ตอนที่ 6 : เข้าถึงความลึกลับของแหวน
หลินมู่มองรอบ ๆ แต่ทุกสิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดมิด เขามิอาจเห็นแขนหรือขาของตัวเอง มันต่างจากตอนที่เขาไปยังพื้นที่มืดอื่นที่มีแท่นบูชาอยู่ เพราะอย่างน้อยเขาก็สามารถเห็นร่างกายของตัวเองไปจนกระทั่งท้องนภาสีเงินและริ้วแสงสีเทาที่เคลื่อนไหวไปมา แต่ที่นี่ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย มีเพียงแต่ความมืดมิด
“ดูเหมือนข้าจะต้องรอจนกระทั่งตื่นนอนเหมือนเมื่อวานสินะ”
หลินมู่นั่งรอ ขณะที่นั่ง เขาสัมผัสได้ถึงพื้น มันเป็นพื้นผิวแบนราบไม่มีคลื่นบนพื้นผิวเลย เขาไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมง จนสุดท้ายเขาก็ได้ตื่น มันรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เขาเหยียดแขนขาและได้ยินเสียงครวญครางจากท้อง เขารู้ว่านี่คงเป็นเวลาสายแล้วจึงลุกขึ้น
เขาเดินออกจากกระท่อมและมองดวงตะวันที่อยู่เหนือศีรษะ เขาตื่นขึ้นมาช้ามากเพราะนี่เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เขาเดินไปทางป่าเพื่อที่จะดูกับดักที่วางเอาไว้ เขามองตามร่องรอยสัตว์ป่าเดิมและพบกับดักของตัวเอง ในกับดักหกชุดที่วางเอาไว้มีสองชุดที่ยังเหมือนเดิม มีสามชุดพัง อาจจะเป็นเพราะสัตว์ป่าที่ตัวใหญ่กว่า และชุดสุดท้ายเป็นชุดเดียวที่ดักสำเร็จ
หลินมู่เจอกระต่ายเขาดำห้อยกลับหัวจากกับดักของเขา เขาดึงบ่วงลงและเห็นว่ากระต่ายยังเคลื่อนไหว เขาบิดคอกระต่ายเขาดำด้วยความคุ้นเคยและระวังไม่ให้เขาของมันบาดมือเพื่อจบชีวิตมัน ก่อนที่จะกลับไปยังกระท่อมนายพราน เขาวางกับดักใหม่เพื่อที่จะจับสัตว์ให้ได้มากกว่านี้ในตอนเย็นถ้าหากเขาโชคดี
“ตอนนี้ได้กระต่ายเขาดำมาแล้ว ข้าจะชำแหละมันยังไงล่ะ? ไม่มีมีดติดตัวด้วยสิ ข้าต้องรีบหาทางแล้ว ไม่อย่างนั้นเนื้อจะเน่าเร็วถ้าไม่รินเลือดทิ้ง”
ขณะที่กำลังกลับกระท่อม เขาหยิบกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นและหักมันให้เหลือปลายคม เขาคิดจะทิ้งเลือดกระต่ายใกล้ลำธารและเก็บแอปเปิ้ลเพิ่มจึงเปลี่ยนทิศทางเดินไปทางลำธาร
เมื่อถึงลำธาร เขาย่อตัวที่ปลายน้ำและใช้ปลายไม้ด้านคมแทงคอกระต่ายเขาดำที่ตายแล้ว เขาปล่อยให้เลือดไหลไปกับสายน้ำโดยระวังไม่ให้ขนกระต่ายเปื้อนเลือด
หลังจากไม่มีเลือดไหลออกมาจากคอกระต่ายอีก เขาดันนิ้วเข้าไปในร่องแผลของกระต่ายและใช้มือทั้งสองข้างถลกหนังออกมา เขาค่อย ๆ ออกแรงจากหนังที่ขาดและถลกลอกออกมาจากด้านใน สุดท้ายเขาก็ได้หนังกระต่ายทั้งแผ่นออกมา เหลือไว้แต่ขนและหัวกระต่ายและเนื้อกระต่ายด้านในที่โชกเลือด
เขาล้างหนังกระต่ายในน้ำและทิ้งมันรอให้แห้งขณะที่ชำแหละและทำความสะอาดเครื่องในของกระต่าย หลินมู่เดินไปที่ต้นแอปเปิ้ลและเด็ดผลแอปเปิ้ลมาเพิ่ม จากนั้นจึงหยิบหนังกระต่ายเดินกลับไปที่กระท่อม
เขาแขวนหนังกระต่ายไว้นอกกระท่อมและเดินเข้ากระท่อมไป เมื่อความหิวโหยมากขึ้น เขาจุดเตาย่างกระต่ายเสียบด้วยไม้กิ่งเดิมก่อนจะย่างและนั่งรอให้มันสุก
เขามองแหวนที่มือขวาและคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมื่อวานและสงสัยว่ามันเกิดขึ้นเพราะแหวนหรือไม่
