ตอนที่ 7-25 ออกเดินทาง
ที่ชายแดนของอาณาจักรเฮสมีกองทหารจำนวนเกินกว่าแปดแสนนาย บนพื้นที่กว้างใหญ่จุดตั้งค่ายทหารเรียงรายไปตามแนวเทือกเขาดูไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือกองทัพขนาดมหึมา อย่างไรก็ตามก็ยังดูเป็นระบบ
แต่ข้างหน้าค่ายทหารมีพื้นที่ว่างกว้างใหญ่
“นี่, ลุงแรนด์ ถ้ากองทัพอสูรเวทบุกโจมตีเราจะต้านทานไหวไหม?” บุรุษหนุ่มสวมชุดเกราะอายุราว16-17 ปีกระซิบถาม
ข้างๆ เขาเป็นบุรุษร่างกำยำไว้เครา เขาเปิดฝาขวดเหล้าขวดเล็กออกและดื่มอึกหนึ่ง จากนั้นหัวเราะลั่น “สบายใจได้ นอกจากกองทัพชั้นยอดจากอาณาจักรเฮสของเราแล้วทางศาสนจักรเจิดจรัสยังส่งอัศวินของวิหารมาร่วมด้วยอีกทั้งยังมีจอมเวทอยู่อีกหลายคน ไม่ต้องห่วงคาถาของเหล่าจอมเวททรงพลังกันทั้งนั้น”
“ดี” นี่คือศึกแรกของเด็กหนุ่ม เมื่อได้ยินคำพูดของทหารที่เคยผ่านศึกมาก่อนเขาค่อยรู้สึกมั่นคง
แต่บุรุษร่างกำยำผู้นั้นลอบถอนหายใจกับตัวเอง เพราะความจริงเขาเห็นมาแล้วว่าอสูรเวทนั้นร้ายกาจทรงพลังขนาดไหนถ้าอสูรเวทเป็นพันเป็นหมื่นบุกโจมตีพวกเขามีวิธีเดียวที่มนุษยชาติจะรอดอยู่ได้ก็คือยอมสละเลือด
“กรรรร!”
ทันใดนนั้นเสียงคำรามต่ำได้ยินมาแต่ไกล
“ลุงแรนด์ ข้าคิดว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง” บุรุษหนุ่มตื่นตัวขึ้น
“ไม่เป็นไร” แรนด์พูดเสียงดัง แต่ทันใดนั้นแรนด์หรี่ตามองทางทิศใต้บนที่ราบแห้งแล้งว่างเปล่ากลุ่มจุดดำหนาแน่นนับไม่ถ้วนสามารถมองเห็นได้
“อสูรเวท, เป็นฝูงอสูรเวท!”
จากนั้นค่ายทหารแต่ละส่วนมีเสียงร้องเตือนภัย ค่ายทหารทั้งหมดเริ่มมีความเคลื่อนไหวตั้งแต่แม่ทัพที่มีตำแหน่งสูงที่สุดจนไปถึงทหารระดับผู้น้อยที่สุด ทุกคนเตรียมพร้อมระมัดระวัง
กำลังพลทั้งแปดแสนเตรียมพร้อมทำศึก
“มาก มากมายเหลือเกิน” ทหารฝ่ายมนุษย์ เมื่อเห็นฝูงอสูรเวทในระยะไกลอดสูดลมหายใจหนาวเหน็บมิได้ มองดูจากระยะไกลกระทิงเหล็กดูดเลือดนับไม่ถ้วนก่อตั้งแถวขบวนไม่ขาดสายมัดกล้ามเนื้อของพวกมันชัดเจนขณะพุ่งเข้าใส่มนุษย์ด้วยความเร็วสูง
ประมาณว่ามีกระทิงเหล็กดูดเลือดจำนวนเกินกว่าหมื่นตัว
“ครืนน ครืนนน”กระทิงเหล็กดูดเลือดพุ่งโจมตีเข้ามาเป็นพายุบุแคมทำให้พื้นทั้งหมดสั่นสะเทือน ตาของกระทิงเหล็กแต่ละตัวเปลี่ยนเป็นสีแดงร่างของพวกมันกำลังปลดปล่อยเปลวเพลิง พวกมันมองดูเหมือนทะเลเพลิง
โลกสั่นสะเทือนเลือนลั่น ทะเลเพลิงยาวไม่รู้จักหมดสิ้น
“ฟุ่บ!” “ฟุ่บ!” “ฟุ่บ!”
