ตอนที่ 8-1 สายฟ้าฟาด
พื้นที่กลางเทือกเขาอสูรวิเศษยากจะได้เห็นมนุษย์เดินผ่าน ที่นี่อาจมีอสูรเวทระดับเจ็ดถึงระดับเก้าปรากฏตัวออกมาได้ทุกเมื่อส่วนใหญ่มีแต่เพียงนักรบระดับเก้าที่กล้ารุกล้ำผ่านเข้ามาที่นี่ แต่ลินลี่ย์เมื่อมาถึงพื้นที่ตอนกลางก็เริ่มเดินทางขึ้นเหนือตามเส้นแนวกลางของเทือกเขาอสูรวิเศษการเดินทางที่น่าทึ่งแบบนั้นเป็นการกระทำที่นักสู้ระดับเก้าส่วนใหญ่ไม่บ้าระห่ำพอที่จะเสี่ยง
ลินลี่ย์สวมแต่กางเกงปอเนื้อหยาบรุ่งริ่งเท่านั้นกายท่อนบนเปลือยและเขาเดินเท้าเปล่า ที่หลังของเขาสะพายดาบหนักอดาแมนเทียม เขาเดินทีละก้าวต่อเนื่องบนเส้นทางที่น้อยคนนักจะกล้าเดิน
ขณะที่บีบียืนอยู่บนไหล่ของลินลี่ย์ตลอดเวลาคอยมองดูพื้นที่ใกล้ๆ
“แกรก แกรก”
ลินลี่ย์เดินผ่านชั้นใบไม้แห้งหนา ใบหน้าของเขาสงบ กระเป๋าสะพายหลังของเขา, กระบี่เลือดม่วง, สิ่วสกัดตรงและเสื้อผ้าอื่นทั้งหมดเก็บไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติ ภายในแหวนมิติเก็บสมบัติของเคลย์นอกจากมีโชคลาภมหาศาลจากบัตรเครดิตเวทมูลค่าสองพันสองร้อยล้านเหรียญทองแล้วยังมีสมบัติมีค่าอีกนับสิบๆ ชิ้น อย่างน้อยก็มีมูลค่าหลายล้านเหรียญทอง ความมั่งคั่งที่สั่งสมมาโดยราชวงศ์เฟนไลเกินกว่าร้อยปีย่อมมีมากมายมหาศาลอย่างแน่นอน
แต่สำหรับลินลี่ย์?
ความมั่งคั่งเป็นเพียงสมบัติโลกๆเท่านั้น สิ่งที่เขารู้สึกว่ามีค่าอย่างแท้จริงก็คือพลังของเขา หอการค้าดอว์สันก็พร้อมจะจ่ายเงินร้อยล้านเหรียญทองให้เขาโดยตรงเพื่อให้เขาเข้าร่วมกับพวกเขาไม่ใช่หรือ?และนี่มาจากพื้นฐานความเป็นไปได้ที่ลินลี่ย์อาจก้าวหน้าไปถึงระดับเซียน สามารถเชิญนักสู้ระดับเซียนเข้าร่วมได้ราคาจะแพงมหาศาลเหลือเชื่อยิ่งขึ้น
จากตรงนี้เอง ใครๆก็สามารถบอกได้ว่าความแข็งแกร่งส่วนบุคคลนั้นสำคัญมากขนาดไหน
….
