ตอนที่ 9 : คำตัดสิน
หลี่เผิงครุ่นคิดแต่ก็มิอาจตัดสินได้ว่าฝ่ายใดที่เป็นฝ่ายผิด เขากระต่ายในมือเด็กชายหมายความว่าเด็กชายไม่ได้โกหกเรื่องที่จะมาขายของในเมือง แต่เขากระต่ายก็มิได้มีราคามากนักที่จะนำมาขายอย่างเดียว ส่วนประเด็นของหยวนตู้ เขาเป็นฝ่ายผิดที่พูดว่าเด็กหนุ่มไม่มีอะไรมาขาย แต่ดูจากมูลค่าของเขากระต่าย เด็กหนุ่มอาจจะมาด้วยความคิดร้ายอย่างที่หยวนตู้บอกก็ได้
ทางเดียวที่เขาจะตัดสินความถูกต้องได้ก็คือต้องหาพยานมายืนยันสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง แต่เมื่อมองดูเหล่าคนงานแล้วพวกเขาคงจะเข้าข้างหยวนตู้กันหมด หลี่เผิงมองรอบ ๆ และเห็นว่าคนกลุ่มเดียวที่น่าจะเป็นพยานได้ก็คือพวกทหารรับจ้าง
เขารู้ว่าทหารรับจ้างเหล่านี้มาจากเมืองโจวหัว เจ้าเมืองได้จ้างทหารรับจ้างสามกลุ่มในเดือนที่แล้วมาเพื่อทำงานลับที่เขาเองก็ไม่รู้ นี่อาจจะเป็นทหารรับจ้างกลุ่มแรกที่กลับมาหลังจากเสร็จงานก็ได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลี่เผิงพูด
“ทหาร เรียกทหารรับจ้างมา พวกเขาจะเป็นพยานว่าใครเป็นฝ่ายถูก”
หยวนตู้ไม่สบายใจเมื่อหลี่เผิงตัดสินแบบนี้
‘ถ้าทหารรับจ้างเห็นทุกอย่างจริงแล้วพูดความจริงออกไป ข้าจะต้องแย่แน่ ไม่นะ! ข้าจะโดนลงโทษไม่ได้! คนงานทุกคนรู้ว่าหลี่เผิงคนยุติธรรม ถ้าเขารู้ว่าข้าจงใจใส่ร้ายหลินมู่ว่าเป็นโจร…มันคงไม่จบแค่โดนเฆี่ยนแน่’
แม้ว่าหลี่เผิงจะลงโทษและริบบ้านริบทรัพย์หลินมู่และโยนเขาออกนอกเมือง หลินมู่ก็ถือว่ามิได้ถูกเนรเทศออกจากเมือง แต่มันเป็นวิธีการของหลี่เผิงที่ไม่ให้คนงานคนอื่นไประบายความแค้นที่เสียค่าจ้างจากหลินมู่ต่างหาก
หลี่เผิงคิดว่าเด็กหนุ่มจะอยู่ห่างไกลจากเมืองนานพอที่ความโกรธของเหล่าคนงานจะหายไปหรือไม่ก็ย้ายไปที่เมืองตะวันออก เมืองตะวันออกห่างจากเมืองเหนือ 8 ชั่วโมงเดิน เด็กหนุ่มไปหางานได้ไม่ยากในนาข้าวเพราะคนงานในเมืองเหนือคงจะหลบเลี่ยงจากเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็กลับมาในเวลาแค่ 3 วันและยังถูกคนงานเจอตัวด้วย ถ้าหากคนงานไม่เจอเขาก็คงจะไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เขามีปัญหาที่ต้องแก้และต้องรีบแก้ให้ได้เพราะเวลาเก็บเกี่ยวที่เหลือนั้นมีจำกัด
หลินมู่โล่งใจเล็กน้อยที่วิธีเขาได้ผล และหลี่เผิงก็ไม่ได้ประกาศว่าเขาผิดเสียด้วย เขายังไม่แน่ใจว่าทหารรับจ้างจะช่วยเขาหรือไม่ เขาสังเกตดูทหารรับจ้างและบอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ใช่พวกชอบเข้าสังคมนัก เขาเห็นทหารรับจ้างสามคนถูกทหารพาตัวมา หนึ่งในนั้นเป็นทหารรับจ้างที่หลินมู่เคยคุยด้วย
ทหารรับจ้างทั้งสามดูรำคาญจากการที่ถูกทหารเรียกมา พวกเขาจะปฏิเสธไปตรง ๆ ก็ได้ถ้าหากพวกเขาไม่จำเป็นต้องผ่านเข้าเมือง และผู้ว่าจ้างยังเป็นเจ้าเมืองที่จ่ายหนักอีก พวกเขาจำเป็นต้องให้ความร่วมมือกับทหาร
ทหารรับจ้างทั้งสามคนที่ถูกพามานั้นมีเครื่องเกราะและอาวุธอย่างดี แต่ชายที่อยู่หน้าสุดนั้นสวมชุดเกราะที่คุณภาพดีกว่าอีกสองคน เขาคือหัวหน้าไม่ผิดแน่ ทหารรับจ้างทั้งสามตามทหารมาและเดินมาที่หลี่เผิง
คนงานทั้งหมดหันไปมองทหารรับจ้างและหลินมู่ หัวหน้าทหารรับจ้างเหลือบมองคนที่ยืนโดยรอบทั้งหมดและก็มองไปที่ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวดี
