ตอนที่ 7 : เข้าเมือง
หลินมู่ตามร่องรอยที่เขาวางกับดักไป เขาดูกับดักสามชุดแรกที่ไม่ทำงาน จากนั้นจึงเดินต่อไปดูกับดักอื่นพร้อมกับได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีกัน จากนั้นก็มีเสียงร้องดังก้อง หลินมู่รีบไปดูกับดักที่ดักได้ เขาจับได้หนูหางหนาม!
หนูหางหนามมีขนาดเท่าแขนคน มีสีดำหรือเทาและมีหางสีขี้เถ้าเป็นเอกลักษณ์กับหนามสั้นที่เกิดจากผิวหนังที่แข็ง พวกมันเป็นสัตว์ป่าทั่วไปที่หาได้ในทุกพื้นที่ในป่า และมันคือจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารด้วย แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์ป่าชั้นต่ำ หนามคมที่หางของมันก็ทำให้เกิดบาดแผลน่ากลัวกับใครก็ตามที่ประมาท
หลินมู่ยกหินก้อนใหญ่และค่อย ๆ ลดบ่วงที่ห้อยหนูหางหนามลงมา เขาระวังไม่ให้หางหนูฟาดใส่ หลินมู่ใช้เท้าเหยียบหางของมันและใช้หินทุบกะโหลกหนู เขาเก็บซากของมันและไปดูกับดักที่เหลือต่อ เขาเห็นกับดักอีกชุดที่ไม่ทำงาน แต่กับดักสุดท้ายนั้นทำให้หลินมู่แปลกใจ
กับดักและพื้นที่โดยรอบกับดักถูกทำลายไป หลินมู่มองรอบ ๆ และพบบรรดาต้นไม้ใหญ่ที่มีรอยกรงเล็บ ส่วนต้นไม้ที่เล็กกว่านั้นหักไปตั้งแต่โคนต้น มีรอยอุ้งเท้าที่ใหญ่กว่ามือผู้ชายเต็มไปหมด หลินมู่มองรอบ ๆ เพื่อหาสัตว์ป่าที่น่าจะยังอยู่แถวนี้เพื่อรอกระโจนใส่เขา เมื่อไม่เจอสัญญาณของสัตว์ป่าตัวใด หลินมู่จึงวิ่งถอยกลับไปที่กระท่อม
“น่ากลัวอะไรเช่นนี้! รอยเท้าพวกนั้นต้องเป็นของสัตว์ป่าระดับกลางขึ้นไปแน่ สัตว์ระดับนั้นมาทำอะไรในชายขอบป่าแบบนี้เล่า? พวกมันไม่ค่อยออกมาไกลขนาดนี้ไม่ใช่รึ”
หลินมู่ขอบคุณดวงดาวของตนที่ทำให้ตัวเองเคราะห์ดีไม่ต้องเจอกับสัตว์ร้ายที่จะเป็นจุดจบชีวิตเขา จากนั้นหลินมู่จึงกลับไปที่ลำธารเพื่อชำแหละหนูหางหนาม เขาใช้วิธีเดิมก็คือเจาะรูด้วยไม้แหลมเพื่อรินเอาเลือดออกจากนั้นจึงถลกหนังออกมา
เนื้อหนูหางหนามนั้นหยาบและมีรสชาติแย่ หลินมู่จึงทิ้งมันและเก็บไว้แต่หนังหนู ราคาหนังหนูขายได้ไม่มากนัก อย่างน้อยก็ไม่มากเท่ากระต่ายเขาดำ มันทำได้แค่ใช้ทำหนังแข็งไม่เหมือนกับหนังกระต่ายเขาดำที่ใช้ทำกระเป๋าหรือถุงมือนิ่มได้
หลินมู่เก็บหนังหนูไว้ในแหวนและเดินกลับไปที่กระท่อมเพื่อพักกินมื้อค่ำ เขาต้มแอปเปิ้ลกินในมื้อนี้ขณะที่วางแผนกับวันถัดไป หลินมู่คิดว่าเขาจะไปที่เมืองเพื่อขายหนังสัตว์และซื้อข้าว เขาไม่อยากจะกินแอปเปิ้ลเปรี้ยวในทุกมื้อ แล้วเขาจะได้ถามข้อมูลด้วยว่าพ่อค้าคนใดจะมาในสัปดาห์หน้า เพื่อที่เขาจะได้ขายกล่องไม้หอมกล่องนั้น
