ตอนที่ 8 : ความขัดแย้ง
หยวนตู้เจ็บปวดมาสามวันเต็มตั้งแต่ที่เขาถูกเฆี่ยนทำโทษเพราะแอปเปิ้ลจิตที่หลินมู่ทำช้ำ ไม่เพียงแค่เขาจะเจ็บกาย แต่ค่าจ้างของคนงานทั้งเดือนยังถูกตัดไปชดเชยค่าเสียหายด้วย เขาถูกมองด้วยสายตาเกลียดชังจากคนงานมากมายเพราะเรื่องนี้
“อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องจ่ายด้วยเงินเก็บตัวเอง หรือต้องใช้บ้านไปจ่ายชดใช้ โชคดีที่มีแต่หลินมู่ที่ถูกยึดบ้านไป และตอนนี้คนงานทุกคนก็เกลียดหลินมู่ด้วย”
ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวสำคัญของแอปเปิ้ลจิตนั้นคือรายได้หลักของคนงานในรอบปี ในช่วงเวลานี้คนงานแทบทั้งหมดและแม้แต่ลูกของพวกเขาจะช่วยทำงานนี้เพื่อหารายได้เพิ่มให้ครอบครัว เจ้าเมืองอนุญาตให้ใครก็ได้ถูกจ้างในการเก็บเกี่ยว และต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนจากแต่ละครอบครัวที่ต้องมาทำงานในสวนแอปเปิ้ลในช่วงเวลานี้ของปี
แม้ว่าแอปเปิ้ลจิตจะออกผลตลอดปี ผลของพวกมันจะสมบูรณ์ที่สุดในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้าหนาวและเริ่มก่อนจบหน้าร้อน มันคือหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของเมืองอู๋หลิมและสร้างรายได้มหาศาลกับเจ้าเมืองในแต่ละปี แต่ในตอนนี้มีคนงานน้อยลงเพราะโรคระบาดปีที่แล้วจนทำให้การเก็บเกี่ยวช้าลง
หัวหน้าคนงานถูกกดดันจากเจ้าเมืองให้เร่งการเก็บเกี่ยวให้เสร็จก่อนที่หน้าหนาวจะมาถึงเพื่อที่จะได้ส่งออกแอปเปิ้ลจิตออกไปในเมืองทางใต้ หัวหน้าคนงานหลี่เผิงได้ส่งต่อแรงกดดันนั้นต่อมายังคนงานให้เร่งความเร็วในการเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องในสามวันก่อน เขาไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นอีกแล้ว
หยวนตู้กำลังทำงานในสวนแอปเปิ้ลกับกลุ่มของเขาในตอนเช้า พวกเขาถูกมอบหมายให้ทำงานในสวนในสุดที่ติดกับถนนขนส่ง เขากำลังทำงานอยู่ในตอนที่เห็นรถม้าและกลุ่มคนติดอาวุธมากมายออกมาจากป่า เขาไม่คุ้นรถม้าหรือคนที่เข้ามาในป่าเลย เหตุผลเดียวที่พวกเขามาจากส่วนนี้ของป่าก็คือการเปลี่ยนเส้นทาง ซึ่งจะต้องผ่านด้านตะวันตกของป่า
เส้นทางตะวันตกนั้นอันตราย และที่นั่นเต็มไปด้วยสัตว์ชั้นกลาง แม้แต่นายพรานก็ไม่เสี่ยงถ้าอยากจะใช้เส้นทางที่ปลอดภัยจากเมืองเหนือ หยวนตู้มองและพยายามจะหาคนที่เขาคุ้นหน้า ในตอนนั้นเองก็ได้เห็นเด็กหนุ่มเดินอยู่ด้านหลังรถม้า เมื่อได้เห็นหน้าช้า ๆ แววตาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง นั่นคือเด็กหนุ่มคนเดียวกับที่ทำให้เขาถูกลงโทษและเจ็บปวดเช่นนี้
หลินมู่เข้ามาใกล้สวนแอปเปิ้ลและได้ยินเสียงชายที่จ้องเขาตะโกนใส่
“หลินมู่ กล้าดียังไงถึงโผล่หัวมาที่นี่! หลังจากสิ่งที่เจ้าทำลงไป!”
ก่อนหลินมู่จะได้ตอบ เขาก็พูดอีกครั้ง
“หัวหน้ายึดทรัพย์เจ้าไปหมดแล้ว เจ้าจะเสนอหน้ามาทำไมอีก! ไม่มีใครต้อนรับเจ้าอีกแล้ว”
ในตอนนี้ คนงานอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ได้ยินเสียงหยวนตู้ตะโกนแล้ว มีคนเดินมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลินมู่ยิ่งตระหนกเมื่อคนออกมารวมตัวกัน เขามองใบหน้าแต่ละคนที่มองหน้าเขาอย่างคุกคาม หลินมู่รวบรวมความกล้าตอบ
“ลุงหยวนตู้ ข้าไม่ได้มาที่นี่หรอก ข้าแค่มาขายของในเมืองกับซื้อของเท่านั้น”
หยวนตู้ตอบอย่างไม่ชอบใจ
“โดนริบทุกอย่างไปแล้วยังจะมีอะไรให้ขายอีกเรอะ? และถ้าเจ้ามีเงิน เจ้าก็ต้องเอามาชดใช้ให้พวกข้า”
คนงานคนอื่นต่างเห็นด้วยเป็นเสียงเดียวกัน
“ใช่! ถ้าเจ้ามีของมาขาย เจ้าก็ต้องจ่ายให้พวกข้าก่อน!”