ทันใดนั้นท้องฟ้าเต็มไปด้วยแหลนใสหลากสีสัน แหลนเหล่านี้ร่วงลงใส่กระทิงเหล็กดูดเลือดราวกับห่าฝน
“ท่านจอมเวท” ทหารหลายคนดีใจ
“ซี่....” หลาวทุกเล่มมีพลังน่าประหลาดมันสร้างขึ้นจากเวทธาตุน้ำบริสุทธิ์ จึงมีอำนาจต่อต้านอสูรธาตุไฟได้เต็มที่
หลาวน้ำแข็งทั้งหมดเหล่านี้พุ่งลงมาบนพื้นหรือไม่ก็บนตัวกระทิงเหล็ก เสียงดังซี่...ขณะที่หลาวน้ำแข็งแทงเข้าไปยังอวัยวะภายในของกระทิงเหล็ก พวกมันร้องลั่นด้วยความโกรธ วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มลง
กระทิงเหล็กดูดเลือดตายตัวแล้วตัวเล่า แต่กระทิงเหล็กส่วนใหญ่ยังคงพุ่งโจมตีข้างหน้า แม้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่พวกมันมีแต่โกรธเกรี้ยวมากขึ้น
บนพื้นเป็นทางเลือดยาว
“มอววววว” กระทิงเหล็กดูดเลือดคำรามด้วยความโกรธ
“พลธนู! เตรียมพร้อม....ยิง!” พวกทหารตะโกนลั่น
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยลูกธนูนับไม่ถ้วน กลุ่มของลูกธนูหนาแน่นพุ่งโค้งลงจากท้องฟ้าเป็นคลื่นหนาแน่น
ลูกธนูที่แหลมคมลูกแล้วลูกเล่าปะทะใส่กระทิงเหล็ก แต่หนอกกล้ามเนื้อของพวกมันแข็งแรงส่งผลให้ลูกธนูเฉียดหักเหไป
กลยุทธที่ทหารชาวมนุษย์ใช้กับทหารมนุษย์อีกฝ่ายหนึ่งเอามาใช้กับอสูรเวทไม่ได้ผล
“ตั้งขบวนพลหลาว!”
ขบวนนักรบสวมเกราะหนักร่างกำยำก้าวเดินขึ้นมาข้างหน้า ทุกคนถือหลาวเหล็ก กระบวนป้องกันที่น่าทึ่งก่อตั้งขึ้นพวกเขารอคอยการบุกโจมตีของกระทิงเหล็กอย่างเงียบงัน “มอววววว” กระทิงเหล็กดูดเลือดบุกตะลุยเข้ามาทันที
หลาวเหล็กนับไม่ถ้วนตั้งรับรอการโจมตีของกระทิงเหล็ก แต่กระทิงเหล็กดูดเลือดเพียงแต่ย่อเขาของพวกมันลงต่ำและยังคงบุกตะลุยขึ้นหน้าเหมือนกระแสน้ำบ่า พวกมันปะทะเข้ากับหลาวอย่างรุนแรง
“สวบ!!!” กระทิงเหล็กถูกหลาวเหล็กเหล่านั้นเสียบ
คนที่สามารถควงหลาวเหล็กได้ทุกคนต้องเป็นนักรบระดับสามเป็นอย่างน้อย นอกจากนี้พลหลาวเหล็กทุกคนหนุนเสริมกันและกันก่อตั้งขบวนหลาวและมีการยืมพลังกันเท่าที่จำเป็น
กระทิงเหล็กดูดเลือดระลอกแรกยังไม่สามารถทำลายแนวต้านทานได้ แต่ด้านหลังของพวกมันยังคงมีกระทิงเหล็กบุกตะลุยโจมตีหนักกว่าเดิม
การรบระหว่างกองทัพอสูรเวทและกองทัพมนุษย์โหดร้ายรุนแรง กองทัพอสูรเวทยังมีอสูรเวทอื่นนอกจากกระทิงเหล็กดูดเลือดคือมีฝูงหมาป่าวายุและราชสีห์เพลิงที่หยิ่งยโส นอกจากนี้ยังมีมังกรปีศาจธาตุดินมังกรลมกรดและ....