แม้ว่าลินลี่ย์จะอยู่ในใจกลางพื้นที่ แต่ลินลี่ย์ค่อนจะหลีกเลี่ยงพื้นที่ซึ่งเขาไม่สามารถตรวจสอบอสูรเวทหลายสิบกิโลเมตรโดยรอบได้ เพราะพื้นที่ใหญ่ขนาดนั้นใจกลางพื้นที่ของเทือกเขาอสูรวิเศษ มีแนวโน้มว่าพวกอสูรเวทหลีกเลี่ยงอาจหมายถึงเขตแดนของอสูรเวทระดับเซียน แม้ว่าลินลี่ย์จะมีความมั่นใจในตนเอง แต่เขาไม่ต้องการยั่วโทสะอสูรเวทระดับเซียน
เขาเดินลัดผ่านดงไม้หนาม ลินลี่ย์ไม่ได้เดินทางด้วยความเร็วสูงจนเกินไป
“ทุกอย่างจำเป็นต้องเริ่มจากพื้นฐาน” ลินลี่ย์เน้นที่การปฏิบัติเป็นหลักทุกวันเขาแบกดาบหนักอดาแมนเทียนไว้บนหลัง แล้วฟัน ตัด แทง เหวี่ยงบนลินลี่ย์ฝึกฝนทุกท่วงท่าที่เป็นไปได้พยายามอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อยกระดับพลังโจมตีของเขา
ลินลี่ย์ไม่ได้ฝึกใช้แต่เพียงวิธีเดียว
เขามักจะไตร่ตรองถึงการฝึกขั้นต่อไป โดยใช้ข้อมูลที่ขาดหายเกี่ยวกับวิธีการฝึกฝนของบรรพบุรุษในบันทึกของตระกูลเขา เขาพยายามสร้างแนวการฝึกฝนที่ถูกต้องสำหรับตัวเขาเอง
วิธีฝึกฝนที่ถูกต้องก็คือไม่มุ่งหวังสูงเกินไปและห่างไกลเกินไป
ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นฤดูร้อนที่รุนแรง ฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บ ฤดูหนาวที่เยือกแข็ง ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม ลินลี่ย์ยังคงสวมเพียงกางเกงขาดรุ่งริ่งซึ่งเป็นริ้วรอยขาดนับไม่ถ้วนเนื่องจากร่างแปลงมังกรของเขา ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า
ลินลี่ย์ได้ค้นพบบางอย่าง...
เมื่อเขาเท้าเปล่า เขาสามารถรู้สึกถึงชีพจรแผ่นดินได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อยืนอยู่กับพื้นหัวใจของเขามั่นคงราวกับเป็นแผ่นดินกว้างใหญ่เอง การใช้ดาบหนักอดาแมนเทียมของลินลี่ย์เริ่มหลอมรวมน้ำหนักเป็นอันเดียวกับโลก
ร่างท่อนบนของเขาเปล่าเปลือย
ความรู้สึกเคลื่อนไหวของอากาศที่ผ่านร่างเขาไป ลินลี่ย์รู้สึกเหมือนว่าทั้งตัวเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของลม ลมโดยธรรมชาติเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นไร้รูปลักษณ์ เมื่อใช้เทพกระบี่เลือดม่วงลินลี่ย์รู้สึกว่าเขากวัดแกว่งได้คล่องแคล่วว่องไวมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ในตอนนี้ลินลี่ย์จึงแผ่กลิ่นอายที่ทั้งมั่นคงไม่หวั่นไหวและแผ่วพลิ้วดุจสายลมกลิ่นอายทั้งสองอย่างน่าจะตรงกันข้ามกัน แต่เป็นเรื่องแปลกเมื่อสิ่งที่เปล่งออกมาจากตัวลินลี่ย์นั้นดูเป็นธรรมชาติมาก
…..
เขาเน้นการฝึกดาบหนักเป็นหลักรองลงมาก็เป็นกระบี่ยืดหยุ่นและเจียดเวลาบางส่วนใช้สำหรับการแกะสลัก ตอนกลางคืนลินลี่ย์จะเข้าสู่ภวังค์สมาธิ ชีวิตส่วนใหญ่ของลินลี่ย์จะเข้มงวดกับการฝึกฝนมาก
บางครั้งเมื่อเขาเห็นน้ำตกขนาดใหญ่มีกระแสน้ำรุนแรงกระแทกกระทั้นจากยอดเขาอสูรเวทลินลี่ย์จะตื่นเต้นและกระโจนเข้าน้ำตกฝึกฝนอยู่ภายใต้น้ำ
เมื่อเห็นสายน้ำที่ยาวบริสุทธิ์ลินลี่ย์มักจะล่องไปตามสายน้ำนั้น
เมื่อเขาเห็นโขดหินบนยอดเขาสูง ถ้าลินลี่ย์รู้สึกมีแรงบันดาลใจเขาจะปีนขึ้นไปบนยอดเขาและแกะสลักรูปสลัก บางทีรูปสลักรูปหนึ่งก็ใช้เวลาหลายคืน
…..