หลินมู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องตอบอย่างไรเพราะเขาไม่มีทางจะจ่ายให้ได้อยู่แล้ว เหล่าคนงานส่งเสียงดังต่อไปเมื่อเห็นหลินมู่เงียบ พวกเขารู้ดีว่าไม่มีโอกาสที่หลินมู่จะชดใช้ให้พวกเขา พวกเขาเพียงแค่ระบายโทสะออกมาเท่านั้น
หลินมู่คิดจะเดินหนีเพราะเขาไม่อยากจะฟังอีกแล้ว และเขาไม่มีธุระอะไรกับคนเหล่านี้ หลินมู่ถอยกลับไปแต่ก็มีคนคว้าไหล่เขาเอาไว้
“เจ้าคิดจะไปไหน? วันนี้เราจะมาสะสางกัน”
หยวนตู้จับไหล่เขาอย่างแรง ถ้าหลินมู่ไม่มีร่างกายขั้นสี่กระดูกไหล่เขาคงจะหักไปแล้ว หยวนตู้นั้นเองก็มีร่างกายขั้นสี่เช่นกัน เขาตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหลินมู่ไม่บาดเจ็บเลย หลินมู่พลิกตัวปัดมือหยวนตู้ออกไป
“ปล่อยข้าเถอะหยวนตู้ ข้าชดใช้ด้วยบ้านที่โดนริบไปแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์หยุดข้า”
หยวนตู้ระเบิดโทสะ เขาพุ่งมาจับตัวหลินมู่อีกครั้งขณะตะโกน
“จับเด็กนั่นไว้! มันจะต้องชดใช้เราด้วยเลือด!”
คนงานอื่นที่ยืนอยู่เองก็พยายามจะจับตัวหลินมู่ เขาถูกล้อมสามด้านโดยคนงาน หลินมู่เริ่มวิ่งหนีขณะที่คนงานวิ่งไล่
ในตอนนี้ ทหารในเมืองเห็นความวุ่นวายและเข้าไปรายงานหลี่เผิง
เสียงเหล่าคนงานเอะอะโวยวายและหยุดทำงานแม้ว่างานจะยังไม่รุดหน้านั้นทำให้หลี่เผิงหน้าแรงด้วยความโกรธ เขาวิ่งไปทางที่ทหารบอก ทหารเองก็ตามหลี่เผิงมาแต่ก็วิ่งตามเขาไม่ทัน
หลี่เผิงมีร่างกายขั้นแปด ถ้าเขาเรียนวิชาบ่มเพาะปราณได้เขาก็จะกลายเป็นผู้บ่มเพาะปราณเพราะระดับต่ำสุดในการเป็นผู้บ่มเพาะก็คือร่างกายขั้นแปดนั่นเอง มีเพียงผู้ที่มีร่างกายขั้นแปดเท่านั้นที่จะทนต่อปราณจิตได้
ถ้ามีผู้ใดพยายามใช้วิชาบ่มเพาะปราณก่อนขั้นแปด อย่างดีที่สุดพวกเขาก็จะทำให้ตัวเองพิการ หรืออาจจะตายก็ได้
หลินมู่กับเหล่าคนงานที่กำลังไล่ล่าได้ยินเสียงตะโกนดังราวสายฟ้าจากด้านหลัง
“หยุดเดี๋ยวนี้! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?! ทำไมพวกไร้ประโยชน์อย่างเจ้าถึงหยุดทำงาน!?”
เสียงตะโกนดังลั่นทำให้หลินมู่กับคนงานตกใจ พวกเขายึดนิ่งราวศพและหันกลับไปมองเห็นหลี่เผิงวิ่งมาทางพวกเขาตามด้วยเหล่าทหาร ไม่กี่วินาทีหลี่เผิงก็มาถึงหน้าพวกเขาแล้ว
“อธิบายข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าทำไมพวกเจ้าถึงไม่ทำงานก่อนที่ข้าจะสั่งเฆี่ยนทุกคน!”
เหล่าคนงานแน่นิ่งด้วยความกลัวและพูดไม่ออก หยวนตู้กัดฟันเพราะเขาเป็นคนเดียวที่อยากจะแก้แค้นหลินมู่ที่สุด แต่ตอนนี้หลี่เผิงปรากฏตัวออกมาแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป
หลี่เผิงมองคนงานที่เงียบด้วยใบหน้าหมอง
“พวกเจ้ารออะไรอยู่!? พูดออกมา!!!!”