แต่ทหารฝ่ายมนุษย์ก็ไม่ได้อ่อนแอ นอกจากทหารธรรมดาแล้วพวกเขายังมีจอมเวทที่ทรงพลังอย่างแท้จริงบางส่วนซึ่งยังไม่ย้ายไปไหน นอกจากนี้ศาสนจักรเจิดจรัสยังส่งจอมเวทระดับเจ็ด, แปดและแม้กระทั่งระดับเก้ามาช่วยมีกองอัศวินฝีมือดีจากวิหารเจิดจรัสเข้ามาช่วยเสริม...
มีการรบต่อสู้อย่างดุเดือดตลอดสามวัน และในที่สุดฝ่ายมนุษย์ถูกบีบให้ถอยร่น ในช่วงสามวัน ฝ่ายมนุษย์สูญเสียทหารไปเกินกว่าสามแสนและจำนวนผู้บาดเจ็บมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น แต่กองทัพอสูรเวทก็ได้รับความเสียหายหนักเช่นกัน
อย่างไรก็ตามกองกำลังทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะมีกลยุทธ์ที่เข้าใจได้อย่างหนึ่งคือไม่มีฝ่ายใดใช้นักสู้ระดับเซียน นักสู้ระดับเซียนเพียงแต่มองดูอยู่ไกลๆและไม่ยอมลงมือ
นครเฮสตกอยู่ในความวุ่นวาย
ผลการทำศึกครั้งนี้ทำให้กองกำลังฝ่ายมนุษย์ถอยร่นเข้ามาถึงร้อยกิโลเมตรในรวดเดียว ตอนนี้พวกเขาเข้าใกล้เมืองเฮสมากและผู้คนมากมายในเมืองเฮสตัดสินใจอพยพ
ณ เมืองเฮส ในคฤหาสน์เงียบสงบที่ลินลี่ย์พักอาศัยอยู่
“เยล, เรากำลังจะไปกันเดี๋ยวนี้ เร็วเข้าอย่าเสียเวลาอีกต่อไป” มอนโร ดอว์สันตะโกน “ข้าคิดว่ากองกำลังของมนุษย์คงไม่อาจต้านทานได้หลายวันไฟสงครามกำลังจะกวาดล้างเมืองเฮส”
เยลพยักหน้า “เข้าใจแล้วพ่อ”
“แต่น้องสาม, เขา...” เยลยังคงกังวลเรื่องลินลี่ย์ จอร์จและเรย์โนลด์ที่ยืนอยู่ข้างเยลก็กังวลเช่นกัน
มอนโร ดอว์สันขมวดคิ้ว “เรื่องแบบนี้พวกเจ้าลองไปกดดันเขาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่ายังไงก็ตามเราต้องออกไปกันคืนนี้” หลังจากเขาพูดเสร็จ มอนโร ดอว์สันหันหน้าเดินออกไป
เยล จอร์จและเรย์โนลด์มองหน้ากันเอง
ในที่สุดทั้งสามคนก็พากันไปที่ห้องของลินลี่ย์ ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในลานบ้านด้านหลัง พวกเขาเห็นลินลี่ย์ยังอยู่บนเก้าอี้ข้างๆโต๊ะหินจ้องมองสิ่วสกัดตรงในมือของเขาอย่างสงบ เมื่อเห็นเช่นนี้ เยล จอร์จและเรย์โนลด์ไม่รู้สึกยินดีหรือตื่นเต้นอะไรทั้งนั้น
เพราะต้องการช่วยให้ลินลี่ย์รู้สึกตัวพวกเขามักเอาสิ่วสกัดตรงไปวางไว้ตรงนั้นพร้อมกับรูปแกะสลัก แต่ลินลี่ย์ดูเหมือนไม่มีความต้องการจะแกะสลักแม้แต่น้อย แต่ละครั้งที่เขามองดูสิ่วเขาจะนึกย้อนไปถึงวิธีที่ปู่เดลินเคี่ยวเข็ญให้เขาฝึกแกะสลักอย่างระมัดระวัง