เขาทำทุกอย่างที่ต้องการ
จิตและวิญญาณของลินลี่ย์เป็นธรรมชาติมากขึ้นและสบายขึ้นกว่าที่มีมาก่อน การฝึกฝนภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ ทำให้ลินลี่ย์ลืมเวลาที่ผ่านมา เขาเพียงแต่รู้ว่าพลังของเขาก้าวหน้าในแต่ละวัน ทุกๆ ความก้าวหน้าทำให้เขามีความสุขและตื่นเต้น
เส้นทางการฝึกฝนยังคดเคี้ยวและยาวไกล
นี่คือถนนเดินทางที่ยากลำบาก แต่ในเส้นทางนี้มีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกปลื้มและตื่นเต้น
……
ลินลี่ย์เริ่มมีเครางอกและผมที่สั้นแต่เดิมก็เริ่มงอกยาวเช่นกัน ดวงตาที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและเย่อหยิ่งกลายเป็นสงบและเยือกเย็น เนื่องจากอิทธิพลจากการสัมผัสธรรมชาติมาเป็นเวลานาน
มีเพียงบางครั้งขณะฝึกฝนจะทำให้ประกายตาของเขาคมกล้าน่ากลัว
อารมณ์ของลินลี่ย์ก็เช่นกันถูกธรรมชาติหล่อหลอมกล่อมเกลาจนมั่นคงยิ่งขึ้น ไม่มีเดลิน โคเวิร์ทคอยแนะนำ ลินลี่ย์จึงไม่มีผู้ที่จะพึ่งพาอาศัยเขายังคงพัฒนาฝีมือและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
…….
“ครืนนน”
เสียงน้ำดังกึกก้องจากน้ำตกสูงร้อยเมตรไหลลงกระแทกแอ่งน้ำเบื้องล่างละอองน้ำกระจายไปทุกที่ ด้านข้างน้ำตก มีหินมหึมาก้อนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนพื้น
มีคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหิน ดาบหนักใหญ่สีดำวางพาดบนตักของเขา
เป็นเวลาเช้าตรู่ ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสาง ภายในเทือกเขาอสูรวิเศษ หนึ่งในหลายอย่างที่ลินลี่ย์ทำอย่างมีความสุขก็คือเพลิดเพลินกับอากาศสดใสยามเช้า
“อา...” ลินลี่ย์ลืมตา
เขาชำเลืองมองด้านหลังของเขาและเห็นบีบีขดตัวอยู่ถัดจากเขา กรงเล็บทั้งสองของบีบีตรึงเข้าไปในหินเองดังนั้นแน่ใจได้ว่าไม่มีทางที่มันจะกลิ้งตกลงไป
“บีบี, ได้เวลาเคลื่อนไหวกันแล้ว” ลินลี่ย์พูดพลางหัวเราะ
บีบีลืมตาอย่างเกียจคร้านเหลียวมองรอบตัวตัวเอง จากนั้นมันสลัดหัวขับไล่ความง่วงที่ยังเหลือออกไปและยืนขึ้น “เจ้านาย, ข้าหิวแล้ว”
“ไปกันเถอะ เราจะกินกันทีหลัง” ลินลี่ย์กระโจนจากหิน การเคลื่อนไหวสง่างามราวกับลมพัด ด้วยการกระโดดนั้นลินลี่ย์ไปได้หลายสิบเมตรแล้วลงที่ฝั่งตรงข้ามของสระ ขณะโดดลงจากโขดหินบีบีกลายสภาพเป็นริ้วเงาดำและลงมาหยุดอยู่ที่ข้างเท้าลินลี่ย์
หนึ่งมนุษย์หนึ่งอสูรเริ่มต้นการเดินทางของพวกเขาอีกครั้ง
แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปได้ไกล ลินลี่ย์ชะงักฝีเท้าทันที บีบีมองดูลินลี่ย์ด้วยความสงสัย
“มีอสูรเวทอยู่แถวๆ นี้ตัวหนึ่ง” ลินลี่ย์พูดทางใจ
บีบีจ้อง ตอนนี้บีบีนับได้ว่าเป็นอสูรเวทสายธาตุดินระดับเก้า กล่าวโดยทั่วไปคือมีอสูรน้อยตัวมากที่ลอบเข้ามาใกล้โดยที่มันไม่รู้สึก แต่ครั้งนี้มันไม่รู้สึกถึงอะไร
ขณะที่เท้ากดภาคพื้นดินและเขายังมีความสามารถรู้สึกได้ถึงสายลม เป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนไหวอยู่ไกล้ๆโดยไม่ดึงดูดความสนใจของลินลี่ย์
“ความเคลื่อนไหวของอสูรเวทตัวนี้เบาและสง่างาม ข้าไม่สามารถรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของมันจากบนพื้นได้เลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมันเคลื่อนไหวมันทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในสายลม” ลินลี่ย์พูดทางใจ
บีบีพยักหน้า
…..