ยังมีคำถามอีกว่าเขาจะหาข้อมูลเรื่องโอสถที่เขาได้รับมาอย่างไร เขาจะนำไปให้ใครต่อใครดูก็มิได้ หรือจะอธิบายรูปร่างของโอสถให้คนงานก็ไม่ได้นอกจากพวกเขาจะเป็นผู้บ่มเพาะพลังหรือมีตำแหน่งสูง
จากที่เขารู้ มีผู้บ่มเพาะปราณเพียงหยิบมือเดียวในเมืองเหนือ มีเจ้าเมือง หัวหน้าทหาร รองหัวหน้าทหารสองคนในเมือง และก็มีนายพรานอีกสองคนของเมืองเหนือ ซึ่งทั้งหมดนี้เขาไม่รู้จักใครเลย ทางอื่นที่เขาคิดได้ก็คือไปลองเสี่ยงโชคที่เมืองอู๋หลิมและหาผู้บ่มเพาะพลังที่ยินดีจะขายข้อมูล แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แพง ไม่ต้องพูดถึงภาษีที่เขาต้องจ่ายในการเข้าเมืองอู๋หลิม
เขาคิดถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จะต้องเสียแล้วสิ้นหวัง
“ขายกล่องไม้หอมคงเป็นทางเดียวที่จะหาเงินได้มากในตอนนี้ หวังว่าจะขายได้ราคาดี ถึงตอนนั้นข้าทำได้แค่เก็บเงินจากการขายหนังสัตว์เล็ก”
หลินมู่วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้และท่องพระสูตรสงบใจ ขณะที่ท่อง ความรู้สึกสงบเข้าชะล้างทั้งกายและใจ เขารู้สึกถึงการไหลเวียนของโลหิตในกายและคลื่นพลังอ่อน ๆ ในกล้ามเนื้อ เขาตั้งใจเพ่งสมาธิกับคลื่นพลังและรับรู้ได้ว่ามันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและลดลง มันขยับดั่งชีพจรที่ขึ้นลง
สุดท้ายหลินมู่ก็ได้หลับไปและพบว่าตนอยู่ในที่มืดแห่งเดิม
“ข้าต้องมาที่นี่ทุกครั้งที่หลับรึไง? ที่นี่มันอะไรกันแน่? ต้องสำรวจไปให้ถึงจุดจบงั้นรึ”
หลินมู่เดินทุ่มทิศทางขณะที่นับเลขเพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าใช้เวลากับที่นี่ไปนานเพียงใด เขาเดินได้ 15,000 ก้าวก่อนจะเบื่อ ทุกที่นั้นเหมือนเดิม นั่นคือความมืดมิด จนถึงขั้นที่ว่าเขาคิดว่าเขาได้ขยับตัวไปที่ใดหรือไม่ หรือเพียงแค่เดินย่ำอยู่กับที่
อีกสิ่งที่เขาสังเกตได้ก็คือคามคิดของเขาที่ปลอดโปร่งก่าปกติ เขารู้สึกว่าในจิตใจนั้น ‘ความวุ่นวายลดลง’ กว่าปกติ ความคิดของเขารวดเร็วกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ขณะที่เขากำลังเดินต่อไปนั้น เขารู้สึกว่าสติของตัวเองค่อย ๆ จางหายไป และเมื่อรู้สึกตัว เขาก็ตื่นเสียแล้ว