เขาสามารถจำได้ท่าทางที่ภูมิใจและสง่างามของปู่เดลินเมื่อเขาถ่ายทอดความลับของสำนักเรียนสิ่วตรงให้ลินลี่ย์เป็นครั้งแรก ช่วงเวลานั้นปู่เดลินมีบุคลิกโอ่อ่าสมกับเป็นปรมาจารย์จริงๆ
“น้องสาม” เยลเดินตรงมาหาเขา
ลินลี่ย์เงยหน้ามองเยล ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแต่เขาไม่พูดอะไร
“น้องสาม, กองทัพอสูรวิเศษบุกข้ามชายแดนมาแล้วฝ่ายมนุษย์จำต้องถอยร่นมาถึงร้อยกิโลเมตร มันเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามาในเมืองเฮสเราต้องไปกันแล้ว” เยลพูดจริงจัง“ไปเหรอ?” ลินลี่ย์สะดุ้งตกใจในช่วงเวลาสั้นๆ “อือ เข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางที่ลินลี่ย์แสดงออกเรย์โนลด์ซึ่งอารมณ์ร้อนที่สุดในสี่คนคว้าคอเสื้อลินลี่ย์ เขาจ้องตาลินลี่ย์ตรงๆเขาตะโกนอย่างหัวเสีย “พี่สาม,นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับเจ้า? พูดมา! ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้? คนที่ข้า เรย์โนลด์ชื่นชมที่สุดในโลกก็คือเจ้า ข้ามักจะคุยโม้เรื่องของเจ้าอยู่บ่อยๆแต่เดี๋ยวนี้เล่า? ดูตัวเจ้าสิ?ดูซิว่าเจ้ากลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว!”
“ชื่นชมข้า?” ลินลี่ย์พูดเย้ยหยันตัวเอง “ชื่นชมเรื่องอะไร?”
“ข้าได้ยินพี่ใหญ่เยลบอกว่าเพราะความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเจ้ากับเคลย์ เจ้ายินดีทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตามฆ่าเขา เจ้ากล้าทำและเจ้ากล้ายอมรับผลที่จะตามมาในฐานะผู้น้องของเจ้า ข้าชื่นชมเจ้า! แต่บัดนี้เล่า? เจ้าฆ่าเคลย์ได้แล้วจากนั้นเจ้ายังฆ่ามือปราบพิเศษของศาสนจักรเจิดจรัส นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรภูมิใจหรอกหรือ? แล้วทำไมเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้?” ตอนนี้เรย์โนลด์โกรธจริงๆ
จอร์จที่อยู่ข้างๆ เขาถึงกับขมวดคิ้ว
“น้องสาม!”จอร์จตะโกนใส่ลินลี่ย์ทันที
เรย์โนลด์และเยลหันไปมองจอร์จทั้งคู่ ลินลี่ย์ก็มองเขาเช่นกัน
“น้องสาม, ทำไมเจ้าถึงฆ่ามือปราบพิเศษทั้งหกคนนั้น?” จอร์จตะโกนถาม จอร์จตระหนักได้ทันที.. แม้ว่าลินลี่ย์จะฆ่าเคลย์ได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่มือปราบพิเศษของศาสนจักรเจิดจรัสจะต้องพยายามฆ่าลินลี่ย์