เสือดำลายทองหมอบนิ่งอยู่บนต้นไม้ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย สัตว์จำพวกเสือดำถือได้ว่าเป็นอสูรเวทสายธาตุดินที่มีความเร็วที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเร็วในการเคลื่อนไหวของเสือดำสายฟ้าระดับเซียนทำให้มันเป็นอสูรเวทระดับเซียนที่น่าหวาดหวั่นและยากจะรับมือ
เสือดำลายทองเป็นอสูรเวทระดับเจ็ด แต่เนื่องจากอสูรเวทประเภทเสือดำโดยปกติจะมีความเร็วสูงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี การระเบิดพลังของมันถ้าเป็นความเร็วในการกระโจนระยะสั้นก็ยังสามารถข่มอสูรเวทระดับแปดได้
เสือดำลายทองกดเท้าทั้งสี่ของมันอย่างชำนาญทันที
“ควั่บ!”
มันกระโจนไปยอดไม้อีกต้น พวกเสือดำจะเชี่ยวชาญในการวิ่งและกระโจนอยู่บนยอดไม้และมันขึ้นชื่อในเรื่องนี้เช่นกัน จากภายในใบไม้ที่หนาแน่น เสือดำลายทองเห็นร่างมนุษย์จากระยะไกลแล้ว
เสือดำลายทองหมอบรออยู่เงียบๆ รอให้มนุษย์เข้ามาใกล้ๆ
แน่นอนว่ามนุษย์และหนูเงาสีดำกำลังเข้ามาใกล้ทุกขณะ
“หนูเงาดำน่ะหรือ? ไม่มีอะไรคุกคามเลย” อสูรเวทระดับเจ็ดมีสติปัญญาสูงผู้ที่เสือดำลายทองจดจ่อเป็นหลักก็คือมนุษย์คนนั้น กลิ่นอายของมนุษย์ที่ปล่อยออกมาทำให้เสือดำลายทองเพิ่มระดับความระมัดระวังขึ้น แต่เสือดำลายทองรู้สึกว่ามนุษย์ผู้นี้ไม่น่าจะมีพลังมากนัก
แน่นอนว่าในรูปแบบปกติลินลี่ย์จะเป็นเพียงนักรบระดับเจ็ดขั้นต้น
กล่าวโดยทั่วไปเมื่ออสูรเวทระดับเจ็ดสู้กับมนุษย์ระดับเจ็ดอสูรเวทระดับเจ็ดจะมีความได้เปรียบ
“ควั่บ” มันกระโจนออกจากต้นไม้ เสือดำลายทองเปลี่ยนสภาพเป็นสีทองเลือนลางกระโจนใส่ลินลี่ย์อย่างสง่างาม
ดูเหมือนว่ามนุษย์ยังไม่ทันได้เตรียมพร้อม ทันใดนั้น...