ก่อนที่จะมีคนงานได้พูด หลินมู่ก็ตะโกนร้อง
“คนงานพวกนี้ทำร้ายข้าตอนที่ข้าเดินผ่านสวน ข้าไม่ได้ยั่วพวกเขาก่อนนะ”
หลี่เผิงมองเด็กหนุ่มที่คุ้นหน้าและจำได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มคนเดียวกับที่ทำให้เสียเรื่องเมื่อสามวันก่อน
เมื่อรู้ว่าเขาปล่อยให้หลินมู่พูดต่อไม่ได้อีกแล้ว หยวนตู้จึงพูดออกมาบ้าง
“มันโกหกนะท่าน มันมาเพราะคิดร้าย มันไม่มีเหตุผลต้องอยู่ที่นี่แต่มันก็ยังมา”
หลินมู่ตะโกนด้วยความตกใจ
“นั่นไม่จริงนะใต้เท้า ข้าเพียงแค่มาซื้อขายของในเมืองเท่านั้นเอง ข้าไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับคนพวกนี้เลย หยวนตู้เป็นคนตะโกนและทำร้ายข้าก่อน”
“โกหก!!!!”
หยวนตู้ตะโกน
“หุบปาก!”
หลี่เผิงตะโกนและมองพวกเขาด้วยความหงุดหงิด
หลี่เผิงรู้สึกถึงความผิดปกติในข้อกล่าวอ้าง ต้องมีคนโกหกอยู่แน่ เมื่อคิดถึงสถานการณ์ของเด็กหนุ่ม เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะกล้าพอที่จะมายั่วยุเหล่าคนงาน เขาจึงละสายตาไปมองตาหยวนตู้และเห็นว่าหยวนตู้จ้องหลินมู่ด้วยสายตาอาฆาต
หยวนตู้รู้สึกว่าถูกมอง เขาจึงละสายตาจากหลินมู่
“ไอ้เด็กนี่มันโกหกนะใต้เท้า มันบอกจะมาซื้อของขายของจากเมือง แต่ถ้าไม่เห็นว่ามันเอาอะไรมาขายเลย แล้วข้าก็ไม่คิดว่ามันเหลือเงินหลังจากโดนลงโทษด้วย”
หยวนตู้พูดต่อด้วยแววสายชั่วร้าย
“ท่านใต้เท้า ข้าสงสัยว่ามันมาที่นี่เพื่อแก้แค้นโดยการขโมยแอปเปิ้ลจิตในสวน ข้าแค่พยายามจะหยุดก่อนที่มันจะลงมือทำอะไร”
ในตอนนี้ หยวนตู้ลองพูดทุกอย่างที่จะทำให้หลินมู่มีความผิด หลี่เผิงมองเด็กชายหัวจรดเท้าและก็เห็นว่าหลินมู่ไม่ได้นำอะไรมาขายจริง ความกลัวในหลินมู่เพิ่มขึ้นทุกวินาที สิ่งเดียวที่เขาคิดได้ในตอนนี้คือท่องพระสูตรสงบใจในใจ
ความหวาดกลัวในตัวหลินมู่ถูกชะล้างไปด้วยคลื่นความสงบ ในใจของเขาสงบนิ่งไร้ความคิดอื่นใดผุดขึ้นมา ในใจหลินมู่ เวลาอาจผ่านไปหลายนาทีแล้ว แต่สำหรับคนอื่นนั้นผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที เมื่อจิตใจเป็นอิสระจากความกลัว หลินมู่จึงคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ด้วยความเร็วปานสายฟ้า เขาคิดวิธีที่จะเอาตัวรอด
หลินมู่ยื่นมือไปที่กระเป๋าเงินเล็กที่ว่างเปล่าที่ผูกเอว จากนั้นจึงเรียกเขาของกระต่ายเขาดำออกมาจากแหวน เขาดึงมือออกมาจากกระเป๋าและแสดงเขากระต่ายในมือให้หลี่เผิงดู
“ใต้เท้า ข้าจะขายเขากระต่ายในเมือง อย่างน้อยจะได้ซื้อเมล็ดพืชหรือข้าวมารับประทานบ้าง”
หยวนตู้ตกใจเมื่อเห็นเขากระต่ายในมือหลินมู่ เพราะเขามั่นใจเหลือเกินกว่าเด็กหนุ่มไม่ได้พกอะไรมาในกระเป๋าเลย ในระหว่างที่วิ่งไล่เขาก็จ้องมองกระเป๋าเงินที่คาดเอวหลินมู่และเห็นว่ามันไม่มีอะไรเลย เหตุผลที่หยวนตู้มั่นใจก็เพราะว่าเขาต้องมองเพื่อหาเหตุผลยืนยันว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มีอะไรมาขายจริง นี่ทำให้หยวนตู้ตกที่นั่งลำบาก
หลี่เผิงเงียบขณะมองเขากระต่ายในมือหลินมู่ จากนั้นจึงกล่าว…