ที่สำคัญคือเคลย์ไม่ใช่กษัตริย์ของพวกเขาอีกต่อไป “พวกเขาต้องการฆ่าข้า” ลินลี่ย์พูดเบาๆ
“ทำไมพวกเขาต้องการฆ่าเจ้า?” จอร์จรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มสัมผัสถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังอาการซึมเศร้าของลินลี่ย์ได้
“เป็นเพราะศาสนจักรเจิดจรัสฆ่าท่านแม่ข้า” ลินลี่ย์ตอบอย่างใจเย็น
เยลและเรย์โนลด์ที่ยืนอยู่ข้างลินลี่ย์ประหลาดใจกันทั้งคู่ แต่เค้าลางความเข้าใจปรากฏอยู่ในใจของจอร์จ เขาคำรามทันที“ศาสนจักรเจิดจรัสฆ่าแม่เจ้าเหรอ? แต่น้องสาม เจ้าไม่คิดหาทางแก้แค้นหรือ? เจ้ากลัวอะไร?”
“ไม่แก้แค้น?”
คำพูดนี้เหมือนกับสายฟ้าฟาดใส่ลินลี่ย์
“ใช่แล้ว เป็นเพราะศาสนจักรเจิดจรัส” แววตาหม่นหมองของลินลี่ย์เริ่มคมกล้าขึ้น
“ถ้าไม่ใช่เพราะศาสนจักรเจิดจรัสเสาะค้นหาวิญญาณบริสุทธิ์ไปให้มหาเทพเจิดจรัสอย่างนั้นเคลย์ก็คงไม่ส่งท่านแม่ข้าให้ศาสนจักรเจิดจรัสส่งผลให้ท่านแม่ข้าต้องตาย”
“ถ้าไม่ใช่เพราะความตายของท่านแม่ข้า ท่านพ่อข้าก็คงไม่ต้องตาย”
“ถ้าท่านพ่อยังคงมีชีวิตอยู่ ทำไมข้าต้องหาทางล้างแค้นด้วยเล่า? ปู่เดลินก็อาจไม่ต้องตาย? นอกจากนี้ปู่เดลินตายเพราะเป็นผลจากการช่วยข้าต่อต้านมือปราบพิเศษทั้งหกคนนั้น”
ลินลี่ย์เริ่มรู้สึกเกลียดในใจ
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะศาสนจักรเจิดจรัสทั้งนั้น!!! เจิดจรัส โชติช่วง ฮะฮะ! ศาสนจักรเจิดจรัสคือแสงสว่างรุ่งเรืองหรือ? ถ้ามันคือแสงสว่างแล้วทำไมพวกเขาต้องฆ่าคนบริสุทธิ์ด้วย, เอาวิญญาณที่บริสุทธิ์บูชายัญมหาเทพเจิดจรัส?” หัวใจลินลี่ย์เริ่มเต็มไปด้วยความเกลียด
การกระทำของวิหารเจิดจรัสเลวร้ายเกินไปจริงๆ
เป็นเพราะความเลวร้ายของพวกเขาโศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และชีวิตของตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมเหล่านั้น
“เจ้านาย” บีบีเห็นว่าหน้าของลินลี่ย์กำลังเปล่งประกาย มันกังวลว่าลินลี่ย์จะหุนหันพลันแล่น มันพูดทางใจ “เจ้านาย, คำพูดสุดท้ายของปู่เดลินนั้นบอกท่านว่าเขาหวังให้ท่านใช้ชีวิตให้ดี”
หัวใจของลินลี่ย์สั่น ลินลี่ย์ลืมคำพูดสุดท้ายที่ปู่เดลินได้พูดไว้ก่อนวิญญาณของเขาเหือดหายไปได้ยังไง?