ดาบหนักอดาแมนเทียมถูกชักออกมาจากด้านหลังของเขารวดเร็วราวสายฟ้าขณะที่เขาถอย! ขณะเดียวกันเขาใช้ดาบยักษ์ฟันใส่เสือดำลายทองด้วยพลังมหาศาล
มันกระโจนมาครึ่งทางแล้วไม่มีทางที่เสือดำลายทองจะเปลี่ยนวิถีได้ สิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้ก็คือทำอย่างดีที่สุดเพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
“บึ้ม”
ประกายแสงเหมือนกับสายฟ้าฟาดปรากฏเมื่อดาบหนักอดาแมนเทียนหวดใส่ร่างของเสือดำลายทองอย่างรุนแรงและมีรอยผ่าลึกปรากฏ เสียงกระดูกแตกหักได้ยินชัด
พร้อมกับเสียงดังบึ้มร่างของเสือดำลายทองกระแทกกับพื้น มันนอนบิดตัวอยู่กับที่ เลือดไหลออกจากปากของมัน แต่ภายในสิบวินาทีเสือดำลายทองก็ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป
ลินลี่ย์เสียบดาบหนักอดาแมนเทียมเข้าฝักอย่างสง่างาม
“บีบี,อาหารเช้าวันนี้ของเราจะเป็นเนื้อเสือดำนะ” ลินลี่ย์พูดตามปกติ
สำหรับลินลี่ย์และบีบีนี่เป็นแค่เหตุการณ์ธรรมดา ภายในเทือกเขาอสูรวิเศษพวกเขาฆ่าอสูรเวทหลายตัวทุกวี่วัน
ถ้ายอดฝีมือเชิงดาบปรากฏตัว พวกเขาสามารถบอกได้ชัดเลยว่าลินลี่ย์แม้จะเป็นนักรบระดับเจ็ดขั้นต้นแต่สามารถกวัดแกว่งดาบหนัก3600 ปอนด์นี้ได้เหมือนนักรบระดับสูง ไม่เพียงแต่น้ำหนักดาบหนักไม่เป็นอุปสรรคต่อลินลี่ย์เท่านั้น ลินลี่ย์ยังสามารถใช้น้ำหนักของมันเพิ่มความเร็วในการฟันของดาบหนักได้มากขึ้น
ความจริงเมื่อเขาใช้ดาบฟันอสูรเวทระดับเจ็ดจนตายด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวพลังนี่นับว่าน่าทึ่งแล้ว
ลินลี่ย์และบีบีเริ่มย่างเนื้อเสือดำในกลางเทือกเขาอสูรวิเศษ
“เจ้านาย,พลังโจมตีที่ทรงพลังมากที่สุดที่ท่านสามารถใช้ดาบหนักนี้โจมตีมีมากมายขนาดไหนกันแน่? สองสามวันมานี้ท่านบอกว่า ท่านมีความก้าวหน้า”บีบีถาม
พวกเขาอยู่ในเทือกเขาอสูรวิเศษมาเกินกว่าหนึ่งปีแล้วตอนนี้ ระหว่างหนึ่งปีมานี้ใจของลินลี่ย์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและเขาหมกมุ่นตัวเองกับการฝึกฝนของเขา ครึ่งปีมานี้การฝึกฝนของเขามีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
“การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของข้าน่ะหรือ? ยากจะบอกได้ เมื่อกล่าวในแง่ทั่วไป ข้าน่าจะสู้กับอสูรเวทระดับแปดในร่างมนุษย์ได้” ลินลี่ย์พูดอย่างมั่นใจ
นี่ไม่ใช่ความลำพอง แต่นี่คือความมั่นใจในพลังของตัวเขาเอง
“เนื้อเสือดำกลิ่นหอมมาก” บีบีสูดอากาศพร้อมกับเชิดจมูกของมัน
“หืม?” ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว จากนั้นหัวเราะทันที “บีบี เมื่อตอนที่เราย่างเนื้อ มักจะดึงดูดความสนใจจากอสูรเวทอื่น เพียงแต่ตอนนี้อสูรเวทตัวนี้ดูเหมือนจะงุ่มง่ามและซุ่มซ่าม”
หลังจากรอสักครู่ลินลี่ย์และบีบีก็เห็นอสูรเวทปรากฏตัวในที่สุด
มังกรลมกรดตัวหนึ่ง
“มังกรลมกรด?” ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะ ตอนนี้ลินลี่ย์เริ่มคุ้นเคยดีกับมังกรลมกรด แม้จะเป็นอสูรเวทระดับเจ็ดแต่พวกมันก็มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าทั้งสองจะอยู่ในระดับเจ็ด แต่พลังป้องกันของมังกรลมกรดก็ยังน่ากลัวมากกว่าเสือดำลายทองมาก แต่ในทางกลับกันเสือดำลายทองจะว่องไวกว่ามังกรลมกรดมาก
“เจ้านาย เจ้านายบอกว่าพลังการโจมตีของท่านสูงจริงๆ ใช่ไหม ท่านคิดว่าสามารถฟันมังกรลมกรดให้ตายในดาบเดียวได้หรือไม่?” บีบีพูดทันที
เกล็ดของมังกรลมกรดหนาเกือบครึ่งเมตรและกระดูกกะโหลกของมันก็แข็งและหนามาก แม้ว่ามังกรลมกรดจะค่อนข้างช้า แต่พลังป้องกันของมันสามารถสู้กับอสูรเวทระดับแปดธรรมดาได้
“ฟันในดาบเดียวน่ะหรือ? ข้ายังไม่ได้ทดสอบดูเลย ให้ข้าลองดูก่อน”
ลินลี่ย์ชักดาบหนักอดาแมนเทียมออกจากฝักบนหลักของเขา จากนั้นเริ่มเดินทีละก้าวเข้าหามังกรลมกรด
มังกรลมกรดสูงเท่าอาคารสูงสองชั้นและยาวเกือบยี่สิบเมตร เทียบกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่นี้ลินลี่ย์ไม่มีอะไรมากไปกว่าจุดเล็กๆ
“โกรววววว”มังกรลมกรดคำรามใส่ลินลี่ย์ด้วยความโกรธ
แต่ลินลี่ย์ควงดาบหนักอดาแมนเทียมในมือขณะยังเดินเข้าหามังกรลมกรดต่อเนื่องด้วยเท้าเปล่าทีละก้าว
ทันใดนั้น...