“ดูเหมือนคำที่ว่า ‘ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดี’ น่าจะเป็นจริง ข้าได้เพิ่มพลังแล้วก็ต้องเจอกับช่องว่างน่ากลัวนั่นจนมือเกือบขาด…น่าจะใช่นะ”
จากนั้นเขาก็คิดถึงสิ่งที่เขาคว้าได้ในช่องว่างที่ดูดมือเขาไป และการที่มันหายไปในตอนที่เขาดึงมือออกมา ขณะที่คิดอยู่นั้นเอง แผ่นไม้ก็ปรากฏในมือเขา เขาตกใจเพราะไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใดแต่สัมผัสของมันก็ให้ความรู้สึกเดียวกับสิ่งที่เขาคว้าได้ในช่องว่างนั้น เขามั่นใจว่ามันแทบจะเหมือนกัน
“นี่รึของที่ข้าคว้าเอาไว้ตอนนั้น? ทำไมจู่ ๆ ถึงมาอยู่ในมือข้าได้ล่ะ? ทางเดียวที่เป็นไปได้ก็คือแหวนวงนี้เป็นแหวนมิติเก็บของ”
หลินมู่พยายามทำความเข้าใจการทำงานของแหวน เขาใช้ความคิดเก็บแผ่นไม้ลงไปในแหวนแล้วมันก็หายไป จากนั้นจึงคิดให้มันออกมาอยู่ในมือแล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริง ๆ
“ใช่แล้ว! มันคือแหวนเก็บของ แบบนี้ข้าก็เก็บอย่างอื่นได้น่ะสิ? ต้องลองหน่อย”
หลินมู่ลองเก็บของหลายอย่างและเรียกมันออกมาและพบว่าเขาสามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น เขาทดลองกับแหวนราวกับว่าเจอของเล่นใหม่ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งกระต่ายสุกดี เขาเลือกเล่นกับแหวนและเริ่มกินกระต่ายด้วยความหิวโหยที่มากขึ้นกว่าเดิม เขากินกระต่ายทั้งตัวจนเหลือแต่กระดูก
เมื่อความหิวหมดไป เขาเรียกแผ่นไม้เดิมออกมาดู แต่เมื่อเปิดแผ่นไม้ก็พบว่ามันว่างเปล่าและไม่มีอะไรเขียนอยู่เลย เขาที่สับสนพลิกแผ่นไม้ดูแต่ก็ไม่เจออะไรเช่นกัน เขาลูบผิวแผ่นไม้และรู้สึกว่ามันมีการทำอย่างปราณีต เหมือนกับเป็นฝีมือของนักปราชญ์เมืองหลวงหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง
เมื่อความสงสัยในแผ่นไม้เริ่มหมดไป เขาเก็บมันกลับไปในแหวน ตอนนี้ก็เหลือแค่เพียงกระดูกกระต่าย หลินมู่หักเขาดำจากกะโหลกกระต่ายอย่างง่ายดาย เขาเก็บมันไว้ในแหวนโดยคิดว่าจะนำไปขายในเมืองพร้อมกับหนังกระต่าย เขาคงขายไม่ได้ราคามาก บางทีอาจจะ 40 หรือ 50 เหรียญทองแดง แต่เขาจะเก็บเงินให้มากพอเพื่อที่จะซื้อมีดไว้ใช้ล่าสัตว์ที่ใหญ่กว่า
เป็นเวลาสี่ชั่วโมงแล้วที่เขาวางกับดักใหม่ไว้ ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการเดินไปและอีกชั่วโมงเพื่อเดินกลับ แต่มันน่าจะยังเหลือเวลาพอที่เขาจะกลับมาก่อนตกกลางคืน เขาเดินออกจากระท่อมและเก็บหนังกระต่ายไว้ในแหวนก่อนจะเดินไปหากับดัก
ครึ่งทางก่อนถึงกับดัก เขารู้สึกถึงแรงสั่นจากแหวนและความรู้สึกหวาดหวั่นที่กำลังจะเข้ามา เขาสาปแช่งเคราะห์ร้ายของตัวเองก่อนที่ความรู้สึกว่ามือถูกดึงจะเกิดขึ้น
“ไม่เอาอีกรอบแล้ว…ไม่นะะะะะะะ…”
ครั้งนี้มันไม่ได้ลากเขาไปไกล เพียงแค่ไม่กี่ศอกก่อนที่รอยแยกมิติดำสนิทจะฉีกออก ขณะที่มือถูกดูดเข้าไปด้านในเขาเตรียมขาให้พร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ครั้งนี้ความรู้สึกแตกต่างจากครั้งก่อนมากนัก ครั้งก่อนนั้นรู้สึกเหมือนมือเข้าไปในวารี แต่ครั้งนี้รู้สึกเหมือนกับว่ามือถูกจุ่มลงไปยังแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก มือของเขาสัมผัสได้ถึงแรงที่รุนแรงแต่มือก็ยังมั่นคงไม่เคลื่อนไหว