“บีบี, ไม่ต้องห่วง, ข้าไม่มีทางทำอะไรวู่วามอีก ข้าจะอดทน... ข้าจะเป็นคนต่อต้านศาสนจักรเจิดจรัสโดยเฉพาะเอง ข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี” ตาของลินลี่ย์เป็นประกายหนักแน่นและมั่นคง
เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงในสายตาและอารมณ์ของลินลี่ย์ เยล จอร์จและเรย์โนลด์อดปลาบปลื้มดีใจไม่ได้
ในวันที่ผ่านมา ลินลี่ย์มักดูเหมือนคนสูญเสียพ่ายแพ้ ทำตัวห่างเหิน เขาไม่เคยมีอาการดีขึ้นเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ และนัยน์ตาเขาไม่มีความแน่วแน่
“พี่ใหญ่เยล, พี่รอง น้องสี่ ข้าตัดสินใจจากไป”ลินลี่ย์ตัดสินใจ
“น้องสาม, เจ้า...” เยลและพวกประหลาดใจ
“อย่าห่วง, ข้าสบายดี” ลินลี่ย์หัวเราะ ใช้หมัดชนอกพี่น้องทั้งสามของเขาเยลและพวกเริ่มหัวเราะเช่นกัน เมื่อเห็นลินลี่ย์เป็นอย่างนี้ พวกเขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
เมื่อสวมชุดนักรบ สะพายดาบหนักอดาแมนเทียมที่หลังมีบีบีเกาะอยู่บนไหล่ ลินลี่ย์ออกเดินทางด้วยตนเอง
หลังจากออกจากเมืองเฮสที่สับสนวุ่นวาย ลินลี่ย์มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ผ่านไปครึ่งวัน ลินลี่ย์มาถึงชายแดนพื้นที่รอบนอกเทือกเขาอสูรวิเศษ เมื่อเห็นเขตแดนแนวเทือกเขาอสูรวิเศษ รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าลินลี่ย์
“รอก่อนเถอะ ศาสนจักรเจิดจรัส จะต้องมีสักวันที่ข้าจะต้องขุดรากถอนโคนพวกเจ้า” สายตาของลินลี่ย์แน่วแน่มั่นคง
เขาสูญเสียบิดา เขาสูญเสียมารดา และสูญเสียปู่เดลิน
มีเพียงลินลี่ย์แต่เพียงผู้เดียว ตอนนี้เขาต้องพึ่งพาตัวเอง
“เจ้านาย, เราจะตัดผ่านเทือกเขาอสูรวิเศษกันหรือ?” บีบีสับสน
ลินลี่ย์หัวเราะส่ายศีรษะ “ไม่, ประการแรก เราจะเข้าไปในใจกลางพื้นที่เทือกเขาอสูรวิเศษและจากนั้นเราค่อยมุ่งหน้าขึ้นเหนือ เราจะลุยจนถึงที่สุด” “นั่นคือระยะทางหมื่นกิโลเมตร”บีบีตกตะลึง “และใจกลางพื้นที่นั้นก็มีอสูรที่แข็งแกร่งทรงพลังอยู่มากมาย” บีบีตกตะลึงไปหมดเมื่อได้ยินว่าลินลี่ย์ต้องการเดินทางเข้าไปใจกลางของเทือกเขาอสูรวิเศษเป็นระยะทางหมื่นกิโลเมตร
“ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ข้าจะฝึกฝนได้ยังไง? ข้ายังไม่ใช่ยอดฝีมือทางด้านการใช้ดาบหนัก ถ้าข้าไม่เชี่ยวชาญการใช้ดาบหนักและใช้งานให้ถูกต้อง ข้าจะจัดการกับศาสนจักรเจิดจรัสได้ยังไง?”
ลินลี่ย์ก้าวเดินเข้าไปในเขตเทือกเขาอสูรวิเศษทันที และด้วยการเดินทางนี้ลินลี่ย์เริ่มการฝึกฝนช่วงยาวที่สุดในชีวิตของเขา...