ สะสมความแข็งแกร่งเท่านั้น
ตราบใดที่เขาแข็งแกร่ง ลัทธิมารหรือแม้แต่จักรพรรดิมารมาโจมตี เขาก็ไม่กังวล
หากจักรพรรดิโมโหใส่เขา เขาก็จะตบจักรพรรดิให้ตายในทีเดียว
ทว่าสิ่งที่จำเป็นสำหรับที่ว่ามานี้ก็คือเขาต้องแข็งแกร่งเพียงพอ
ฉู่เซวียนจึงอ่านหนังสือและฝึกฝนไปในเวลาเดียวกัน เขาไม่เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว
ด้วยการกินโอสถห้วงลี้ลับและโอสถบำรุงวิญญาณหลายเม็ดทุกวัน
ในที่สุดเขาก็ทะลวงไปยังขอบเขตห้วงลี้ลับขั้นที่สอง หากข่าวความเร็วในการฝึกฝนพลังยุทธ์ของเขาแพร่กระจายออกไป ย่อมทำให้เหล่าอัจฉริยะตกตะลึงหัวใจวายตายอย่างแน่นอน!
ภายใต้การหล่อเลี้ยงของโอสถบำรุงวิญญาณ วิญญาณของฉู่เซวียนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ขอบเขตห้วงลี้ลับขั้นที่สอง เจตจำนงวิญญาณของเขาเทียบเท่ากับขอบเขตห้วงลี้ลับขั้นที่สี่ทั่วไป
ไม่นานมานี้ฉู่อวิ๋นมาเยี่ยมและหอบหนังสือหลายเล่มจากหอวิชามาให้แก่ฉู่เซวียน จากนั้นนางก็กลับไปยังจวนบรรพชนเพื่อปิดประตูฝึกฝนที่จะทะลวงไปยังขอบเขตห้วงลี้ลับ
ฉู่เซวียนมอบโอสถห้วงลี้ลับและโอสถบำรุงวิญญาณให้แก่นางเป็นรางวัลอย่างละสามเม็ด เนื่องจากเขาใช้ข้ออ้างว่าบิดาของเขาทิ้งเอาไว้ให้ ฉู่อวิ๋นจึงไม่ปฏิเสธ
ในช่วงเวลานี้ ระบบให้รางวัลแก่เขาด้วยโอสถห้วงลี้ลับและโอสถบำรุงวิญญาณอีกหนึ่งกล่อง ไม่มีวิชาใหม่หรือสมบัติที่ช่วยฝึกฝนเจตจำนงวิญญาณแก่เขาเลย
ทว่าก็ยังได้รางวัลดีๆ คือวิชาดาบ เคล็ดวิชาห้วงลี้ลับระดับสูง
รวมถึงพลังลี้ลับเล็ก ๆ
นอกจากรางวัลประจำวัน ฉู่เซวียนก็ไม่เคยได้รับรางวัลสุ่มเลย เขาไม่เข้าใจกฎการสุ่มรางวัลของระบบเลยสักนิด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง รางวัลสุ่มไม่มีกฎตายตัว
ฉู่อวิ๋นปิดประตูฝึกฝนอยู่สามวันก่อนทะลวงไปยังขอบเขตห้วงลี้ลับได้สำเร็จ ความเร็วของนางเหนือจินตนาการ ทว่าฉู่เซวียนรู้ว่านี่เป็นเพราะผลของโอสถห้วงสมุทารและโอสถบำรุงวิญญาณ
ส่วนคนตระกูลฉู่นั้นไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด ทุกคนจึงประหลาดใจในพรสวรรค์อันน่าทึ่งของฉู่อวิ๋น
ฉู่เทียนหมิงมีความสุขมากจนยิ้มไม่หยุด
หลังจากทะลวงไปยังขอบเขตห้วงลี้ลับ ฉู่อวิ๋นก็มาอำลาฉู่เซวียน นางต้องการออกจากตระกูลเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ในโลกภายนอก
สายเลือดหลักของตระกูลฉู่นั้นได้รับอนุญาตให้ออกจากตระกูลเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ในโลกภายนอกหลังจากทะลวงไปยังขอบเขตห้วงลี้ลับเท่านั้น ฉู่เซวียนอิจฉาเรื่องนี้มากเพราะไม่เคยออกจากตระกูลมาก่อน
ไม่ต้องกล่าวถึงแคว้นฉิน แม้แต่เมืองฉู่เขาก็ไม่เคยเห็นเขตส่วนอื่นที่ตระกูลฉู่ควบคุมอยู่เลย