“ต้องเตรียมไปที่เมืองแล้ว กว่าจะถึงก็ต้องเดินไปหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้ข้ายังไม่ได้หิวเท่าไหร่ ไปหาอะไรกินในเมืองตอนได้เงินมาแล้วก็ได้ คงจะดีถ้าได้กินอย่างอื่นนอกจากแอปเปิ้ลเปรี้ยว ๆ นั่น ถึงจะกินกระต่ายไปแล้วก็เถอะ…แต่ข้าไม่มีเครื่องปรุงจนได้แต่เนื้อจืด ๆ ต้องซื้อเครื่องปรุงในเมืองกลับมาด้วย”
หลินมู่เดินไปอาบน้ำที่ลำธารและเดินต่อไปที่เมือง ระหว่างทางเขาเห็นรถม้าที่มีชายติดอาวุธนั่งอยู่ และมีอีกหลายคนที่เดินคุ้มกัน เมื่อเข้าใกล้รถม้าหลินมู่จึงได้เห็นสิ่งที่อยู่ในรถ
“ซากสัตว์รึ? เดี๋ยวสิ นั่นมันหมาป่าหลังเหล็ก! แต่มันเป็นสัตว์ชั้นกลาง พรานทั่วไปล่ามันไม่ได้ง่ายแน่ต่อให้ไปกันหลายคน เพราะหมาป่าหลังเหล็กอยู่กันเป็นฝูงทีละมากกว่ายี่สิบตัว หมายความว่าพวกเขามีผู้บ่มเพาะพลังอยู่ด้วย”
หลินมู่มองเหล่านายพรานแต่ก็มองไม่เห็นใครที่น่าจะเป็นผู้บ่มเพาะปราณ แม้แต่เหล่านายพรานเองก็แปลกหน้าสำหรับเขา ถ้าหากมาจากเมืองเหนือเขาคงจะจำใครได้บ้าง เพราะนายพรานส่วนใหญ่นั้นเป็นที่รู้จักกันดี หมายความว่าคนเหล่านี้มาจากต่างเมือง หรือไม่ก็มาจากประเทศอื่นไปเลย ดูจากอาวุธและชุดเกราะแล้ว เขาคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง
หลินมู่เดินไปถามนายพรานคนหนึ่ง เพียงแค่เขาเดินเข้าใกล้ก็มีคนตะโกนใส่เขา
“อย่าเข้ามานะเจ้าหนู เจ้าไม่เกี่ยว!”
หลินมู่หยุดชะงักและตอบ
“ข้าเพียงแค่อยากถามว่ากลุ่มของพวกท่านมาจากที่ใด ข้าจำไม่ได้ว่าเคยเห็นพวกท่านเลย”
คนที่ตะโกนใส่เขาตอบด้วยความรำคาญ
“พวกข้าดูเหมือนนายพรานรึไง? พวกข้าคือทหารรับจ้างเขี้ยวแดง ไปให้พ้นก่อนที่ข้าจะต้องลงมือเอง”
หลินมู่ขมวดคิ้วเดินออกจากกลุ่มทหารรับจ้าง เขาคิดว่าใครกันที่เป็นคนจ้างทหารรับจ้างมาที่เมืองเหนือและล่าหมาป่าหลังเหล็ก มันจะถูกกว่ามากถ้าจ้างนายพรานในเมืองถึงแม้ว่าจะต้องจ้างหลายกลุ่มก็ตาม มันก็ยังถูกกว่าการจ้างกลุ่มทหารรับจ้าง นอกจากว่าจะมีอย่างอื่นนอกจากหมาป่าหลังเหล็กที่พวกเขาล่า…บางอย่างที่แกร่งกว่านั้นมาก…
หลินมู่ไม่ได้มองรถม้าคันอื่น เขาจึงยืนยันความคิดัวเองไม่ได้ แต่เมื่อมองทหารรับจ้างที่คุ้มกันรถม้าคันอื่นที่ดูแข็งแกร่งและมีอาวุธชุดเกราะที่ดีกว่าทหารรับจ้างจากรถม้าคันสุดท้าย เขาก็คิดได้ว่าพวกเขากำลังเคลื่อนย้ายบางอย่างที่มีค่ามากกว่าซากหมาป่าหลังเหล็กแน่นอน
เขาเดินต่อไปอีกยี่สิบนาทีและเห็นสวนแอปเปิ้ลจิตกับคนงานหลายร้อยคนที่กำลังเก็บเกี่ยวแอปเปิ้ลจิต เมื่อเข้าใกล้ขึ้นก็ได้เห็นกับใบหน้าคุ้นเคยที่มองเขา หลินมู่หน้าซีดเมื่อได้เห็นใบหน้าอีกฝ่าย