“ไม่รู้ว่าคราวนี้ข้าต้องรออีกนานเท่าไหร่กว่าจะดึงมือกลับมาได้ ให้ตายเถอะ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอามือออกมาได้รึไม่”
แต่ก่อนที่หลินมู่จะเริ่มดึงมือกลับ เขารู้สึกว่ามีแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าซัดมาที่มือเขา เมื่อเขาสัมผัสถึงมันได้ รอยแยกมิติก็คลายออกจนเขาดึงมือออกมาอย่างง่ายดาย ครั้งนี้ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีเสียด้วยซ้ำ และครั้งนี้เขารีบดึงมือออกมาเร็วมาก
เขาคิดถึงกล่องสี่เหลี่ยมที่ปะทะกับมือ จากนั้นกล่องใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยก็ปรากฏออกมาที่มือ
“อย่างที่คิดเลย ไม่ว่าข้าจะได้แตะหรือจับอะไรในรอยแยก มันจะถูกเก็บในแหวน แต่มันจะไม่เหมือนกับแผ่นไม้ที่ข้าได้มาทีแรก”
“เพราะอะไรกัน?...แต่เดี๋ยวสุดท้ายข้าก็คงรู้เอง อย่างไรตอนนี้ข้าก็เข้าใจแหวนวงนี้มากขึ้นแล้ว”
หลินมู่มองรอยแยกที่กำลังปิดและอยากจะทดสอบบางอย่าง เขาหยิบหินก้อนหนึ่งกับกิ่งไม้จากพื้น เขาขว้างหินใส่รอยแยกอย่างเบา ๆ และแหย่กิ่งไม้ครึ่งท่อนไปในรอยแยก ผ่านไปไม่กี่วินาที รอยแยกปิดตัวลงแต่ก่อนที่มันจะปิดสนิท กิ่งไม้ที่เขาถือไว้ก็ถูกผลักออกมา
“อืม ถ้าข้าถือบางอย่างเอาไว้ มันจะไม่เป็นอะไร เช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องกลัวแล้ว อย่างน้อยมือข้าก็ไม่ขาดถ้าถูกดูดเข้าไปอีก”
เขามองรอบตัวเพื่อหาว่าหินจะอยู่ที่ใดหรือไม่แต่ก็หาไม่เจอ หลินมู่คิดว่าก้อนหินได้หายไปในรอยแยก เมื่อทดลองทั้งหมดแล้ว เขาหันมามองกล่องสี่เหลี่ยมที่ดึงออกมา มันทำจากไม้สีน้ำตาลและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มีรูปหม้อสามใบและดอกโบตั๋นสลักเอาไว้ที่ฝากล่อง เขาไม่รู้ว่ามันทำจากไม้ชนิดใด แต่กลิ่นหอมของไม้นั้นเป็นกลิ่นที่หรูหราอย่างมาก เขาคิดว่าเขาเคยเห็นสัญลักษณ์หม้อกับดอกโบตั๋นมาก่อนแต่ก็จำไม่ได้ว่าจากที่ใด
“ข้าขายเจ้ากล่องนี่ได้ในตลาดสัปดาห์หน้าตอนที่พ่อค้ามา คงจะขายได้ราคาดี ถ้าโชคดีข้าอาจจะซื้อดาบหรือขวานได้เลย”
เมื่อคิดเช่นนี้ หลินมู่เปิดฝากล่องและเห็นขวดแก้วอยู่ด้านใน เขาเปิดขวดแก้วและดมกลิ่นสมุนไพรที่โชยแรงออกมาจากขวด เขาเอียงขวดดูและมีโอสถสีเหลืองสามเม็ดไหลออกมา โอสถนั้นมีเฉดสีเหลืองที่เป็นเกลียวแตกต่างกันบนผิว
หลิวมู่เบิกตากว้างเพราะเขารู้ว่าสิ่งใดอยู่ในมือ
“นี่มัน…นี่มันโอสถจากนักปรุงโอสถ!!! นี่มันของของผู้บ่มเพาะปราณไม่ใช่รึ ทำไมถึงมาอยู่ในรอยแยกนั่นได้!?”
คำถามใหม่โผล่ขึ้นมาในใจหลินมู่ ของพวกนั้นมาอยู่ในรอยแยกมิติได้อย่างไร และแหวนประหลาดที่ยังเปิดรอยแยกมิติได้ เขาเก็บโอสถกลับขวดและเก็บไว้ในแหวนกับกล่องไม้
“ข้าไม่รู้ว่าโอสถใช้ทำอะไรได้ ถ้าข้ารู้ข้าอาจจะใช้มันกับการบ่มเพาะของตัวเองได้”
“ตอนนี้ข้าจะเปิดเผยเรื่องนี้กับใครไม่ได้ คนโลภมีอยู่มากมายเต็มไปหมด คนพวกนั้นต้องคิดชิงมันไปจากข้าแน่ ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าโอสถมีฤทธิ์เช่นไรโดยที่ไม่ให้คนอื่นรู้”
เขาทั้งตื่นเต้นและกังวลกับสิ่งที่มีตอนนี้ หลินมู่เดินไปหากับดักเพื่อดูว่ามีเหยื่อติดกับหรือไม่