ทว่าในเวลานี้เขาต้องเก็บตัวอยู่บ้านและค่อย ๆ สะสมความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะอิจฉาแค่ไหนเขาก็ออกไปไหนไม่ได้ แม้แต่จะก้าวขาออกจากเรือนสี่ประสานไม่ได้ด้วยซ้ำ
หลังจากฉู่อวิ๋นจากไป ก็ไม่มีใครมาหาฉู่เซวียนอีก
หากฉู่เซวียนอยากเก็บตัวอยู่บ้านอย่างสบายใจ เขาต้องปรับสภาพจิตใจของตนเองให้มั่นคง สำหรับการปิดประตูฝึกฝนนั้นไม่มีอยู่ในความคิดของเขาเลย
ฐานพลังยุทธ์ของฉู่เซวียนเพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดประตูฝึกฝน เป็นไปได้ว่านี่คือสิ่งที่ระบบจงใจทำ
หากเขาปิดประตูฝึกฝนหลายเดือนหรือหลายปีแต่ละครั้ง การเก็บตัวอยู่บ้านคงไร้ความหมาย
ก่อนฉู่อวิ๋นจากไป เดิมทีนางต้องการอ้อนวอนฉู่เทียนหมิงเพื่ออนุญาตให้ฉู่เซวียนกลับจวนบรรพชน
ทว่าฉู่เซวียนตอบปฏิเสธ เขาบอกว่าท่านปู่เพิ่งจะโกรธเขา จึงยากที่จะกลับไปยังจวนบรรพชน หากนางจากไปแล้วท่านปู่ลงโทษเขาอีกครั้ง ใครจะช่วยอ้อนวอนให้แก่เขา
เมื่อได้ยินคำกล่าวของฉู่เซวียน ฉู่อวิ๋นก็ล้มเลิกความคิดที่จะอ้อนวอนชั่วคราว ทว่านางสัญญาว่าเมื่อตนเองกลับมาจากการหาประสบการณ์ นางจะไปอ้อนวอนให้อย่างแน่นอน
แถมนางสนับสนุนให้ฉู่เซวียนทะลวงไปยังขอบเขตห้วงลี้ลับโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ต้องอยู่ในเขตตระกูลและถูกตระกูลจำกัด
ภายใต้คำขอของฉู่เซวียน ฉู่อวิ๋นได้หอบหนังสือที่คัดลอกมาด้วยมากมาย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็เป็นวันที่ยี่สิบที่ฉู่เซวียนอยู่เรือนสี่ประสาน
ผ่านมาถึงวันที่ยี่สิบ ฉู่เซวียนนั้นตั้งหน้าตั้งตารอคอยรางวัลที่เขาจะได้รับในวันที่ยี่สิบ
ตอนนี้เขาอยู่ในขอบเขตห้วงลี้ลับขั้นที่หกแล้วก็เหลือโอสถห้วงลี้ลับและโอสถบำรุงวิญญาณอยู่อีกสองกล่องเต็ม นอกจากรางวัลประจำวันของระบบ อีกหนึ่งกล่องมาจากรางวัลสุ่ม
การประลองข้ารับใช้ของตระกูลฉู่สิ้นสุดลง ข้ารับใช้ที่รับผิดชอบในการส่งอาหารและทำความสะอาดของเขาได้ถูกเปลี่ยนใหม่
ฉู่เซวียนไม่รู้ว่ามีสายลับลัทธิมารถูกจับตัวได้กี่คนที่ในแผนการนี้
ทว่าตระกูลฉู่กำลังดำเนินการกวาดล้างลัทธิมารที่แฝงตัวอยู่ในเมืองฉู่
ผู้รับผิดชอบในการกวาดล้างลัทธิมารคือฉู่ชิง
เมื่อวันก่อน ฉู่ชิงได้มายังเรือนสี่ประสานและถามฉู่เซวียนว่าต้องการออกไปกับเขาเพื่อหาประสบการณ์และเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นหรือไม่ เขาจะอ้อนวอนท่านปู่ให้เอง
ฉู่เซวียนปฏิเสธ
นี่มันเรื่องตลกอะไรกันเนี่ย? เขาอยู่ในขอบเขตห้วงลี้ลับเท่านั้น หากเขาออกไปในเวลานี้ บันทึกที่สร้างขึ้นมานานจะถูกลบล้างเอาสิ
ขอบเขตห้วงลี้ลับไม่รับประกันความปลอดภัยในโลกภายนอก แม้ว่าจะมียอดฝีมือจากตระกูลฉู่คอยปกป้องเขาในเงามืด แต่หากมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นล่ะ? เขาไม่ตายเอาหรือ?