ทหารรับจ้างที่เคยคุยกับหลินมู่มองเขาด้วยความสงสัย เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มทำอะไรถึงได้ทำให้คนงานทั้งหมดโมโหเช่นนี้ แต่จากที่ได้เห็น เด็กหนุ่มแทบจะไม่ได้พูดอะไรเลยก่อนที่ชายฝั่งตรงข้ามจะเริ่มตะโกนและทำร้ายเขา
หลี่เผิงมองหัวหน้าทหารรับจ้างด้วยใบหน้าแข็งทื่อก่อนจะพูด
“พวกเจ้าสามคน บอกเราให้ชัดเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเด็กหนุ่มคนนี้กับพวกคนงาน พวกเจ้าน่าจะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว”
หัวหน้าทหารรับจ้างตอบ
“พวกเรามาจากกลุ่มทหารรับจ้างเขี้ยวแดง เราทำงานที่ได้ค่าจ้างเท่านั้น เราไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
หัวหน้าทหารรับจ้างบอกจุดยืนของตนอย่างชัดเจน ทหารรับจ้างมักจะแยกตัวออกมาจากการยุ่งเกี่ยวในเรื่องระหว่างคนธรรมดาและเจ้าหน้าที่ในเมืองโดยตรง
หลี่เผิงไม่สะทกสะท้านจากคำตอบของทหารรับจ้างเพราะเขารู้ว่าทหารรับจ้างนั้นเป็นเช่นใด และความไม่เต็มใจของพวกเขาก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เมื่อรู้ว่ามิอาจเกลี้ยกล่อมได้โดยง่าย หลี่เผิงจึงดึงแผ่นเหล็กขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าและถือมันต่อหน้าทหารรับจ้างทั้งสาม
หัวหน้าทหารรับจ้างผงะเมื่อเห็นแผ่นเหล็กในมือหลี่เผิง แผ่นเหล็กนั้นมีตรา ‘อู๋หลิม’ อยู่ นี่คือตราแทนอำนาจที่เจ้าเมืองอู๋หลิมมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ ถ้าหากเจ้าหน้าที่ผู้ใดมีตรานี้ก็หมายความว่าไม่มีใครปฏิเสธได้และต้องให้ความร่วมมือ
หลี่เผิงพอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของทหารรับจ้างและประกาศ
“พวกเจ้าควรรู้ว่ามันหมายความเช่นใด เอาล่ะ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว”
หัวหน้าทหารรับจ้างพูดเป็นคนแรก
“เราเห็นเด็กคนนี้เดินมาที่ถนนไปทางเมือง แล้วชายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เริ่มตะโกนใส่ เด็กหนุ่มพูดอะไรบางอย่างแล้วหันหนีไป แต่ชายคนนี้ก็มาจับไหล่เขา”
“เด็กคนนี้พยายามดิ้นให้หลุด แต่ไม่ช้าก็มีคนงานมารวมตัวกันแล้วเริ่มรังแกเขาแล้วก็วิ่งไล่”
หลี่เผิงยังคงหน้านิ่ง เขาตอบ
“หืมม เช่นนั้นรึ?”
“มีใครเห็นสิ่งที่เด็กคนนี้ทำก่อนหน้านี้ไหม?”
ทหารรับจ้างที่เคยคุยกับหลินมู่ตอบ
“เด็กหนุ่มคนนี้เข้าหารถม้าของพวกเราก่อนข้าจะหยุดเขา เขาถามว่าพวกข้าเป็นนายพรานหรือไม่และข้าบอกว่าเรามาจากกลุ่มทหารรับจ้างเขี้ยวแดง ข้าบอกให้เขาออกไปไกล ๆ เพราะเขาไม่มีธุระให้ต้องมาใกล้รถม้า”
“แล้วเด็กคนนี้ก็เดินอยู่ข้างหลังเรายี่สิบนาทีก่อนจะมาถึงที่นี่ แล้วก็เกิดเรื่อง”
หลี่เผิงพยักหน้า เขาคิดว่าที่เขาเดามาก่อนนั้นถูกแล้ว
“เจ้าจะบอกว่าชายคนนี้ทำร้ายเด็กหนุ่มโดยที่ไม่ถูกยั่วยุสินะ?”
“เราไม่ได้ยินว่าเด็กคนนี้พูดอะไรชัดเจนนัก แต่ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะทำร้ายเด็กหนุ่มโดยที่ไม่ได้ทำอะไรก่อนเลย”
เมื่อได้ฟังทั้งหมดเช่นนี้แล้ว หน้าผากหลี่เผิงเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาด้วยความหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หลี่เผิงมองหลินมู่ครู่หนึ่งก่อนจะต้องหยวนตู้ด้วยความโกรธแค้นก่อนจะกล่าว…