ความเคลื่อนไหวของลินลี่ย์เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดขณะที่เขาพุ่งเข้าหามังกรลมกรด มังกรลมกรดคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวหวดหางแส้มังกรใส่ลินลี่ย์ หางของมังกรลมกรดเป็นอาวุธที่ว่องไวมาก
“แคล้ง”ดาบหนักอดาแมนเทียมของลินลี่ย์ถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วสูงและป้องกันหางมังกรไว้ได้
แม้ว่าพลังหวดฟาดของหางมังกรลมกรดจะรุนแรงลินลี่ย์กระโจนขึ้นจากพื้นและยืมพลังจากหางมังกรของมันลอยตัวขึ้นเหนือมังกรลมกรด
“อื๋อ, นี่มนุษย์หรือนี่?” มังกรลมกรดประหลาดใจที่พบว่ามนุษย์ที่อยู่ต่อหน้ามันควงดาบหนักอดาแมนเทียมได้อย่างเป็นธรรมชาติและง่ายดายราวกับต้นหญ้าลู่ลมและตอนนี้มนุษย์ผู้นั้นกำลังใช้ดาบนั้นฟันลงมาที่ศีรษะของมัน
มังกรลมกรดมั่นใจมาก กะโหลกของมันเป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายของมัน
แน่นอน....
เมื่อดาบหนักสีดำที่คล่องแคล่วสัมผัสที่กะโหลกของมันมันแสดงท่าทางไม่รู้สึกถึงอันตรายเลยแม้แต่น้อย แต่ในทันใดนั้นเองเพียงขณะที่ดาบสัมผัสกะโหลกพลังที่รุนแรงเหลือเชื่อระเบิดออกมาจากดาบเหมือนกระแสน้ำทะลักผ่านเขื่อนพลังที่น่าทึ่งทะลักออกมาอย่างรวดเร็วทันที มันได้ยินแต่เสียง “แครก” จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบ
บีบีมองดูฉากภาพนี้อย่างประหลาดใจ
ลินลี่ย์เพียงแต่ฟาดใส่กะโหลกซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุดของมังกรลมกรด ด้วยการใช้ดาบฟันเพียงครั้งเดียวและจากนั้นหัวของมังกรลมกรดก็แยกออกเหมือนเปลือกไข่แตกสมองและเลือดของมันฉีดพุ่งออกมา ร่างมหึมาและทรงพลังของมังกรลมกรดล้มครืนกับพื้นขณะที่ลินลี่ย์ลงมายืนกับพื้นอย่างสง่างามเช่นกัน
“เจ้านาย! ว้าว!ท่านทรงพลังขนาดนั้นเชียวหรือนั่น?” บีบีวิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น
ลินลี่ย์หัวเราะ “ผ่านไปปีกว่าแล้วนะ ข้าสามารถผสานพลังของตนเองกับพลังปราณเลือดมังกรของข้าเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้จากการเชื่อมโยงกับพลังธาตุดินข้าสามารถก้าวหน้าไปถึงระดับใช้พลังภายนอกผสานเข้ากับพลังภายในได้ ข้าจึงเข้าถึงระดับเดียวกับที่บรรพบุรุษตระกูลบาลุคได้อธิบายไว้ว่า‘กวัดแกว่งวัตถุหนักเหมือนกับเป็นของเบา’ตอนนี้ข้าได้ก้าวหน้าจนถึงระดับ ‘สายฟ้าฟาด’ แล้ว”