จึงปลอดภัยกว่าที่จะอยู่ในเขตตระกูลและสะสมความแข็งแกร่งเรื่อย ๆ
เมื่อฉู่เทียนหมิงพบว่าฉู่เซวียนไม่เต็มใจออกไป และกังวลว่าตนเองจะเผชิญกับอันตรายในโลกภายนอก นิสัยขี้ขลาดของฉู่เซวียนทำให้เขาอารมณ์เสียอีกครั้ง
ทำไมท่านลุงสามที่มากพรสวรรค์ถึงให้กำเนิดคนขี้ขลาดได้?
ล้วนเป็นความผิดของมารดาของฉู่เซวียน!
ฉู่เทียนหมิงโกรธมากจนกล่าวว่า “ปล่อยให้เจ้าขยะนั่นอยู่ที่นั่นแหละ เมื่ออยู่ไกลใจก็อยู่ห่าง!”
ในทางกลับกัน ฉู่เซวียนมีความสุขที่ได้อยู่คนเดียว
ในวันที่ยี่สิบ รางวัลของระบบได้มาถึง
“โฮสต์ได้เก็บตัวอยู่บ้านยี่สิบวัน รางวัลคืออาวุธสมบัติระดับสูง ดาบสะบั้นวิญญาณ!”
อาวุธสมบัติระดับสูง!
ฉู่เซวียนรู้สึกประหลาดใจมาก ควรรู้ว่าอาวุธหลักของตระกูลฉู่เป็นเพียงอาวุธสมบัติระดับกลางเท่านั้น
อาวุธที่ผู้ฝึกยุทธ์ใช้ถูกแบ่งออกเป็น อาวุธมนุษย์ อาวุธวิญญาณ อาวุธสมบัติ และอาวุธจักรพรรดิ พวกมันยังแบ่งออกเป็นสามระดับ : ระดับต่ำ ระดับกลาง และระดับสูง
ตามชื่อที่บอกเป็นนัย อาวุธมนุษย์เป็นเพียงอาวุธที่มนุษย์ใช้กัน ไม่ว่าจะแหลมคมแค่ไหน ไม่ว่าจะอานุภาพรุนแรงแค่ไหน ก็มีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตมนุษย์ใช้กันเท่านั้น
ไม่ว่าอาวุธมนุษย์จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถต้านทานพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์เหนือขอบเขตห้วงลี้ลับได้ ไม่สามารถเทียบกับความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้วงลี้ลับได้
อาวุธวิญญาณต้องใช้วัสดุพิเศษและทักษะหลอมสร้างพิเศษ
อาวุธวิญญาณไม่เพียงสามารถรองรับพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์เหนือขอบเขตห้วงลี้ลับ แต่ยังสามารถเสริมพลังโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ได้อีกด้วย
อาวุธระดับยิ่งสูง พลังก็ยิ่งสูงตาม ในทำนองเดียวกัน อาวุธระดับสูงก็ต้องใช้ฐานพลังยุทธ์ระดับสูงเพื่อให้สามารถสำแดงพลังที่แท้จริงของมันได้